เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ภาพ: ชุบใจ Choobjai Craft Chocolate
ในวันที่ชีวิตอาจขมจนเกินไป หลายคนเลือกจะ ‘เติมหวาน’ ให้หัวใจได้พักหายใจอีกสักนิด ไม่ใช่เพียงเพราะรสชาติที่ปลายลิ้นเท่านั้น แต่เพราะความหวานมีพลังบางอย่างที่ปลอบโยนได้อย่างแผ่วเบา น้ำตาลในของหวานช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารโดพามีน สารแห่งความสุขที่ทำให้เรารู้สึกพึงพอใจและผ่อนคลาย เหมือนเสียงกระซิบอ่อนโยนที่บอกกับร่างกายว่า “ไม่เป็นไรนะ…เธอทำดีที่สุดแล้ว”
‘Cafe My Day Off’ ร้านคาเฟ่เล็กๆ ในตำบลเมืองงาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ แนน-ชลธิชา ชูจิตร กำลังใช้ช็อกโกแลตแท่งเล็กๆ เพื่อส่งต่อความหวานนั้น เธอคือเจ้าของแบรนด์ ชุบใจ Choobjai Craft Chocolate ที่เชื่อว่า ช็อกโกแลตไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อความอร่อย แต่เพื่อ ‘ชุบใจ’ ใครหลายคนให้กลับมามีพลังอีกครั้ง
“ชุบใจ ในที่นี้มาจากสองความหมายค่ะ ตอนเริ่ม เราอยากช่วยเกษตรกรที่ไม่มีตลาดรองรับผลผลิต เหมือนได้ ‘ชุบใจ’ ให้พวกเขากลับมามีกำลังอีกครั้ง อีกความหมายคือ เวลาคนกินช็อกโกแลตแล้วมักจะรู้สึกสดชื่น มีพลังใจขึ้นมา เราเลยตั้งชื่อว่า ชุบใจ เพื่อให้เป็นทั้งที่มาของธุรกิจ และความรู้สึกที่อยากส่งต่อให้ทุกคน”
จุดเริ่มต้นจากคำขอเล็กๆ ของเกษตรกร

Choobjai Craft Chocolate เกิดขึ้นจากความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากช่วยเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ในเชียงดาวให้ยังมีแรงเดินต่อ แม้วันที่ราคาผลผลิตตกต่ำจนแทบไม่มีใครรับซื้อ
“จุดเริ่มต้นมันมาจากเกษตรกรในพื้นที่ค่ะ เขารู้จักเราอยู่แล้ว แล้ววันหนึ่งเขามาถามว่า ช่วยหาที่ขายผลโกโก้ให้หน่อยได้ไหม เพราะเขาปลูกโกโก้ไว้ประมาณ 3–4 ปีแล้ว พอโกโก้เริ่มออกผลผลิต ก็ไม่รู้จะขายที่ไหน เพราะบริษัทที่มาเสนอให้ปลูกในตอนแรก เขาก็ไม่รับซื้อ”
แนนเล่าถึงจุดเริ่มต้นว่าเธอไม่ได้มีความสนใจเรื่องช็อกโกแลตตั้งแต่ต้น หากแต่เริ่มจาก ‘คำขอเล็กๆ’ ของเกษตรกรที่รู้จักในเชียงดาว เธอเล่าว่าในตอนนั้นโกโก้ยังถือเป็นพืชที่มีความใหม่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในเชียงดาวที่คนแทบไม่รู้จักพืชชนิดนี้ เธอยอมรับว่าแม้ตัวเองจะไม่รู้เรื่องโกโก้มากนัก แต่ด้วยความตั้งใจอยากช่วย จึงลองติดต่อหาตลาดให้ ทว่ากลับพบว่าไม่มีที่ไหนรับซื้อจริงๆ
“ตอนแรกคิดว่าคงมีแค่ในพื้นที่เราที่เจอปัญหา แต่พอเริ่มถามไปเรื่อยๆ ถึงรู้ว่าเกษตรกรทั่วประเทศก็เจอเหมือนกัน เขาปลูกตามคำแนะนำของบริษัทที่เคยรับปากว่าจะมารับซื้อผลผลิตทั้งหมด แต่สุดท้ายไม่มีใครมารับจริงๆ”
