เรื่องและภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง
Summary
- ปัญหาน้ำท่วมเป็นสถานการณ์ที่เกิดซ้ำทุกปีในช่วงฤดูฝน ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ
- จากการสำรวจพื้นที่น้ำท่วมใน 17 จังหวัดภาคเหนือ สามารถแบ่งประเภทของน้ำท่วมเพื่อทำการศึกษาเชิงลึกได้ดังนี้ 1.น้ำท่วมขังเขตเมือง 2.น้ำป่าไหลหลาก และ 3.น้ำล้นตลิ่ง
- โดยในแต่ละประเภทได้เลือกพื้นที่ในการศึกษาเชิงลึกดังนี้ 1.น้ำท่วมขังเขตเมือง (เทศบาลนครเชียงใหม่, เทศบาลนครเชียงราย) 2.น้ำป่าไหลหลาก (อ.แม่สาย จ.เชียงราย, อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่) 3.น้ำล้นตลิ่ง (พื้นที่บางระกำโมเดล ประกอบด้วย อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย และ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก)
- จากการศึกษาพื้นที่น้ำท่วมขังเขตเมือง ทั้งใน จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย พบว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดน้ำท่วมขังประกอบด้วย การขยายตัวของเมือง เปลี่ยนจากพื้นที่เกษตรกรรมเป็นพื้นที่เมือง และ ระบบระบายน้ำในเขตเมือง
- ในขณะที่น้ำป่าไหลหลาก ทั้งใน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ และ อ.แม่สาย จ.เชียงราย พบว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน เปลี่ยนพื้นที่ป่าให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีส่วนสำคัญทำให้เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากมีความรุนแรงขึ้น
- แลกรณีน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่บางระกำโมเดล พบว่าความรุนแรงของสถานการณ์น้ำท่วมเกิดจากบทบาทของพื้นที่ในการเป็นแหล่งรับน้ำหลากของลุ่มน้ำยม โดยพื้นที่อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย และอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ถูกกำหนดให้รองรับและหน่วงน้ำตามแนวทางการบริหารจัดการน้ำระดับลุ่มน้ำ ส่งผลให้ชุมชนและพื้นที่เกษตรต้องเผชิญน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานานและเกิดซ้ำอย่างต่อเนื่อง
- จากการสำรวจงบประมาณที่ใช้ไปสำหรับการดูแลจัดการปัญหาน้ำท่วม พบว่าใน 5 พื้นที่ จาก 6 อำเภอ มีงบประมาณทั้งสิ้น 596,125,800 บาท โดยพบว่าเป็น งบที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง 334,432,600 บาท, งบที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาสิ่งก่อสร้าง 244,999,000 บาท, งบที่เกี่ยวกับการจัดซื้อและจัดจ้าง 12,702,600 บาท และงบที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันภัยและเยียวยา 4,041,600 บาท

เมื่อก้าวเข้าสู่ฤดูฝน หลังผ่านช่วงอากาศร้อนอบอ้าวของหน้าร้อน หลายพื้นที่ทั่วประเทศเริ่มเผชิญความเสี่ยงจากน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ปัญหาน้ำท่วมจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกปี ส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เศรษฐกิจในพื้นที่ และโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่น
สำหรับภาคเหนือ ปัญหาน้ำท่วมส่วนใหญ่มีความเชื่อมโยงกับลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ กล่าวได้ว่าภาคเหนือกับน้ำท่วมไม่ใช่เรื่องใหม่ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้มาอย่างยาวนานในเชิงประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถควบคุมหรือห้ามไม่ให้ฝนตกได้ สิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้คือการ ‘รับมือ’ กับน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพ
แม้การรับมือจะไม่ช่วยลดปริมาณน้ำฝน แต่หากมีการจัดการที่เหมาะสม ก็สามารถลดความเสียหายและความรุนแรงของผลกระทบลงได้อย่างมีนัยสำคัญ จากการสำรวจพื้นที่ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ พบว่าสถานการณ์น้ำท่วมสามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภทหลักตามลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่ น้ำท่วมขังในเขตเมือง น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง
รายงานนี้จึงเลือกพื้นที่ศึกษาจากแต่ละลักษณะของน้ำท่วม เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์เชิงลึก 3 ลักษณะ จาก 5 พื้นที่ ใน 6 อำเภอ ดังนี้
- น้ำท่วมขังเขตเมือง ประกอบด้วย เทศบาลนครเชียงใหม่, เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของภาคเหนือที่มีบทบาททางเศรษฐกิจและการคมนาคมสำคัญ โดยทั้งสองพื้นที่มีรูปแบบการขยายตัวของเมือง ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบระบายน้ำที่แตกต่างกัน
- น้ำป่าไหลหลาก ประกอบด้วย อ.แม่สาย จ.เชียงราย, อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เพื่อสะท้อนสถานการณ์ในพื้นที่ต้นน้ำและการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้น้ำป่าไหลหลากมีความรุนแรงยิ่งขึ้น
- น้ำล้นตลิ่ง ประกอบด้วย พื้นที่บางระกำโมเดล (อ.กงไกรลาศ จ.พิษณุโลก, อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก) ในฐานะพื้นที่รับน้ำในลุ่มน้ำยม ซึ่งเกิดเหตุการณ์น้ำล้นตลิ่งเป็นประจำ เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง
พื้นที่ทั้งสามกลุ่มสะท้อนรูปแบบภูมิศาสตร์และปัจจัยเสี่ยงที่แตกต่างกัน และจะถูกใช้เป็นกรณีศึกษาในการวิเคราะห์ภาพรวมของสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาให้ลึกไปกว่าคำอธิบายว่า ‘น้ำท่วมเพราะฝนตกหนัก’ เท่านั้น
ไม่ใช่แค่น้ำฝนที่ส่งผลให้น้ำท่วม: ระบบระบายน้ำในตัวเมืองเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักของน้ำท่วมขังเขตเมือง
ปัญหาน้ำท่วมขังในเขตเมืองเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของการพัฒนาเมืองในภาคเหนือ ซึ่งเกิดจากการซ้อนทับกันของปัจจัยทางธรรมชาติและโครงสร้างเมือง ทั้งลักษณะภูมิประเทศที่เดิมเป็นพื้นที่รับน้ำ การขยายตัวของเมืองที่เปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และข้อจำกัดของระบบระบายน้ำที่ต้องรองรับน้ำจากหลายแหล่งพร้อมกัน เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดซ้ำในหลายเมืองสะท้อนให้เห็นว่า น้ำท่วมขังไม่ได้เป็นเพียงผลจากฝนตกหนักเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับรูปแบบการจัดการน้ำและการวางผังเมือง
เชียงใหม่ชัด เพียงแค่ฝนตกน้ำก็พร้อมท่วมขังเมืองนาน โครงสร้างเมืองรอบรับน้ำจำกัด ปัญหาซ้ำที่ยังแก้ไม่ขาด
เทศบาลนครเชียงใหม่ ในปี 2568 พบว่ามีเหตุการณ์น้ำท่วมทั้งสิ้น 11 ครั้ง โดยแบ่งเป็นน้ำท่วมขังจากฝนตก 5 ครั้ง เป็นน้ำป่าไหลหลาก 4 ครั้ง และเป็นน้ำล้นตลิ่ง 1 ครั้ง
จากเหตุการณ์ฝนตกหนักส่งผลให้น้ำท่วมขัง 5 ครั้ง ชี้ให้เห็นว่าจุดที่มีน้ำท่วมซ้ำซากทุกครั้งในตัวเมืองเชียงใหม่ คือ
- ต.สุเทพ, ต.ช้างคลาน, ต.หายยา (5 ครั้ง)
- ต.ช้างเผือก (4 ครั้ง)
- ต.ป่าแดด (3 ครั้ง)
- ต.วัดเกตุ, ต.ช้างม่อย, ต.ศรีภูมิ (2 ครั้ง)
- ต.ฟ้าฮ่าม (1 ครั้ง)

ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมบ่อยที่สุดในเขตเมืองเชียงใหม่คือชุมชนศรีปิงเมือง (ตำบลหายยา) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำตอนใต้ของตัวเมือง ลักษณะภูมิประเทศทำให้พื้นที่นี้มักเป็นจุดแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบเมื่อเกิดน้ำท่วม ระดับน้ำเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วและระบายออกได้ช้ากว่าพื้นที่อื่น ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือน ร้านค้า และเส้นทางสัญจรอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน รายงานน้ำท่วมหลายเหตุการณ์ยังพบว่า ในบางช่วงแม้ไม่มีฝนตกในตัวเมือง ก็ยังเกิดภาวะน้ำท่วมขัง สะท้อนข้อจำกัดของระบบระบายน้ำ ทั้งความสามารถในการรองรับปริมาณน้ำ ปัญหาการอุดตัน และข้อจำกัดในการระบายน้ำลงสู่แม่น้ำปิงในบางช่วงเวลา

ภาพรวมดังกล่าวสอดคล้องกับงานศึกษา Relationship Between Urbanization–Induced Land Use Changes and Flood Risk: Case Study in Chiang Mai, Thailand ซึ่งศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการขยายตัวของเมืองกับความเสี่ยงน้ำท่วมในช่วงปี 2533 – 2561 โดยชี้ว่าปัญหาน้ำท่วมขังในเขตเมืองเชียงใหม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยเฉพาะการเปลี่ยนพื้นที่นาข้าวเป็นพื้นที่เมือง ทำให้ความสามารถในการกักเก็บน้ำตามธรรมชาติลดลง ส่งผลให้น้ำฝนไหลบ่าลงสู่พื้นที่เมืองโดยตรงมากขึ้นในช่วงฝนตก

นอกจากนี้ ข้อมูลจากเอกสารวิทยานิพนธ์ แนวทางปองกันการเกิดอุทกภัยในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ยังชี้ให้เห็นสาเหตุของน้ำล้นตลิ่งว่า ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือการรุกล้ำพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ทั้งในรูปแบบที่อยู่อาศัยและสิ่งปลูกสร้าง เช่น ถนน สะพาน และฝาย สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ทำหน้าที่กีดขวางทางน้ำโดยปริยาย รวมไปทั้งลดความสามารถในการไหลของลำน้ำ ทำให้น้ำระบายได้ไม่สะดวก และเมื่อระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจึงเกิดการล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ริมฝั่งในที่สุด

ทั้งนี้ ในเอกสารดังกล่าวยังระบุด้วยว่า แม้ระบบระบายน้ำในเขตเมืองจะไม่ใช่ปัจจัยหลักของการเกิดน้ำท่วม เมื่อเทียบกับปัจจัยอื่น เช่น ปริมาณฝนทั้งในและนอกเขตเมือง การรุกล้ำพื้นที่ริมน้ำ และสภาพแม่น้ำปิงที่ตื้นเขิน แต่ระบบระบายน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความรุนแรงของน้ำท่วม โดยพบว่าท่อและรางระบายน้ำตามถนนหลายสายในเขตเมืองมีขนาดเล็ก และเกิดการอุดตันจากขยะพลาสติก ส่งผลให้การระบายน้ำออกจากผิวจราจรล่าช้าลงเมื่อเกิดฝนตกหนัก
นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นว่าในถนนหลายสายในพื้นที่เขตตัวเมืองเชียงใหม่มีศักยภาพในการระบายน้ำได้ต่ำ ประกอบด้วย ถนนช้างคลาง ถนนสุเทพ ถนนทุ่งโฮเต็ล ถนนเชียงใหม่ – ลำพูด ถนนบุญเรืองฤทธ์ ถนนวังสิงห์คำ ถนนแก้วนวรัฐ ถนนนิมมานเหมินทร์ ถนนรัตนโกสินทร์ ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ถนนเจริญราษฏร์ ถนนกำแพงดิน ถนนเวียงแก้ว ถนนบำรุงราษฎ์ ถนนคชสาร ถนนเจริญประเทศ ถนนระแกง ถนนอารักษ์ ถนนประชาสัมพันธ์ ถนนราชมรรคา ถนนสิทธิวงศ์ ถนนหัสดิเสวี ถนนช้างม่อยเก่า ถนนข้างสุขศาลา ถนนสันนาลุง ถนนศรีปิงเมือง ถนนช่างหล่อ ถนนราษฎร์อุทิศ และถนนบำรุงบุรี
ขณะที่ในกรณีเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก ตลอดปี 2568 พบเกิดขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง โดยส่วนใหญ่เกิดในพื้นที่ชุมชนช่างเคี่ยนที่ตั้งติดกับเชิงดอยสุเทพ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักภาพในการระบายน้ำต่ำ ทำให้เมื่อเกิดฝนตกหนักบนดอยแม้ในช่วงเวลาสั้น น้ำป่าที่ไหลบ่าลงสู่ชุมชนอย่างรวดเร็ว ผนวกกับปัญหาระบบระบายน้ำที่อุดตัน จึงนำไปสู่ภาวะน้ำท่วมขังตามมาในภายหลัง

ปัญหาน้ำท่วมขังเรื้อรังในเชียงใหม่ จากการสำรวจพบว่ามีหน่วยงานที่ดูแลปัญหาอุทกภัยโดยตรงทั้งสิ้น 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1.เทศบาลนครเชียงใหม่ 2.กรมชลประทาน และ 3.กรมโยธาธิการและผังเมือง
จากเอกสารงบประมาณประจำปี 2569 พบว่าเมืองเชียงใหม่ได้รับงบจัดสรรในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมทั้งสิ้น 114,277,000 บาท แบ่งออกเป็นงบของเทศบาลนครเชียงใหม่ 48,957,000 บาท คิดเป็น 42.86% ของงบฯ ทั้งหมด ส่วนที่เหลือแบ่งเป็นงบกรมโยธาธิการและผังเมือง 40,500,000 บาท คิดเป็น 35.42% ของงบฯ และของกรมชลประทาน 24,820,000 บาท คิดเป็น 21.72% ของงบฯ
ทั้งนี้ หากแยกตามประเภทงานโดยเรียงงบประมาณจากมากสุดไปน้อยสุด พบว่า
- โครงการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง 21 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 102,070,000 บาท คิดเป็น 89.30% ของงบฯ ทั้งหมด แบ่งเป็น
- เทศบาลนครเชียงใหม่ 19 โครงการ 47,570,000 บาท
- กรมชลประทาน 1 โครงการ 14,000,000 บาท
- กรมโยธาธิการและผังเมือง 1 โครงการ 40,500,000 บาท
- งบที่เกี่ยวข้องกับการจัดจ้างและดำเนินการ 2 โครงการใช้งบประมาณทั้งสิ้น 12,207,000 บาท คิดเป็น 10.68% ของงบฯ ทั้งหมด แบ่งเป็น
- เทศบาลนครเชียงใหม่ 1 โครงการ 1,387,000 บาท
- กรมชลประทาน 1 โครงการ 10,820,000 บาท
เชียงรายแค่แม่น้ำกกล้นตลิ่ง เมืองก็พร้อมจม เพราะระบบระบายน้ำฝน – น้ำเสีย ใช้ทางเดียวกัน
ถัดมาที่เชียงราย พบว่าในปี 2568 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมทั้งสิ้น 3 ครั้ง เป็นน้ำท่วมขัง 2 ครั้ง และน้ำล้นตลิ่ง 1 ครั้ง

