เริ่มรื้อแล้ว ฝายพญาคำ ชาวบ้าน-นักวิชาการเตรียมยื่นศาลปกครอง หวั่นผลกระทบน้ำและชุมชน

ภาพ: เปรม เต็งสวัสดิกุล

20 กันยายน 2568 จังหวัดเชียงใหม่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มดำเนินการรื้อถอนฝายพญาคำ ฝายโบราณที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมตั้งแต่ปี 2558 ความเคลื่อนไหวนี้สร้างความกังวลในหมู่ชาวบ้านผู้ใช้น้ำและนักวิชาการด้านวัฒนธรรม

สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 11 มีนาคม 2568 เห็นชอบแผนแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างน้ำในภาคเหนือแบบเร่งด่วน ครอบคลุมแม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ และแม่น้ำกก-สาย จังหวัดเชียงราย ด้วยงบประมาณ 213 ล้านบาท สำหรับเชียงใหม่ แผนดังกล่าวใช้งบ 171.4 ล้านบาท แบ่งเป็นการขุดลอกลำน้ำปิง 41 กม. ขุดตะกอนกว่า 1.7 ล้านลูกบาศก์เมตร วงเงิน 157.6 ล้านบาท และรื้อฝายเก่า 3 แห่ง ได้แก่ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล วงเงิน 13.8 ล้านบาท 

แม้เครือข่ายชาวบ้าน กลุ่มผู้ใช้น้ำ ภาคประชาสังคม และนักวิชาการได้ยื่นคัดค้านการรื้อฝายต่อผู้ว่าฯ คณะรัฐมนตรี กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเสนอให้ทบทวนและตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน แต่การรื้อถอนก็ยังดำเนินต่อไป

ล่าสุดวันที่ 19 กันยายน 2568 ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานมูลนิธิสืบสานล้านนา พร้อมคณะ เข้าพบ ทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอทบทวนการรื้อฝาย โดยระบุว่าฝายไม่ใช่สาเหตุของน้ำท่วม แต่เกิดจากการบุกรุกแม่น้ำปิง พร้อมหารือเรื่องการฟื้นฟูเหมือง และเตรียมยื่นคัดค้านต่อศาลปกครอง

ผู้ว่าฯ ชี้แจงว่า การรื้อฝายทั้ง 3 แห่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีและหลักวิชาการ มีประตูระบายน้ำท่าวังตาลบริหารน้ำเข้าสู่เหมืองทั้ง 3 แห่งมาตลอด จนนำไปสู่การอนุมัติงบประมาณ พร้อมระบุว่า จังหวัดเชียงใหม่จะสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ศาลเจ้าพ่อพญาคำ เรืองฤทธิ์ ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาวัฒนธรรม และผลักดันงบขุดขยายแม่น้ำปิง รวมถึงพัฒนาโครงข่ายเหมืองทั้ง 3 แห่ง เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากน้ำท่วมและมีน้ำใช้อย่างยั่งยืน

นักวิชาการและชาวบ้านเตือนผลกระทบรื้อฝายพญาคำ

ทนวินท วิจิตรพร นักสถาปัตยกรรมชุมชนจากสมาคมเพื่อการออกแบบและส่งเสริมพื้นที่สาธารณะและพื้นที่สีเขียว ชี้ว่า ฝายพญาคำไม่ใช่เพียงมรดกทางวิศวกรรม แต่เป็นตัวแทนของ ‘แนวคิดอยู่ร่วมกับน้ำ’ ที่เชียงใหม่เคยใช้ได้อย่างชาญฉลาด เขาเตือนว่า แม้รื้อฝาย การระบายน้ำอาจดีขึ้นเพียง 5–10% แต่สิ่งที่จะสูญเสียคือองค์ความรู้ทางวัฒนธรรมและสายสัมพันธ์ระหว่างคนกับภูมิประเทศ พร้อมย้ำว่าปัญหาน้ำท่วมจะยังคงอยู่หากไม่แก้ ‘จุดคอขวด’ ที่แท้จริง เช่น สะพานหรือสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำ

ขณะที่ ปวร มณีสถิตย์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาภูมิสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ว่า ปัญหาน้ำท่วมไม่ใช่เรื่องฝายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากโครงสร้างระบบน้ำถูกแทรกแซง เขาเสนอว่าไม่ควรรื้อฝายดั้งเดิม แต่ควรปรับปรุงให้สอดคล้องกับฤดูกาล ชุมชน และลำเหมืองที่ยังมีศักยภาพ พร้อมแนะแนวทางเชิงระบบ เช่น เวนคืนพื้นที่ริมฝายพญาคำเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวและรับน้ำในฤดูฝน รวมถึงใช้ลำเหมืองพญาคำที่เชื่อมแม่น้ำปิง–กวงเป็นแกนกลางของระบบจัดการน้ำเมือง หากพัฒนาสำเร็จ จะเป็นต้นแบบสำคัญของภาคเหนือ