เมื่อไม่มีตลาดรองรับ ผลโกโก้จึงเริ่มล้น ราคาตกต่ำจนเกษตรกรหลายคนสิ้นหวัง
“ตอนนั้นราคาต่ำมากค่ะ เขาคัดเฉพาะลูกสวยๆ เกรดดี ประมาณสองถึงสามลูกต่อกิโล ขายได้แค่กิโลละ 3–5 บาท บางที่ต่ำสุดเหลือแค่กิโลละ 1 บาทเท่านั้น ทั้งที่ในสัญญาของบริษัทเคยระบุว่าจะรับซื้อในราคา 10 บาทต่อกิโล แต่สุดท้ายก็ไม่มีที่ไหนให้ราคานั้นเลย”
แนนมองว่า ด้วยราคาเพียงเท่านี้ไม่มีทางที่เกษตรกรจะอยู่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผลผลิตดีๆ ก็มีเพียงไม่ถึงร้อยละยี่สิบ เพราะเกษตรกรหลายคนยังไม่รู้วิธีดูแลต้นโกโก้อย่างถูกต้อง บางคนปลูกไว้เฉยๆ พอออกผลก็เก็บขายทันที ทำให้คุณภาพไม่ตรงตามมาตรฐานที่โรงงานต้องการ
“หลายคนตัดต้นทิ้งเลยค่ะ เพราะรู้สึกหมดหวัง รอมานานแต่ขายไม่ได้ มันเป็นความช้ำใจของเกษตรกรจริงๆ”
เรียนรู้ทุกขั้นตอน เพื่อชุบใจและสร้างคุณค่า
แทนที่จะปล่อยให้ต้นโกโก้ถูกโค่นทิ้งเหมือนพืชเศรษฐกิจอีกหลายชนิด แนนกลับเลือกจะเรียนรู้ทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง ตั้งแต่การหมักเมล็ด การคั่ว การบด ไปจนถึงการแปรรูปเป็นช็อกโกแลตแท่งเล็กๆ ด้วยความหวังว่า ผลผลิตของชาวบ้านจะกลับมามีคุณค่า และหัวใจของพวกเขาจะได้กลับมามีกำลังอีกครั้ง
“หลังจากนั้นเกษตรกรก็ยังแวะเวียนมาหาอยู่เรื่อยๆ เราก็เลยคิดว่า หรือเราจะลองดูเองดีไหม”

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการลงมือเรียนรู้เกี่ยวกับโกโก้อย่างจริงจัง แนนเริ่มศึกษาวิธีการแปรรูปตั้งแต่ศูนย์ และพบว่ามันซับซ้อนกว่าที่คิดมาก เพราะกระบวนการของโกโก้ต้องใช้ทั้งเวลาและความละเอียดอ่อน ตั้งแต่การผ่าและคัดเมล็ด การหมักนาน 7 วัน ตากอีก 7 วัน ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนคั่ว กระเทาะเปลือก และโม่ให้ละเอียด แต่ละขั้นตอนใช้เวลาและแรงกายมากกว่าที่ใครคาดคิด
“ตอนนั้นพี่ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ไหม แต่ก็เริ่มศึกษาจาก YouTube แล้วตัดสินใจไปเรียนเพิ่มเติม ลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่เลยค่ะ”
เมื่อเริ่มเข้าใจกระบวนการ เธอกลับมาคุยกับกลุ่มเกษตรกรอีกครั้ง บอกพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมความหวังว่า “ในเมื่อไม่มีใครมารับซื้อ เรามาลองแปรรูปกันเองไหม เราไม่ได้สัญญาว่าจะสำเร็จนะ แต่ถ้าใครพร้อม ก็ลองเดินไปด้วยกัน”
แนนเล่าว่า ตอนนั้นมีเกษตรกรสี่คนเข้ามาร่วม รวมพื้นที่ปลูกกว่า 89 ไร่ รวมแล้วประมาณ 1,200 ต้น นั่นคือกลุ่มเล็กๆ ที่เริ่มต้นเดินบนเส้นทางใหม่ไปพร้อมกัน
“เรารับซื้อผลโกโก้จากเกษตรกรตั้งแต่การทดลองทำรอบแรกในราคา 10 บาทต่อกิโลกรัม ตามราคาที่เขาเคยตกลงไว้กับบริษัท ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จไหม แต่ที่เรากล้าให้ราคานั้นเพราะเรามองว่าทุกอย่างมันมีต้นทุน และในการเริ่มต้น เราต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน”
รสชาติจากใจ ถ่ายทอดความเป็นเชียงดาว

ตอนเริ่มทำช็อกโกแลตใหม่ๆ แนนยังไม่แน่ใจว่ารสชาติแบบไหนจะเรียกได้ว่า ‘ดี’ จึงตัดสินใจเริ่มจากสิ่งที่ใจเธอชอบก่อน ทำรสชาติที่ตัวเองกินแล้วมีความสุข เพราะสำหรับเธอ ของกินที่ดีต้องเริ่มจากความรักและความตั้งใจจริงๆ
“ลูกค้าที่เข้ามาในช่วงแรกๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มที่มีรสนิยมใกล้เคียงกัน เรียนรู้ไปด้วยกัน เก็บฟีดแบ็ก ปรับสูตรและรสชาติ จนทุกวันนี้เริ่มลงตัว”
แนนเล่าว่าเธอเน้นผลิตช็อกโกแลตแนว ‘Healthy Chocolate’ ตั้งแต่แรก โดยใช้ ‘นิบส์โกโก้’ (Nibs) หรือเนื้อในของเมล็ดโกโก้ที่ผ่านการคั่วแล้ว โดยไม่สกัดเอาน้ำมัน (Cocoa Butter) ออก และใส่ส่วนผสมน้อยที่สุด เพื่อให้ยังคงรสโกโก้แท้ๆ
ปัจจุบัน Choobjai Craft Chocolate มีช็อกโกแลตอยู่ 3 สูตร คือ ความเข้มข้น 100% โกโก้แท้ ไม่ใส่อะไรเลย, ความเข้มข้น 78% หรือ Dark Chocolate ที่ใส่น้ำตาลเล็กน้อย และ ความเข้มข้น 51% หรือ Milk Chocolate ที่ใส่น้ำตาลกับนมผงเพื่อให้มีรสหวานทานง่าย
นอกจากช็อกโกแลตแล้ว แนนยังพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นจากโกโก้ เช่น ชาโกโก้ ที่ทำจากเปลือกเมล็ดโกโก้ที่เหลือจากการคั่ว ผ่านกระบวนการอบแห้งแล้วชงเป็นชา มีกลิ่นหอมและรสคล้ายช็อกโกแลตอ่อนๆ ถือเป็นการใช้วัตถุดิบให้คุ้มค่า
แนนอธิบายว่า โกโก้แต่ละพื้นที่ให้รสชาติแตกต่างกัน เหมือนกาแฟที่แต่ละดอยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้จะอยู่ในอำเภอเดียวกัน แค่ต่างหมู่บ้าน ดิน น้ำ หรืออากาศก็ทำให้รสชาติเปลี่ยนไปแล้ว
“โกโก้เชียงดาวกับโกโก้ทางภาคใต้มีความต่างชัดเจนมาก ภาคใต้รสจะติดเปรี้ยวเพราะใช้น้ำกร่อย ส่วนเชียงดาวใช้น้ำหินปูนจากภูเขา ทำให้รสชาติออกถั่วๆ และมีความเปรี้ยวเล็กน้อย ช็อกโกแลตของเราเลยได้ความ nutty กับ fruity พอดี สภาพอากาศและกระบวนการแปรรูปที่เอื้อให้รสชาติเด่นขึ้น ทำให้เราสามารถพรีเซนต์ความเป็นเชียงดาวผ่านช็อกโกแลตได้อย่างชัดเจน”
สร้างความยั่งยืนจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ
สำหรับเกษตรกรรุ่นเก่า การขายผลผลิตผ่านพ่อค้าคนกลางถือเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเขาไม่ได้ถนัดเทคโนโลยีหรือการทำตลาดด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่แนนอยากให้เกิดขึ้นในนิเวศเกษตรกกรมของเชียงดาวคือการที่เกษตรกรลดการพึ่งพาคนกลางให้ได้มากที่สุด