แม้ในปีนี้เหตุการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายจะไม่รุนแรงมากนัก แต่หากย้อนกลับไปในช่วงเดือนกันยายน ปี 2567 เมืองเชียงรายต้องเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 30 ปี หลังฝนตกหนักต่อเนื่องทั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพื้นที่ต้นน้ำ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วและล้นตลิ่งเข้าท่วมเขตตัวเมืองหลายจุด พื้นที่เศรษฐกิจ ชุมชนริมแม่น้ำ และเขตที่ลุ่มต่ำ โดยบางพื้นที่มีระดับน้ำท่วมสูงและใช้เวลาระบายน้ำนานกว่าปกติ

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของเมืองเชียงราย จากรายงาน การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (โครงการต้นแบบ จังหวัดเชียงราย) โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)เผยให้เห็นบทบาทของแม่น้ำกกในฐานะทั้งแหล่งรับน้ำและทางระบายน้ำหลักของเมืองเชียงราย ขณะเดียวกัน ระบบระบายน้ำในเขตเมืองต้องรองรับน้ำจากหลายทิศทางพร้อมกัน เมื่อระดับน้ำในแม่น้ำกกสูงจนล้นตลิ่ง ระบบระบายน้ำไม่สามารถระบายน้ำออกสู่แม่น้ำได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำหนุนและการระบายติดขัด น้ำจึงเอ่อท่วมพื้นที่เมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เหตุการณ์ปี 2567 จึงไม่เพียงเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่ยังชี้ให้เห็นความเปราะบางของโครงข่ายระบายน้ำและการจัดการพื้นที่เมืองที่ยังไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงน้ำท่วมที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว

ระบบระบายน้ำในเขตเมืองเชียงรายรับน้ำหลักจากแม่น้ำกก โดยเฉพาะในช่วงที่แม่น้ำกกมีระดับน้ำสูงจนล้นตลิ่ง มวลน้ำหจะไหลเข้าสู่คลองแม่กกน้อย ซึ่งเดิมเป็นคลองที่ชุมชนขุดขึ้นเพื่อผันน้ำจากแม่น้ำกกมาใช้ประโยชน์ ก่อนเข้าสู่ระบบระบายน้ำของเทศบาลเชียงราย ขณะเดียวกัน ระบบเดียวกันนี้ยังรองรับน้ำเสียจากครัวเรือน รวมทั้งน้ำจากลำเหมืองร่องช้าง ส่งผลให้ปริมาณน้ำจำนวนมากต้องไหลผ่านช่องทางเดียวกัน ทำให้เกิดสภาวะคอขวดที่ต้นทางของระบบระบายน้ำ
เมื่อคลองลำเลียงนำน้ำทั้งหมดเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำ เพื่อทำการบำบัดและระบายกลับลงสู่แม่น้ำกก ความสามารถในการระบายจะถูกจำกัดทันที หากแม่น้ำกกมีระดับน้ำสูงและล้นตลิ่งอยู่แล้ว น้ำจากระบบบำบัดจึงไม่สามารถระบายออกได้ทัน ทำให้เกิดการเอ่อท่วมในพื้นที่เขตเมืองในที่สุด

พบว่ามีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลปัญหาอุทกภัยทั้งสิ้น 3 หน่วยงานประกอบด้วย 1.เทศบาลนครเชียงราย 2.กรมชลประทาน และ 3.กรมโยธาธิการและผังเมือง
จากเอกสารงบประมาณประจำปี 2569 พบว่าเมืองเชียงรายมีงบประมาณในการดูแลปัญหาน้ำท่วมทั้งสิ้น 260,477,100 บาท หากแบ่งออกตามหน่วยงาน พบว่า เป็นของกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้รับงบประมาณ 177,293,100 บาท คิดเป็น 68.06% ของงบฯ เป็นของกรมชลประทาน ได้รับงบประมาณ 76,510,000 บาท คิดเป็น 29.37% ของงบฯ และเป็นของเทศบาลนครเชียงราย ได้รับงบประมาณ 6,674,000 บาท คิดเป็น 2.56% ของงบฯ
ทั้งนี้ หากแยกตามประเภทงานโดยเรียงงบประมาณจากมากสุดไปน้อยสุด พบว่า
- โครงการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง จำนวน 18 โครงการ (เทศบาลนครเชียงราย 10 โครงการ และกรมโยธาธิการและผังเมือง 7 โครงการ) ใช้งบประมาณรวม 208,377,100 บาท คิดเป็น 79.99% ของงบฯ แบ่งเป็น
- เทศบาลนครเชียงราย 10 โครงการ 6,574,000 บาท
- กรมชลประทาน 1 โครงการ 24,510,000 บาท
- กรมโยธาธิการและผังเมือง 7 โครงการ 177,293,100 บาท
- โครงการบำรุงรักษา จำนวน 2 โครงการ (ของกรมชลประทานทั้งหมด) ใช้งบประมาณ 52,000,000 บาท คิดเป็น 19.96% ของงบฯ แบ่งเป็น
- กรมชลประทาน 2 โครงการ 52,000,000 บาท
- โครงการที่เกี่ยวกับการเยียวยาหรือฟื้นฟู จำนวน 1 โครงการ (เทศบาลนครเชียงราย) ใช้งบประมาณ 100,000 บาท คิดเป็น 0.04% ของงบฯ แบ่งเป็น
- เทศบาลนครเชียงราย 1 โครงการ 100,000 บาท
จากป่าต้นน้ำสู่กระแสน้ำหลาก: เมื่อการใช้ที่ดินเปลี่ยน น้ำป่าไหลหลากก็รุนแรงขึ้น
ปัญหาน้ำป่าไหลหลากเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำในพื้นที่ภูเขาและพื้นที่ต้นน้ำของภาคเหนือ โดยมีสาเหตุจากฝนตกหนักในช่วงเวลาสั้นๆ บนพื้นที่สูง ทำให้น้ำไหลบ่าลงสู่พื้นที่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว พร้อมพัดพาตะกอน ดิน โคลน และเศษซากต่างๆ ลงมาด้วย ลักษณะของภัยดังกล่าวมักเกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรง ส่งผลกระทบต่อชุมชนที่ตั้งอยู่ริมน้ำและเชิงเขาอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก รายงานชิ้นนี้จึงหยิบยกกรณีศึกษาในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อศึกษาปัจจัยของสาเหตุน้ำป่าไหลหลากในบริบทพื้นที่ต้นน้ำที่แตกต่างกัน
แม่แจ่มฝนไม่ต้องหนัก แต่ ‘เขาหัวโล้น’ ก็ทำให้ฝนกลายเป็นน้ำป่ารุนแรงได้
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าในปี 2568 เกิดน้ำป่าไหลหลากจำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม และครั้งที่สองเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 22–25 กันยายน ทั้งสองเหตุการณ์มีความรุนแรงจากกระแสน้ำที่ไหลเร็วและเชี่ยวกราก
สำหรับเหตุการณ์ครั้งแรก วันที่ 27 สิงหาคม ช่วงที่มีฝนตกหนักที่สุดคือเวลา 01.00 – 02.00 น. โดยวัดปริมาณน้ำฝนได้เพียง 3.2 มม./ชั่วโมง ปริมาณน้ำฝนสะสมตลอดช่วงเกิดน้ำท่วมอยู่ที่ 22.4 มิลลิเมตร และมีปริมาณฝนรายวันอยู่ที่ 4.8 มม./วัน
ส่วนครั้งที่สอง วันที่ 22 กันยายน ช่วงฝนตกหนักที่สุดอยู่ในเวลา 23.00 – 00.00 น. มีปริมาณน้ำฝน 7 มม./ชั่วโมง ปริมาณฝนสะสมระหว่างเหตุการณ์รวม 20.8 มิลลิเมตร และมีปริมาณฝนรายวันอยู่ที่ 21 มม./วัน

ทั้งนี้ปริมาณน้ำฝนทั้งสองเหตุการณ์จัดว่าอยู่ในระดับ ‘ฝนเล็กน้อยถึงปานกลาง’ ตามเกณฑ์กรมอุตุนิยมวิทยา แต่อย่างไรก็ตาม กลับเกิดน้ำป่าไหลหลากอย่างรุนแรงในพื้นที่ จึงนำไปสู่คำถามสำคัญต่อการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ว่า เหตุใดปริมาณฝนที่ไม่ได้รุนแรงจึงสามารถก่อให้เกิดน้ำป่าไหลหลากที่มีความอันตรายได้
จากการสำรวจพื้นที่โดยรอบ พบว่าตำบลช่างเคิ่งตั้งอยู่ในหุบ ล้อมด้วยภูเขาหัวโล้น สภาพดังกล่าวเกิดจากการทำไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินจากป่าไปสู่เกษตรเชิงเดี่ยว ทำให้หน้าดินเปราะบางและซึมซับน้ำฝนได้ช้าลง


งานวิจัย Effects of landuse change on the hydrologic regime of the Mae Chaem river basin จาก World Agroforestry (ICRAF) ที่ศึกษาการเปลี่ยนแปลงประโยชน์การใช้ที่ดินในลุ่มน้ำแม่แจ่ม ชี้ว่า การถางป่าเพื่อปลูกพืชเชิงพาณิชย์ อย่างเช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะในพื้นที่สูง ทำให้ระดับการคายน้ำของพืชลดลง และน้ำไหลบ่าผิวดินเพิ่มขึ้น เมื่อปริมาณน้ำส่วนเกินไหลลงสู่ลุ่มน้ำด้านล่างมากขึ้น พื้นที่ปลายน้ำ (เช่นตำบลช่างเคิ่ง) จึงมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์น้ำหลากสูงขึ้น แม้ว่างานวิจัยจะไม่ได้ประเมินน้ำป่าโดยตรง แต่ผลสรุปของวิจัยก็แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ที่ดินทำให้พื้นที่เกิดความเปราะบางต่อผิวดินและน้ำไหลเข้าสู่ชุมชนเร็วขึ้น

ในส่วนของหน่วยงานที่รับผิดชอบและงบประมาณในการดูแลปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ จากการสำรวจของ Lanner พบว่า ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลปัญหาอุทกภัยทั้งสิ้น 2 หน่วยงานคือ 1.อบต.ช่างเคิ่ง และ 2.กรมชลประทาน
งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมมีทั้งสิ้น 14,306,600 บาท แบ่งออกเป็นขององค์การบริหารส่วนตำบลช่างเคิ่ง 1,306,000 บาท คิดเป็น 9.13% ของงบฯ และของกรมชลประทาน 13,000,000 บาท คิดเป็น 90.87% ของงบฯ
ทั้งนี้ หากแยกตามประเภทงานโดยเรียงงบประมาณจากมากสุดไปน้อยสุด พบว่า
- โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษา จำนวน 1 โครงการ (กรมชลประทาน) ใช้งบประมาณ 13,000,000 บาท คิดเป็น 90.87% ของงบฯ
- โครงการก่อสร้าง จำนวน 5 โครงการ (อบต.ช่างเคิ่ง) ใช้งบประมาณ 1,191,000 บาท คิดเป็น 8.33% ของงบฯ
- โครงการที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาหรือฟื้นฟู จำนวน 1 โครงการ (อบต.ช่างเคิ่ง) ใช้งบประมาณ 100,000 บาท คิดเป็น 0.70% ของงบฯ
แม่สายน้ำป่าซ้ำซาก ปัญหาที่วนกลับมาในทุกปี เหตุเพราะป่าต้นน้ำหาย – เมืองขยายเร่งวิกฤติให้รุนแรงขึ้น
อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำป่าไหลหลากจากลักษณะภูมิประเทศภูเขาสูงชัน เมื่อเกิดฝนตกหนักในบริเวณยอดเขา จึงทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันพื้นที่ริมน้ำก็รับน้ำมาจากเทือกเขารัฐฉาน โดยมีแม่น้ำสายเป็นทางระบายหลัก เมื่อเกิดฝนหนักในพื้นที่ต้นน้ำอย่างรัฐฉาน มวลน้ำจึงไหลบ่าจากแนวเขาลงสู่ลำน้ำสายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นฉับพลันและล้นตลิ่ง

ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว อ.แม่สาย จึงเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงฤดูมรสุมที่ฝนในรัฐฉานและฝั่งไทยตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้ชุมชนลุ่มต่ำ เขตเทศบาล และพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนได้รับผลกระทบบ่อยครั้ง เหตุการณ์มักเกิดรวดเร็วและรุนแรงต่อชุมชนริมสองฝั่งน้ำทั้งไทยและเมียนมา
จากการสำรวจรายงานน้ำท่วมและปริมาณน้ำฝนในปี 2568 พบว่ามีเหตุการณ์น้ำท่วมทั้งสิ้น 6 ครั้ง โดยแบ่งออกเป็น น้ำป่าไหลหลาก 3 ครั้ง เป็นน้ำล้นตลิ่ง 2 ครั้ง และน้ำท่วมขัง 1 ครั้ง อย่างไรก็ตามเหตุการณ์น้ำล้นตลิ่ง ทั้ง 2 ครั้งพบว่า ต้นเหตุมาจากฝนตกหนักจนเกิดน้ำป่าไหลหลากในบริเวณ บ้านโจตาดา รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ก่อนที่มวลน้ำจะไหลลงแม่น้ำสาย และไหลทะลักเข้าสู่ อ.แม่สาย ในลำดับต่อมา

สาเหตุหลักของปัญหาน้ำท่วมใน อ.แม่สาย พบว่ามีสองปัจจัยสำคัญที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ (อาทิ ปริมาณน้ำฝน, เรื่องภูมิศาสตร์) ปัจจัยแรกคือการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินในพื้นที่ต้นน้ำรัฐฉาน จากพื้นที่ป่าที่เคยซับและชะลอการไหลของน้ำ ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรเชิงพาณิชย์และพื้นที่ทำเหมืองแร่ต่างๆ ทำให้ความสามารถในการดูดซับน้ำลดลงอย่างมาก เมื่อเกิดฝนหนัก มวลน้ำจึงไหลลงสู่ลำน้ำสายด้วยความเร็ว และทะลักเข้าสู่ อ.แม่สาย ในลำดับต่อมา

อีกปัจจัยคือการขยายตัวของเมืองริมลำน้ำ ใน อ.แม่สาย และท่าขี้เหล็ก ส่งผลให้ทางระบายน้ำแคบลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่แม่น้ำสายกว้างราว 150 เมตร ปัจจุบันเหลือเพียง 20–30 เมตร การบีบพื้นที่เช่นนี้ทำให้เกิดภาวะคอขวดตามธรรมชาติ เมื่อปริมาณฝนสูงทั้งในพื้นที่และต้นน้ำ มวลน้ำไม่สามารถระบายได้ทัน จึงไหลทะลักเข้าท่วมเขตเมืองอย่างรวดเร็ว

จากเอกสาร เทศบัญญัติ เรื่อง งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ของเทศบาลตำบลแม่สาย และ เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำงบประมาณ พ.ศ.2569 ของเทศบาลตำบลเวียงพางคำ พบว่ามีงบประมาณประจำปีเพียง 9,506,600 บาท โดยแบ่งออกเป็นของ เทศบาลตำบลแม่สาย 3,849,600 บาท คิดเป็น 40.49% ของงบฯ และเป็นของเทศบาลตำบลเวียงพางคำ 5,657,000 บาท คิดเป็น 59.51% ของงบฯ
ทั้งนี้ หากแยกตามประเภทงานโดยเรียงงบประมาณจากมากสุดไปน้อยสุด พบว่า
1.เป็นโครงการก่อสร้างรางระบายน้ำทั้งสิ้น 6 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 5,715,000 บาท คิดเป็น 60.13% ของงบฯ แบ่งเป็น
- เทศบาลตำบลแม่สาย 2 โครงการ 558,000 บาท
- เทศบาลตำบลเวียงพางคำ 4 โครงการ 5,157,000 บาท
2.เป็นงบป้องกันภัย 3 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 3,791,600 บาท คิดเป็น 39.87% ของงบฯ แบ่งเป็น
- เทศบาลตำบลแม่สาย 2 โครงการ 3,291,600 บาท
- เทศบาลตำบลเวียงพางคำ 1 โครงการ 500,000 บาท
อย่างไรก็ตาม แม้ อ.แม่สาย จ.เชียงราย จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากต่อเนื่องทุกปี แต่เมื่อพิจารณางบประมาณที่ใช้ในพื้นที่กลับพบว่า การดำเนินงานหลักยังคงพึ่งพา ‘งบกลาง’ ในส่วนเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น มากกว่าจะเป็น ‘งบประจำปี’ สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาเชิงระบบ
โครงสร้างงบประมาณลักษณะนี้ทำให้มาตรการรับมือมักเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากกว่าการลงทุนระยะยาวเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างทางน้ำหรือเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำในเชิงรุก ทั้งที่พื้นที่มีความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำเป็นประจำทุกปี ส่งผลให้การบริหารจัดการน้ำของแม่สายยังไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระบบป้องกันที่ยั่งยืน
ความปลอดภัยของเมืองหลวง กับสภาวะจำยอมของบางระกำ: บทบาทพื้นที่บางระกำโมเดลกับน้ำล้นตลิ่งที่ยืดเยื้อ
ปัญหาน้ำล้นตลิ่งเป็นลักษณะอุทกภัยที่เกิดจากปริมาณน้ำในลำน้ำหลักเพิ่มสูงเกินความสามารถในการรองรับของลำน้ำ โดยมักสัมพันธ์กับฝนตกต่อเนื่องในพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่และการไหลบ่าของน้ำจากพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เมื่อระดับน้ำเอ่อล้นออกจากตลิ่ง จะกระจายเข้าท่วมพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำตอนล่างเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกษตร ชุมชน และโครงสร้างพื้นฐานในระยะเวลายาวนาน บริบทของน้ำล้นตลิ่งในลุ่มน้ำยมจึงเป็นฉากหลังสำคัญเพราะเป็นลุ่มน้ำเดียวในภาคเหนือที่ไม่มีเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ผนวกเข้ากับโครงการ ‘บางระกำโมเดล’ จึงทำให้พื้นที่ อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย และ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก เป็นพื้นที่กรณีศึกษาที่สะท้อนการบริหารจัดการน้ำล้นตลิ่งในภาคเหนือช่วงล่าง
บางระกำช้ำ น้ำท่วมสูงแม้ฝนไม่ได้ตกหนัก ผลจากบางระกำโมเดล ทำชาวบ้านจมน้ำนานกว่า 4 เดือน

บางระกำเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำในลุ่มน้ำยมซึ่งเป็นแม่น้ำแห่งเดียวในภาคเหนือที่ไม่มีเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่รองรับเหมือนกับลุ่มน้ำอื่นๆ ภูมิประเทศลักษณะนี้โดยเดิมเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดน้ำล้นตลิ่งเป็นประจำตามฤดูกาลอยู่แล้ว ผนวกกับลักษณะเฉพาะของพื้นที่บางระกำที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำยมเป็นที่ลุ่มต่ำและฝั่งขวาของแม่น้ำยมเป็นที่ราบ ทำเมื่อเข้าสู่ปีมรสุมฝั่งซ้ายจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และเมื่อเข้าสู่ปีแล้งฝั่งขวาก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากภัยแล้ง

จากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 แนวคิดเรื่องการจัดการน้ำโดยใช้พื้นที่บางระกำเป็น ‘ทุ่งหน่วงน้ำ’ ชั่วคราวจึงเริ่มขึ้น ผ่านโครงการ ‘Bang Rakam Model 54’ ภายใต้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีการขุดบึงขนาดใหญ่ 3 แห่งให้กลายเป็นพื้นที่รับน้ำโดยธรรมชาติ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อชะลอการไหลของน้ำจากลุ่มน้ำยมก่อนเข้าสู่ลุ่มเจ้าพระยา ลดความเร่งรัดของปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ภาคกลางรวมถึงกรุงเทพฯ พร้อมปรับการบริหารน้ำในช่วงหน้าแล้ง โดยจัดสรรน้ำให้เหมาะสมกับพื้นที่เกษตร ลดความเสี่ยงจากภัยแล้ง สนับสนุนการเก็บน้ำสำรองสำหรับการเพาะปลูก
อย่างไรก็ตาม แม้พื้นที่รับน้ำชั่วคราวในขณะนั้นไม่อาจลดความรุนแรงของมหาอุทกภัยปี 2554 ได้ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นจุดตั้งต้นให้หลายหน่วยงานเริ่มผลักดันแนวคิดให้ อ.บางระกำ ทำหน้าที่เป็นทุ่งหน่วงน้ำในระยะยาว เพื่อรองรับน้ำหลากจากลุ่มน้ำยมอย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งต่อมามีการศึกษาความเป็นไปได้ในการออกแบบพื้นที่หน่วงน้ำขนาดใหญ่ก่อนโครงการ
ถูกชะลอในช่วงหนึ่งจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ และกลับมาศึกษาอย่างจริงจังอีกครั้งในช่วงปี 2558 – 2559 จนพัฒนากลายเป็นโครงการ ‘บางระกำโมเดล 60’ ในเวลาต่อมา
บางระกำโมเดลเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการในปี 2560 โดยใช้หลักบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่เป็นแกนกลาง หนึ่งในกลไกสำคัญคือการปรับปฏิทินเพาะปลูกของเกษตรกรให้เร็วขึ้นราว 1 เดือน (ขยับการเพาะปลูกจากเดือนพฤษภาคมมาเป็นเมษายน) เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก่อนที่รัฐจะประกาศผันน้ำเข้าพื้นที่ในช่วงสิงหาคม โดยมาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร
แม้โครงการบางระกำโมเดลจะได้รับรางวัล Impactful Solution จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 แต่ในทางปฏิบัติ ปีนี้ชาวอำเภอบางระกำกลับต้องเผชิญกับน้ำท่วมยาวนานกว่า 4 เดือน นับเป็นสถานการณ์ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ นอกจากนี้ ยังพบว่ากระบวนการเยียวยาและชดเชยความเสียหายดำเนินไปอย่างล่าช้าและไม่ครอบคลุม ขณะที่เสียงสะท้อนจากชาวบ้านในพื้นที่ชี้ว่า ตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีของการดำเนินโครงการ การมีส่วนร่วมของชุมชนยังมีอยู่อย่างจำกัด ไม่สอดคล้องกับผลกระทบที่ชุมชนต้องแบกรับ
จากการสำรวจข้อมูลปริมาณน้ำฝนใน อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย และ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็น 2 อำเภอที่อยู่ในบางระกำโมเดล พบว่าวันที่ฝนตกหนักมีเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น คือ
| ครั้งที่ | วันที่ | จังหวัด | อำเภอ | ปริมาณ น้ำฝน (มม./วัน) | ระดับน้ำในสถานี | ระดับน้ำในสถานีวันถัดมา | ส่วนต่าง |
| 1 | 22 ส.ค. | สุโขทัย | กงไกรลาศ | 148.80 | -3.11 | -3.03 | สูงขึ้น 8 ซม. |
| 2 | 26 ก.ย. | พิษณุโลก | บางระกำ | 166.20 | 3.30 | 3.38 | สูงขึ้น 8 ซม. |
| 3 | 1 พ.ย. | สุโขทัย | กงไกรลาศ | 176.20 | -3.30 | -3.20 | สูงขึ้น 10 ซม. |
| 1 พ.ย. | พิษณุโลก | บางระกำ | 127.60 | 1.63 | 1.55 | ลดลง 8 ซม. |
และปริมาณฝนในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบให้แม่น้ำยมสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่การเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่บางระกำโมเดลปีนี้ เป็นผลมา 1.ปรากฎการณ์ลานีญาที่ส่งผลให้ปริมาณฝนหนักขึ้นในภาคเหนือตอนบน ทำให้มวลน้ำในลุ่มน้ำยมมีปริมาณมากก่อนจะไหลลงมาสู่ภาคเหนือตอนล่าง และ 2.จากนโยบายบริหารจัดการน้ำของรัฐ ที่ไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้ตามแผนที่กำหนดไว้

จากการสำรวจข้อมูลระดับน้ำและปริมาณฝนรายวันที่บันทึกในสถานีต่างๆ ภายในพื้นที่บางระกำโมเดลของ Lanner พบว่า เหตุการณ์น้ำท่วมในปีนี้ เริ่มเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคม แม้ช่วงก่อนหน้านั้นอย่างเดือนกรกรฎาคมจะเป็นฤดูฝนเช่นกัน แต่กลับไม่พบสัญญาณน้ำล้นตลิ่งในระดับที่ทำให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่การเกษตร
ปริมาณน้ำเริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนหลังวันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่หน่วยงานรัฐกำหนดให้เป็นวันสุดท้ายของการเก็บเกี่ยว ก่อนที่จะเริ่มผันน้ำจากแม่น้ำยมเข้าพื้นที่บางระกำโมเดล และไม่นานหลังจากเริ่มผันน้ำราว 15 วันถัดมาในช่วงต้นเดือนกันยายน ข้อมูลระดับน้ำชี้ให้เห็นว่าปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ระดับน้ำพุ่งทะลุไปถึง 3 เมตรในช่วงปลายเดือนกันยายน โดยสถานีวัดระดับน้ำ Y.16 (บ้านปากคลอง ต.บางระกำ) บันทึกระดับน้ำไว้ได้ที่ 3.47 เมตร สูงกว่าระดับสถานี และยังคงเพิ่มต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นเดือนตุลาคม ซึ่งตรวจพบระดับน้ำสูงสุดมากถึง 3.72 เมตร หรือเกือบ 4 เมตร ถือเป็นช่วงที่พื้นที่รับน้ำมีปริมาณน้ำสูงที่สุดในปีนี้

และแม้กำหนดการของโครงการจะระบุให้เริ่มระบายน้ำตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นไป แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนพฤศจิกายนยังพบว่าน้ำท่วมในหลายพื้นที่ยังคงมีระดับสูงต่อเนื่อง สะท้อนว่าการระบายน้ำยังไม่สามารถลดปริมาณน้ำในพื้นที่ได้ตามแผนที่วางไว้ และชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของระบบจัดการน้ำที่ยังต้องพิจารณาเพิ่มเติมในเชิงโครงสร้างและการปฏิบัติจริง
ในส่วนของหน่วยงานที่รับผิดชอบและงบประมาณในพื้นที่บางระกำโมเดล พบว่ามีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลปัญหาน้ำท่วม 4 หน่วยงานประกอบด้วย 1.กรมชลประทาน 2.กรมโยธาธิการและผังเมือง 3.เทศบาลตำบลบางระกำเมืองใหม่ และ 4.อบต.ชุมแสงสงคราม

จากเอกสารงบประมาณประจำปี 2569 พบว่า อ.บางระกำได้รับงบประมาณจัดสรรในการดูแลปัญหาน้ำท่วมทั้งสิ้น 197,558,500 บาท แบ่งออกเป็น 1.กรมชลประทาน 176,399,000 บาท คิดเป็น 89.29% ของงบฯ 2.กรมโยธาธิการและผังเมือง 20,232,000 บาท คิดเป็น 10.24% ของงบฯ 3.อบต.ชุมแสงสงคราม 480,000 บาท คิดเป็น 0.24% ของงบฯ และ 4.เทศบาลตำบลบางระกำเมืองใหม่ 447,500 บาท คิดเป็น 0.23% ของงบฯ
ทั้งนี้หากแยกออกตามประเภทงานโดยเรียงลำดับจากมากสุดไปน้อยสุด พบว่า
- เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษา 7 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 180,184,500 บาท คิดเป็น 91.21% ของงบฯ แบ่งเป็น
- กรมชลประทาน 5 โครงการ 176,399,000 บาท
- กรมโยธาธิการและผังเมือง 1 โครงการ 3,600,000 บาท
- เทศบาลตำบลบางระกำเมืองใหม่ 1 โครงการ 185,500 บาท
- เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง 4 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 16,844,000 บาท คิดเป็น 8.53% ของงบฯ แบ่งเป็น
- กรมโยธาธิการและผังเมือง 2 โครงการ 16,632,000 บาท
- เทศบาลตำบลบางระกำเมืองใหม่ 2 โครงการ 212,000 บาท
- เป็นงบประมาณค่าจ้างเหมาบริการป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย 1 โครงการ 480,000 บาท คิดเป็น 0.24% ของงบฯ
- อบต.ชุมแสงสงคราม 1 โครงการ 480,000 บาท
- เป็นโครงการที่เกี่ยวกับการเยียวยา 1 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 50,000 บาท คิดเป็น 0.03% ของงบฯ
- เทศบาลตำบลบางระกำเมืองใหม่ 1 โครงการ 50,000 บาท
596 ล้านบาท จาก 5 พื้นที่น้ำท่วม พบส่วนใหญ่ใช้ไปกับสิ่งก่อสร้าง

เมื่อรวบรวมงบประมาณจากทั้ง 5 พื้นที่แล้วแยกตามประเภทการใช้งาน พบว่า งบทั้งหมด 596,125,800 บาท แบ่งออกเป็นงบประมาณจากส่วนกลาง 528,754,100 บาท (คิดเป็น 88.70% จากงบฯ ทั้งหมด) และเป็นงบประมาณท้องถิ่น 67,371,700 บาท (คิดเป็น 11.30% ของงบฯ ทั้งหมด) งบดังกล่าวถูกจัดสรรออกเป็นหมวดต่างๆ โดยมีทั้งงบก่อสร้าง งบบำรุงรักษา ตลอดจนงบจัดซื้อและจัดจ้าง และงบป้องกันภัยและเยียวยา นอกจากนี้ยังพบว่างบประมาณกว่า 56.09% ถูกใช้ไปกับโครงการก่อสร้างต่างๆ
ทั้งนี้หากจำแนกออกเป็นตามประเภทการใช้งาน สามารถจำแนกได้ดังนี้
งบที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง 334,432,600 บาท คิดเป็น 56.09% ของงบประมาณทั้งหมด แบ่งเป็น
- งบที่เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างรางระบายน้ำ, ระบบระบายน้ำ 42 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 163,697,500 บาท
- งบที่เกี่ยวกับการสร้างฝาย, เขื่อนป้องกันตลิ่ง 9 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 168,535,100 บาท
- งบที่เกี่ยวกับการขุดลอกลำเหมือง 4 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 2,200,000 บาท
งบที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาสิ่งก่อสร้าง 244,999,000 บาท คิดเป็น 41.07% ของงบประมาณทั้งหมด แบ่งเป็น
- งบปรับปรุงคลองส่งน้ำ, ท่อลอดน้ำ, ระบบส่งน้ำ 6 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิน 210,000,000 บาท
- เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ 2 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 31,399,000 บาท
- โครงการซ่อมแซมและปรับปรุงระบบระบายน้ำ 1 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 3,600,000 บาท
งบที่เกี่ยวกับการจัดซื้อและจัดจ้าง 12,702,600 บาท คิดเป็น 2.13% ของงบประมาณทั้งหมด แบ่งเป็น
- ค่าจ้างเหมาและค่าดำเนินการ 3 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 12,687,000 บาท
- โครงการจัดซื้อ 2 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 15,600 บาท
งบที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันภัยและเยียวยา 4,041,600 บาท คิดเป็น 0.68% ของงบประมาณทั้งหมด แบ่งเป็น
- ค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันสาธารณะภัย 3 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 3,791,600 บาท
- โครงการเยียวยาและฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ 3 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 250,000 บาท
สร้างที่มากกว่าสิ่งก่อสร้าง: มองดูต่างประเทศ เขารับมืออย่างไรในวิกฤติน้ำท่วม
จากจำนวนเงินมหาศาลที่ถูกใช้ไปกับสิ่งก่อสร้างเพียงอย่างเดียวเป็นตัวชี้วัดให้เห็นได้ชัดว่า ทำไมปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือยังคงมีอยู่เรื่อยๆ ทุกปี และหากมองไปดูตัวอย่างจากประเทศที่เผชิญปัญหาน้ำท่วมเหมือนกัน จะพบว่าไม่ใช่เพียงสิ่งก่อสร้างอย่างเดียวที่สามารถช่วยบรรเทาความรุนแรงและความเสียหายของปัญหาน้ำท่วมได้ แต่ยังคงต้องอาศัยการวางแผนและการคาดการณ์ที่แม่นยำต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปในทุกวัน รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่อย่างคำนึงถึงวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมของชุมชน
โดยจากการสำรวจข้อมูลประเทศที่เผชิญปัญหาน้ำท่วม จึงขอยกตัวอย่าง 3 ประเทศที่สามารถจัดการปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ
เนเธอร์แลนด์
เป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ว่าเป็นประเทศที่มีระบบจัดการน้ำที่ดีที่สุดในโลก ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศที่ 2 ใน 3 อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ส่งผลให้เนเธอร์แลนด์เกิดวิกฤติน้ำท่วมบ่อยครั้งในช่วงอดีตที่ผ่านมา โดยวิกฤติน้ำท่วมที่ใหญ่ที่สุด คือเหตุการณ์ North Sea Flood ในปี 2496 มีผู้เสียชีวิตราว 2,000 คน และมีสัตว์ล้มตายราว 10,000 ตัว อีกทั้งบ้านเรือนยังเสียหายจำนวนมาก
จากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงทำให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันน้ำท่วมอย่างจริงจัง จึงได้ริเริ่มโครงการที่มีชื่อว่า ‘Delta Works (เดลต้า เวิร์คส์)’ ขึ้นมา ซึ่งเป็นระบบป้องกันน้ำท่วมที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง ประกอบด้วยเขื่อน พนังกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ และพัฒนาแผนการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมล่วงหน้าไว้ราว 100 ปี
ไม่เพียงแต่การสร้างสิ่งก่อสร้างอย่างเดียว เนเธอร์แลนด์ในวางออกแบบระบบคาดการณ์และติดตามไว้เป็นอย่างดี โดยมีองค์กรกลางที่มีชื่อเรียกว่า Delta Commision ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆ ที่มีบทบาทในการบริหารจัดการน้ำ เช่น ศูนย์จัดการน้ำเนเธอร์แลนด์ (WMCN) ที่มีหน้าที่ในการคาดการณ์ปริมาณน้ำและควบคุมระบบระบายน้ำ และ ศูนย์การสื่อสารยามวิกฤติของประเทศ (NKC) มีหน้าที่คอยกระจายข่าว แจ้งเตือนให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ การก่อสร้างและการระบายน้ำจะต้องคำนึงถึงวิถีชุมชนประมงท้องถิ่น และระบบนิเวศของสัตว์น้ำในบริเวณอีกด้วย
แม้โครงการดังกล่าวจะใช้งบประมาณมหาศาลมากถึง 3.3 แสนล้านบาท และใช้ระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 43 ปี (เริ่มในปี 2497 เสร็จสิ้นในปี 2540) แต่ผลลัพธ์คือประเทศสามารถจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ พื้นที่เพาะปลูกขยายตัว และทำให้เนเธอร์แลนด์กลายเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ 2 ของโลก
ญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญภัยพิบัติรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง ทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ ไปตลอดจนถึงพายุไต้ฝุ่น การวางระบบจัดการน้ำอย่างจริงจังของญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นหลังเหตุการณ์ ไต้ฝุ่นเวรา (Isewan Typhoon) ในปี 2502 ซึ่งก่อให้เกิดน้ำท่วมใหญ่และคร่าชีวิตประชาชนราวกว่า 5,098 คน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นหันมาให้ความสำคัญกับการปฏิรูประบบรับมือภัยพิบัติทั้งประเทศ
เพื่อตอบสนองต่อวิกฤติ รัฐบาลได้ออกกฎหมายพื้นฐานว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติ (2503) และแก้ไขกฎหมายแม่น้ำ (2506) เพื่อยกระดับการบริหารจัดการลุ่มน้ำ พร้อมกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น เขื่อน อ่างเก็บน้ำ พนังกั้นน้ำ และคลองผันน้ำ มาตรการเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการจัดการเชิงโครงสร้างที่ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงปี 2513–2533 ญี่ปุ่นเร่งขยายโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมไปทั่วประเทศ ควบคู่กับการวางผังเมืองรองรับการขยายตัวของเมืองใหญ่ ทว่าเหตุการณ์ฝนหนักที่นางาซากิในปี 2525 ได้เผยให้เห็นข้อจำกัดของการพึ่งพาโครงสร้างเพียงด้านเดียว ทำให้รัฐบาลต้องหันมาทบทวนแนวทางใหม่ จนทำให้ในปี 2540 รัฐบาลจึงได้แก้กฎหมายแม่น้ำอีกครั้ง โดยเน้นการจัดการลุ่มน้ำแบบบูรณาการ พร้อมเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในแผนบริหารจัดการน้ำ
นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นต้องเผชิญรูปแบบฝนที่สั้น–หนัก–ถี่มากขึ้น จึงปรับสู่แนวคิด ‘อยู่ร่วมกับน้ำ’ ผ่านมาตรการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา โครงการระบายน้ำใต้ดิน (G-Cans) ใกล้กรุงโตเกียว การออกคำเตือนพิเศษโดยกรมอุตุนิยมวิทยา หรือการยกระดับระบบอพยพเชิงรุก เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จึงสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการผสานโครงสร้างพื้นฐานเข้ากับการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน
สิงคโปร์
หากลองมามายังประเทศที่ใกล้กับไทยมาที่สุดอย่างสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่เผชิญปัญหาน้ำมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นขาดแคลนน้ำ รวมไปถึงน้ำท่วม หลังจากแยกตัวออกมาจากมาเลเซียใน ปี 2508 เนื่องจากเป็นประเทศใหม่จึงทำให้สิงคโปร์ต้องเผชิญความท้าทายเรื่องน้ำท่วม ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะขนาดเล็ก มีพื้นที่ลุ่มต่ำและแม่น้ำสั้น น้ำฝนตกชุกตลอดปี อีกทั้งการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็วทำให้ระบบระบายน้ำธรรมชาติไม่เพียงพอ และเกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของเมือง
รัฐบาลสิงคโปร์จึงได้เริ่มสร้างระบบระบายน้ำสาธารณะอย่างเป็นระบบ ผ่านการขุดคลอง ท่อระบายน้ำใต้ดิน ปรับปรุงแม่น้ำสั้นๆ เช่นแม่น้ำสิงคโปร์ และสร้างพนังกั้นน้ำ-ฝายเพื่อลดน้ำหลากเข้าสู่เมือง ถัดมาในยุค 2523 – 2543 สิงค์โปรได้เน้นการจัดการน้ำแบบครบวงจร มีการก่อตั้งคณะกรรมการ PUB (Public Utilities Board) เพื่อรวมหน้าที่น้ำจืด น้ำเสีย และน้ำท่วมเข้าด้วยกัน และเริ่มใช้ระบบระบายน้ำเชิงรุก (Active Stormwater Management) พร้อมอ่างหน่วงน้ำในเขตเมือง
หลัง ปี 2543 สิงคโปร์เข้าสู่ยุค ระบบน้ำอัจฉริยะและนวัตกรรมเมือง โดยมีนวัตกรรมหลักเช่น Marina Barrage และอ่างหน่วงน้ำใต้ดิน Stamford/Choa Chu Kang ที่ควบคุมน้ำฝนแบบเรียลไทม์ ผสานกับผังเมืองทนฝนหนัก ระบบเตือนภัย และมาตรการอพยพฉุกเฉิน แนวคิดหลักคือ ‘การอยู่ร่วมกับน้ำ’ ทำให้สิงคโปร์จัดการน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่กับการเก็บน้ำใช้และการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
และหากดูตัวอย่างแต่ละประเทศจะพบว่า ไม่เพียงแต่การสร้างสิ่งก่อสร้างที่ถูกวางแผนมาอย่างดีเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้การบริหารจัดการน้ำของแต่ละประเทศมีประสิทธิภาพ ต้องมีการวางระบบเพื่อรองรับสถานการณ์ด้วยเช่นกัน ทั้งในมิติทางด้าน ระบบการควบคุมปริมาณน้ำ ระบบแจ้งเตือนภัย ระบบการพยากรณ์ที่แม่นยำ รวมไปถึงการร่วมมือกันกับชุมชนในการจัดการน้ำท่วม
และแม้ว่ารัฐไทยจะมีงบประมาณสำหรับการไปศึกษาดูงานต่างประเทศ อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวก็ยังคงดำเนินอยู่เรื่อยๆ และไม่มีทิศทางว่าใกล้จะคลี่คลาย คำถามสำคัญจึงผุดขึ้นมาว่า แล้วที่ผ่านมางบประมาณถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง และถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐควรจะพิจารณาทางเลือกใหม่ในการแก้ไขปัญหานี้
ที่มา
สำนักข่าวอิศรา.จาก “อาจสามารถ” สู่ “บางระกำโมเดล” … ตามกระแส หรือ แก้ปัญหา?
ศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร.วัฎจักร “บางระกำ” เรื่องราวสุดช้ำของชาวนา
Environment Rights Hub.บางระกำโมเดล ผลกระทบและความท้าทาย
ครม.อนุมัติงบกลาง 363 ล้าน ให้ 18 โครงการ ฟื้นฟูเชียงรายหลังน้ำท่วม

วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง
อดีตนักศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง ผู้ชื่นชอบในการเดินป่า ปรัชญาและดนตรีสากล พบเจอได้ตามร้านขายเครื่องดื่ม ทุกเทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์




