21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล และรองนายกรัฐมนตรีทั้งสอง ได้แก่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ร.อ.ธรรมนัส พรมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์
สืบสกุลระบุว่า เครือข่ายประชาชนปกป้องลุ่มน้ำกก-สายรวก-โขง ได้ส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 พร้อมข้อเสนอ 10 ข้อ ให้รัฐบาลดำเนินการภายใน 4 เดือน
ต่อมาในวันที่ 9 ตุลาคม 2568 สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อรับฟังปัญหาจากภาคประชาชน พร้อมรับปากว่าจะจัดงบประมาณ 1,000 ล้านบาท สำหรับจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทดแทนแม่น้ำกกในการผลิตน้ำประปา และยังสัญญาว่าจะส่งข้อเสนอทั้งหมดของประชาชนให้กับนายกรัฐมนตรี
จากนั้น ในวันที่ 11 ตุลาคม 2568 ร.อ.ธรรมนัส พรมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรผู้ใช้น้ำฝายเชียงรายที่พัฒนาแม่น้ำกกเพื่อปลูกข้าวนาปี พร้อมแจ้งว่าจะต้องมีการเจรจากับผู้ประกอบการเหมืองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา และจะนำปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
สืบสกุลยังได้ชี้ข้อสังเกตต่อการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่า การตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านทำเพียงบางพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ขณะที่ปัญหาครอบคลุมทั้งจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ข้อเสนอของประชาชน เช่น การจัดหาแหล่งน้ำใหม่และปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้านให้สามารถกำจัดสารโลหะหนัก ยังไม่ได้รับการดำเนินการ และยังไม่ชัดเจนว่าคณะทำงานระดับชาติที่กำลังปรับปรุงมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่อย่างไร
ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังไม่มีมาตรการตรวจสอบสารโลหะหนักในผลผลิตข้าวนาปีในพื้นที่กว่า 100,000 ไร่ และพื้นที่เกษตรกรรมอีก 12,000 ไร่ในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
สืบสกุลยังย้ำข้อเสนอ 10 ข้อของภาคประชาชน ได้แก่
1. จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทดแทนแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง สำหรับผลิตน้ำประปาในอำเภอเมืองเชียงราย เวียงชัย แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ
2. จัดหาแหล่งน้ำใหม่และปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้านในอำเภอแม่อายและพื้นที่ตลอดลำน้ำกก-สาย-รวก-โขง อย่างน้อย 30 หมู่บ้าน
3. ตรวจสอบคุณภาพดินและผลผลิตข้าวนาปี เพื่อประเมินสารโลหะหนักก่อนเก็บเกี่ยว และกำหนดมาตรการชดเชยหรือรับรองผลผลิตตามผลการตรวจ
4. จัดตั้งศูนย์ตรวจสารโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เพื่อเฝ้าระวังน้ำ ตะกอนดิน ดินเพาะปลูก ผลผลิตการเกษตร ปลา สัตว์น้ำ และมนุษย์
5. ยุติการนำเข้าแร่ทุกชนิดจากเมียนมา จนกว่าผู้รับนำเข้าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ก่อมลพิษในแม่น้ำ
6. ยกเลิกโครงการฝายดักตะกอนที่อาจสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและที่ดินทำกินของชาวบ้าน
7. จัดตั้งคณะทำงานร่วมรัฐ-วิชาการ-ประชาชน เพื่อปิดเหมืองในเมียนมา เฝ้าระวังสารโลหะหนัก เยียวยาประชาชน และฟื้นฟูแม่น้ำ
8. เปิดเวทีเจรจาระหว่างประเทศกับเมียนมาและจีน เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบต่อมลพิษ
9. ปรับปรุงระบบสื่อสารในภาวะวิกฤตให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลทุกกลุ่มชาติพันธุ์
10. พิจารณาชะลอสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนปากแบงในลุ่มน้ำโขงตอนบน จนกว่าจะศึกษาผลกระทบสารโลหะหนักอย่างรอบด้าน
ทั้งนี้ สืบสกุลยังเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งพิจารณาและดำเนินมาตรการปกป้องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชนในลุ่มน้ำกก-สายรวก-โขงอย่างจริงจัง
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...