เพราะเหตุผลนี้ทำให้แนนและกลุ่มพี่น้องเกษตรกรเริ่มส่งต่อทักษะเหล่านี้ให้คนในชุมชนสามารถแปรรูปผลผลิตเอง ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ด้วยความหวังที่ว่า ถ้าทำได้ครบวงจร ผลผลิตก็จะถูกแปรรูปและขายเพิ่มมูลค่าได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง นี่คือสิ่งที่แนนมองว่าคือ “ความยั่งยืนที่แท้จริง”

“ในตลาดโกโก้ เราก็ผลักดันให้เกษตรกรไม่ขายผลสดอย่างเดียว แต่พัฒนาขึ้นไปจนสามารถแปรรูปเป็นเมล็ดแห้งได้ เพราะถ้าเกษตรกรทำได้จริง วันหนึ่งพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องขายให้แค่เราคนเดียวอีกต่อไป บางทีเขาอาจสามารถต่อยอดเองได้ ซึ่งนี่คือเป้าหมายสำคัญของเรา คือการทำให้ทุกคนอยู่ได้อย่างยั่งยืน”
แนนเชื่อว่า ถ้าเชียงดาวสามารถแปรรูปโกโก้ได้ครบวงจร ธุรกิจโกโก้ก็จะเติบโตได้ไกล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยิ่งแปรรูปได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้สินค้าได้มากขึ้น และที่สำคัญ คือสร้างอำนาจต่อรองกับตลาด
“ที่ผ่านมา เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องรอให้คนอื่นมารับซื้อ และมักถูกกดราคาตลอด แต่ถ้าเรายกระดับกระบวนการผลิตเองได้ ตั้งแต่ต้นจนถึงปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าคนกลางจากที่ไหนก็ไม่สามารถกำหนดเราได้ เพราะเรามีของคุณภาพ มีเรื่องราว และมีเอกลักษณ์เฉพาะของพื้นที่ตัวเอง”
Choobjai Craft Chocolate ชุบพลังใจให้คนตัวเล็ก
เวลาผ่านมากว่าสามปีที่ Choobjai Craft Chocolate เติบโตจากความพยายามเล็กๆ ของแนน เธอยังคงรับซื้อผลโกโก้ในราคาเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือคุณภาพและความเข้าใจในต้นโกโก้ที่ค่อยๆ งอกงาม รสชาติช็อกโกแลตก็เข้มข้นขึ้นทุกปี พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรเชียงดาว ที่แม้ชีวิตจะขมบ้าง แต่ก็ยังมีความหวานและพลังใจที่ส่งต่อให้คนตัวเล็กไม่หมดหวัง

Choobjai Craft Chocolate ไม่ใช่เพียงแบรนด์ช็อกโกแลต แต่เป็นตัวแทนของความพยายามและความร่วมมือในชุมชนเชียงดาว แสดงให้เห็นว่าของเล็กๆ จากใจสามารถสร้างคุณค่าและแรงบันดาลใจให้เกษตรกร ผู้บริโภค และใครก็ตามที่เชื่อในความตั้งใจจริง เรื่องราวของแนนและช็อกโกแลตของเธอยืนยันว่าแม้เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ก็สามารถกลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ด้วยความเอาใจใส่ ความอดทน และหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร