20 มิถุนายน 2568 เนื่องในวันผู้ลี้ภัยโลก เครือข่ายสนับสนุนสันติภาพกะเหรี่ยง (KPSN) จัดงานวันผู้ลี้ภัยสากล (World Refugee Day) ภายใต้หัวข้อ “Community as A Superpower” หรือ “ชุมชนคือรากฐานพลังอันยิ่งใหญ่” เพื่อส่งเสียงแทนผู้ลี้ภัย และเรียกร้องให้รัฐบาลจัดระบบทางกฎหมายให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานนอกค่ายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ณ Holiday Garden Hotel & Resort จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 12.00 น.
อาทร ศรีกีรติการ จากคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น หรือ TBC (Township Border Committee) กล่าวถึงประเด็นความซับซ้อนของการจัดการผู้ลี้ภัยในประเทศไทย โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญขององค์กรต่างๆ เช่น ศูนย์ปฏิบัติการสำหรับผู้พลัดถิ่น หรือ OCDP (Operation Centre for Displaced Persons), คณะกรรมการประสานงานการให้บริการแก่ผู้พลัดถิ่นในประเทศไทย หรือ CCSDPT (The Committee for Coordination of Services to Displaced Persons in Thailand) และ TBC ในการประสานงานความช่วยเหลือ พร้อมอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายและกระบวนการส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศ โดยเฉพาะในกรณีของชาวเมียนมาที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์รัฐประหารและการระบาดของโควิด-19
“งบประมาณช่วยเหลือด้านอาหารที่ใช้ในค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง 9 แห่งและกลุ่มนอกค่าย จะหมดลงในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 และจนถึงวันนี้ เรายังไม่ได้รับคำตอบจากผู้สนับสนุนว่าจะมีต่อหรือไม่”
นอกจากนี้ อาทรยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการลดงบประมาณช่วยเหลือจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และอังกฤษ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออาหาร เชื้อเพลิง และที่พักพิงของผู้ลี้ภัย พร้อมกล่าวถึงความพยายามผลักดันเรื่องนี้ต่อรัฐบาลไทย รวมถึงกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายและการสนับสนุนที่ยั่งยืน
Tharamu Naw dee Sar Paw รองประธานค่ายผู้ลี้ภัยบ้านแม่หละ เล่าถึงสถานการณ์ความท้าทายในค่ายที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2560 จากการลดงบประมาณและเปลี่ยนแปลงนโยบาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการศึกษาและทำให้โรงเรียนหลายแห่งต้องปิดตัวลง ผู้ปกครองจำเป็นต้องหางานทำในค่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาของบุตรหลาน แม้จะผิดกฎก็ตาม
สถานการณ์นี้นำไปสู่ปัญหาทางสังคมที่เพิ่มขึ้น เช่น การละเมิดเด็ก และการใช้ยาเสพติดในหมู่เยาวชน นอกจากนี้ งบประมาณด้านสาธารณสุขยังถูกตัดอย่างกะทันหัน ทำให้ผู้ป่วยหลายรายไม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่จำเป็นภายนอกได้เนื่องจากข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย บางรายถึงขั้นเสียชีวิต ความหวังของเยาวชนลดลงเนื่องจากขาดโอกาสในการทำงานและการศึกษาต่อ เจ้าหน้าที่ค่ายจึงกังวลว่า ปัญหาเหล่านี้อาจนำไปสู่กิจกรรมผิดกฎหมาย และหวังว่าจะมีการสนับสนุนให้ผู้ลี้ภัยสามารถพึ่งพาตนเองได้
“ตอนนี้เรามีเวลาอีกเพียง 41 วันก่อนสิ้นสุดงบอาหาร หวังว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น ให้ผู้ลี้ภัยได้มีโอกาสทำงานและดูแลตัวเองได้”
ในช่วงสุดท้าย เครือข่ายสนับสนุนสันติภาพกะเหรี่ยง KPSN ได้แถลงการณ์สะท้อนสถานการณ์วิกฤตของผู้ลี้ภัย ในค่ายพักพิงตามแนวชายแดนไทย–พม่า ซึ่งขณะนี้กำลังเผชิญกับปัญหาความอยู่รอดอย่างรุนแรง จากการถูกลดงบประมาณสนับสนุนด้านอาหารและบริการสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
เครือข่ายฯ ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ลี้ภัยมากกว่า 180,000 คนในค่ายพักพิง 9 แห่งที่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากองค์กรนานาชาติ แต่งบประมาณด้านอาหารสำหรับเดือนเมษายน 2568 ถูกปรับลดลงจากปี 2567 ราว 247 บาท เหลือเพียง 77 บาทต่อคนต่อเดือน (ราว 2.33 ดอลลาร์สหรัฐ) แม้จะมีการปรับเพิ่มเป็น 176 บาท (ประมาณ 5.33 ดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะได้รับการสนับสนุนต่อไปหลังเดือนกรกฎาคมหรือไม่
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา แหล่งทุนต่างๆ ค่อยๆ ลดการสนับสนุนลงอย่างต่อเนื่อง แต่การตัดงบอย่างฉับพลันในปีนี้นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และส่งผลกระทบโดยตรงต่อความอยู่รอดของผู้ลี้ภัย ขณะเดียวกัน งบประมาณด้านบริการสุขภาพก็ถูกตัดลดลงต่อเนื่อง ทำให้ผู้ลี้ภัยต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในขณะที่พวกเขาไม่สามารถทำงานเพื่อเลี้ยงชีพได้
“ผู้ลี้ภัยไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากค่ายเพื่อทำงานหารายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวแม้จะมีความต้องการแรงงานจากชุมชนที่อยู่รายรอบค่ายฯ แต่ผู้ลี้ภัยไม่สามารถออกจากค่ายฯ เพื่อมาทำงานได้อย่าง ถูกต้องตามกฎหมาย และการเสี่ยงออกมาทำงานเพื่อความอยู่รอดนั้นต้องแลกกับการถูกจับกุมและลงโทษได้เสมอขณะนี้”
ในแถลงการณ์ยังชี้ว่า แม้กองกำลังกะเหรี่ยง (KNU) จะสามารถควบคุมพื้นที่ใกล้ชายแดนไทยได้มากขึ้น แต่สถานการณ์การสู้รบ รวมถึงการโจมตีพลเรือนโดยรัฐบาลทหารเมียนมา (SAC) ยังทำให้ไม่สามารถส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศได้อย่างปลอดภัย
เครือข่ายฯ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยอนุญาตและจัดระบบให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานนอกค่ายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเพื่อให้พวกเขาสามารถพึ่งพาตนเอง ลดภาระการช่วยเหลือในระยะยาว และมีส่วนร่วมกับสังคมไทยได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ผู้บริจาคนานาชาติคงระดับการสนับสนุนด้านอาหาร สุขภาพ และการศึกษาไว้ในเบื้องต้น พร้อมทั้งให้มีการประเมินร่วมกับรัฐบาลไทยและคณะกรรมการผู้ลี้ภัยถึงแนวทางการปรับลดงบประมาณในอนาคตอย่างเหมาะสม เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่การพึ่งพาตนเองเป็นไปอย่างเป็นระบบ
ท้ายที่สุด เครือข่ายฯ เสนอให้รัฐบาลไทยเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยได้เข้าถึงการเรียนรู้ภาษาไทยและการศึกษานอกระบบ เช่น กศน. เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนสามารถเติบโตเป็นกำลังแรงงานที่มีคุณภาพของประเทศต่อไปในอนาคต
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...