“การจัดการน้ำต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีระบบ เมืองต้องวางแผนระยะยาว เชิงพื้นที่ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น รื้อฝายหรือขุดลอกเพียงจุดเดียว พื้นที่นี้มีศักยภาพมากกว่าแค่ทางระบายน้ำ เมืองของเราจะอยู่ร่วมกับน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ปวรกล่าว

ฝั่งชาวบ้าน มงคล ศรีสังวาลย์ ชาวชุมชนเมืองกาย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ผู้ใช้ชีวิตในพื้นที่มากกว่า 70 ปี กล่าวว่า เขาไม่เคยเห็นน้ำในลำเหมืองพญาคำแห้ง แม้ฝายจะเปลี่ยนจากไม้เป็นไม้ไผ่หรือฝายหิน ก็ไม่กระทบการไหลของน้ำ

มงคลอธิบายว่า หลังน้ำท่วมครั้งล่าสุด ทรายและดินสะสมบริเวณปากประตูน้ำ ทำให้ลำน้ำกว้างเพียงหนึ่งเมตร ลึกแค่สองคืบ น้ำไหลช้า และมีดินใหม่สไลด์ลงมาอีกมาก ปัญหานี้สะสมเพราะลำน้ำขาดการบำรุงรักษาต่อเนื่อง แม้ชาวบ้านเคยช่วยขุดลอกทุกปี แต่หยุดไปกว่า 10 ปี

เขาเห็นว่าการขุดลอกน้ำปิงเฉพาะในเมืองช่วยได้บ้าง แต่ไม่แก้ต้นเหตุ เพราะพื้นที่แคบและตื้น น้ำจึงไหลไม่สะดวกเหมือนขวดน้ำปากแคบ ทำให้ล้นและสร้างความเสียหาย จึงเสนอให้ขยายทั้งความกว้างและความลึกของลำน้ำ เพื่อเพิ่มความจุและลดน้ำท่วมได้ดีกว่าการขุดเฉพาะในเมือง

มรดกภูมิปัญญาล้านนา 300 ปี ที่อาจสูญหาย

ฝายพญาคำไม่ใช่เพียงโครงสร้างไม้และหิน แต่คือภูมิปัญญาล้านนากว่า 300 ปี เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำปิงเข้าสู่พื้นที่เกษตรกว่า 36,000 ไร่ ครอบคลุม 8 ตำบลในเชียงใหม่และลำพูน การรื้อฝายจึงส่งผลไม่เพียงเชิงกายภาพ แต่กระทบโครงสร้างสังคมและวิถีวัฒนธรรม

ระบบชลประทานแรงโน้มถ่วงส่งน้ำผ่านลำเหมืองหลวงยาว 22 กม. แตกแขนงเป็นลำเหมืองย่อยหลายสิบสาย ครอบคลุม 3 อำเภอ กลไกควบคุมน้ำและกติกาชุมชน อย่าง ‘แก่ฝาย-ล่ามน้ำ-ลูกฝาย’ แสดงถึงการจัดการน้ำที่ชาญฉลาดและเป็นธรรม หากฝายถูกทำลาย เส้นทางน้ำที่หล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกว่า 36,000 ไร่ และกิจกรรมชุมชน เช่น สวนลำไย การอนุรักษ์พันธุ์ปลา จะได้รับผลกระทบโดยตรง

ฝายยังสร้างความร่วมมือทางสังคม ทุกสิ้นฤดูทำนา ชาวบ้านร่วมขุดลอกลำเหมืองเป็นประเพณีแห่งความสามัคคี หากฝายถูกรื้อ วงจรความร่วมมือนี้และความผูกพันระหว่างน้ำ ศรัทธา และชีวิตผู้คนจะเลือนหาย

แม้พื้นที่รอบปากเหมืองกลายเป็นย่านธุรกิจ แต่พื้นที่ถัดไปยังพึ่งพาน้ำจากลำเหมือง โดยเฉพาะในวิกฤตน้ำท่วม พื้นที่ริมลำเหมืองฟื้นตัวเร็วและใช้น้ำช่วยชะล้างสิ่งสกปรก การรื้อฝายจึงเท่ากับตัด ‘เครื่องมือรับมือภัยพิบัติ’ ของเมือง

ฝายพญาคำจึงไม่ใช่เพียงสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ แต่เป็นระบบนิเวศ สังคม และวัฒนธรรมที่ยังมีชีวิต การรื้อถอนอาจทำให้เชียงใหม่สูญเสียมรดกภูมิปัญญาที่ทรงคุณค่าที่สุดชิ้นหนึ่งไปตลอดกาล

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง