“ฝายพญาคำ” อนุรักษ์หรือรื้อถอน เมื่อภูมิปัญญาท้องถิ่นถูกท้าทายด้วยโครงการพัฒนาของรัฐ

Date:

เรื่อง: ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช

ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว

ในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะดินแดนล้านนา ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยขุนเขาสลับกับพื้นที่ราบต่ำ ทำให้แม่น้ำสายหลักไหลหล่อเลี้ยงชุมชนมายาวนาน ผู้คนจึงตั้งถิ่นฐานใกล้แหล่งน้ำ ใช้ชีวิตและทำการเกษตรโดยพึ่งพาธรรมชาติอย่างแนบแน่น แต่ธรรมชาติมีจังหวะของมัน ฤดูฝนน้ำหลากจนท่วมตลิ่ง หน้าแล้งน้ำน้อยจนไร่นาแห้งเหือด เพื่ออยู่ร่วมกับความไม่แน่นอนนี้ ชาวล้านนาจึงคิดค้นระบบจัดการน้ำที่เรียบง่ายแต่ชาญฉลาด ใช้ความเข้าใจธรรมชาติเพื่อสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิต

“ฝาย” และ “เหมืองฝาย” คือคำตอบจากภูมิปัญญาล้านนา เป็นระบบชลประทานชุมชนที่ทั้งกักเก็บ แบ่งสรร และระบายน้ำอย่างเป็นธรรม ใครที่เติบโตมาในชนบทเหนือ มักคุ้นตากับภาพของคูน้ำเล็กๆ ที่ไหลขนานกับคันนา นั่นคือเหมืองฝาย ที่ไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างทางน้ำ หากแต่คือโครงสร้างของความร่วมมือและการอยู่ร่วมกัน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน เมืองเติบโต พื้นที่เกษตรลดน้อยลง บทบาทของเหมืองฝายในหลายพื้นที่ก็เริ่มแปรเปลี่ยน จากระบบจัดการน้ำของชุมชน กลายเป็นภาระหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ บางแห่งยังคงใช้งานได้ดี บางแห่งถูกปล่อยทิ้งอย่างเงียบงัน

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนั้น “ฝายพญาคำ” ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ ยังคงยืนหยัดทำหน้าที่หล่อเลี้ยงชุมชนได้เป็นอย่างดี เป็นฝายที่ถูกสร้างขึ้นจากความจำเป็นของชาวบ้านฝั่งตะวันออกแม่น้ำปิงที่ไม่มีลำห้วยธรรมชาติ จึงเป็นระบบชลประทานที่สร้างขึ้นจากความจำเป็น และดำรงอยู่ด้วยความร่วมมือของผู้คน เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี

ฝายพญาคำ เป็นระบบชลประทานสำคัญของชาวล้านนา สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 1700 โดย พญาคำวิจิตรธุระราษฎร์ (นายคำ ศรีวิชัย) ข้าราชการกรมนาในสมัยเจ้าอินทวิชัยนนท์ เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำปิงสู่พื้นที่เกษตรกว่า 36,000 ไร่ ครอบคลุม 8 ตำบลในเชียงใหม่และลำพูน

ระบบนี้ใช้หลักแรงโน้มถ่วงส่งน้ำผ่านลำเหมืองหลวงเข้าสู่เหมืองซอย โดยมี แต และ ต๊าง ควบคุมปริมาณน้ำสู่แปลงนา ขณะที่ส่วนเกินจะระบายกลับสู่แม่น้ำอย่างชาญฉลาดและยั่งยืน

นอกจากโครงสร้าง ฝายพญาคำยังมีระบบสังคมร่วมจัดการน้ำอย่างเข้มแข็ง โดยมี แก่ฝาย เป็นผู้ดูแลหลัก ล่ามน้ำ เป็นผู้ประสาน และ ลูกฝาย คือผู้ใช้น้ำในชุมชน

ทุกปีในวันแรม 9 ค่ำ เดือน 9 จะมี “พิธีเลี้ยงผีฝาย” เพื่อขอบคุณธรรมชาติ ซ่อมแซมฝาย และฟื้นฟูลำเหมืองร่วมกัน สะท้อนสายใยระหว่างคน น้ำ และความเชื่อที่ฝังลึกในวิถีล้านนา

ฝายพญาคำไม่เพียงเป็นโครงสร้างที่ส่งน้ำหล่อเลี้ยงนาไร่ แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ของผู้คนกับธรรมชาติ และพลังของความร่วมมือที่ยังดำรงอยู่ แม้ในวันที่หลายสิ่งกำลังเปลี่ยนไป

พิมพ์เขียวรัฐหลังน้ำท่วมใหญ่ หมุดหมายการรื้อถอนฝายลุ่มน้ำปิง

หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2567 รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำหลากในอนาคต คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบแผนแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในลุ่มน้ำปิงและแม่น้ำกก ด้วยวงเงินรวมกว่า 213 ล้านบาท สำหรับแม่น้ำปิง แผนดังกล่าวประกอบด้วยโครงการหลัก 2 ส่วน คือการขุดลอกลำน้ำ และการรื้อถอนฝายบางแห่งที่ถูกระบุว่าเป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำ

โครงการขุดลอกลำน้ำปิงนับเป็นแผนขนาดใหญ่ โดยรัฐวางเป้าหมายการขุดลอกระยะทางรวม 41 กิโลเมตร มีปริมาณดินและตะกอนที่จะต้องขุดออกมากถึง 1.7 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเริ่มดำเนินการระยะแรกในเขตเมืองตั้งแต่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ส่วนในระยะต่อไป ซึ่งครอบคลุมอีกประมาณ 22 กิโลเมตร คาดว่าจะขุดตะกอนได้อีก 8 แสนลูกบาศก์เมตร และตั้งเป้าให้แล้วเสร็จทันฤดูฝนในเดือนกันยายน

อีกหนึ่งแผนที่สร้างแรงสะเทือนต่อจิตใจของชุมชน คือการรื้อถอนฝาย 3 แห่ง ได้แก่ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล ภายใต้งบประมาณราว 12–13.8 ล้านบาท แผนงานทั้งหมดนี้เป็นความร่วมมือจากหลายหน่วยงานระดับชาติ โดยมีกรมเจ้าท่าเป็นผู้สำรวจและออกแบบ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) รับหน้าที่ดำเนินการขุดลอก และกรมชลประทานดูแลการรื้อถอนฝายและบริหารจัดการน้ำในช่วงเปลี่ยนผ่าน

“เหมือนขวดใหญ่ แต่ปากแคบ ถ้าขวดแตกจะเสียหายหนักกว่าเดิม” เสียงสะท้อนจากชาวบ้านผู้ใช้น้ำถึงโครงการขุดลอกน้ำปิง 

แม้ว่ารัฐบาลจะจัดให้ฝายเป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำในช่วงวิกฤต แต่สำหรับชาวบ้านแล้ว ฝายไม่ใช่เพียงสิ่งปลูกสร้างในลำน้ำ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบชีวิตและวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันมาอย่างยาวนาน แม้จะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังมีเสียงกังวลจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจน

ในพิธีเลี้ยงผีฝายพญาคำประจำปี ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำต่างมาร่วมประกอบพิธีตามธรรมเนียมเช่นทุกปี แต่ปีนี้มีบรรยากาศที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย เพราะนอกจากพิธีกรรมแล้ว ชาวบ้านยังรวมกลุ่มกันล้อมวงสนทนา พูดคุยถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐที่ถูกเสนอขึ้นเพื่อแก้ปัญหาน้ำในลุ่มน้ำปิง

มงคล ศรีสังวาลย์ ชาวบ้านชุมชนเมืองกาย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่มากว่า 70 ปี ให้ข้อมูลว่า ตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ตนไม่เคยเห็นน้ำในเหมืองพญาคำแห้งเลย เขายังเล่าอีกว่าแม้ว่าระหว่างที่ผ่านมา ฝายจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้วัสดุ จากไม้เป็นไม้ไผ่ จนมาเป็นฝายหิน ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อการไหลของน้ำที่เข้าสู่น้ำเหมืองพญาคำเลย

“หลังจากน้ำท่วมครั้งล่าสุด ทรายจำนวนมากสะสมตัวโดยเฉพาะบริเวณที่น้ำปิงท่วมและไหลลงมารวมกันที่ ปากประตูน้ำ ทำให้น้ำมีหน้ากว้างเพียงประมาณหนึ่งเมตร ความลึกแค่คืบสองคืบ ยังไม่ถึงศอก ส่งผลให้น้ำไหลช้ามาก ดินที่สไลด์ลงมาหรือพัดพามาใหม่มีปริมาณมหาศาล”

เขาชี้ให้เห็นว่าปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ผ่านมา โดยเฉพาะจุดที่น้ำจากแม่น้ำปิงไหลลงมารวมกันที่ปากประตูน้ำ มีการสะสมของทรายจำนวนมาก ทำให้ลำน้ำมีความกว้างเพียงประมาณหนึ่งเมตร และลึกแค่คืบสองคืบ ยังไม่ถึงระดับศอก ซึ่งเป็นระดับที่น้ำควรจะไหลได้สะดวก ส่งผลให้น้ำไหลช้าลงมาก ทั้งยังมีดินที่พัดพามาใหม่หรือสไลด์จากที่สูงลงมาในปริมาณมหาศาล

อีกหนึ่งปัญหาที่มงคลชี้ให้เห็นคือ เหมืองพญาคำขาดการดูแลบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง แม้ในอดีต ชาวบ้านจะช่วยกันขุดลอกลำเหมืองพญาคำเป็นประจำทุกปี แต่กิจกรรมนี้ก็ได้หยุดไปกว่า 10 ปีแล้ว แม้จะเคยมีการขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงเคยนำเครื่องจักรมาช่วยขุดลอกบ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับปริมาณดินที่สะสมอยู่

สำหรับแนวคิดเรื่องการขุดลอกแม่น้ำปิงในเขตเมือง มงคลเห็นว่าแม้จะเป็นแนวทางที่พอช่วยแก้ปัญหาน้ำได้บ้าง แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะพื้นที่ในเขตเมืองมีลักษณะแคบและตื้นเกินไป ทำให้น้ำไม่สามารถไหลผ่านได้สะดวก การขุดลอกในเขตเมืองจึงเปรียบเสมือนการสร้างขวดน้ำใบใหญ่ แต่มีปากขวดแคบ เมื่อน้ำไหลมาพร้อมกัน น้ำจะล้นและทะลักออกด้านข้าง สร้างความเสียหายมากขึ้น

“การขุดลอกน้ำปิงในเขตเมืองอาจช่วยได้บ้างแต่ปัญหาหลักคือมีพื้นที่ที่แคบและไม่ลึกเพียงพอ จึงทำให้น้ำไหลผ่านไม่สะดวก การขุดลอกน้ำปิงเฉพาะในเขตเมืองเปรียบเสมือนการสร้างขวดใหญ่มาเพื่อเก็บน้ำแต่ปากขวดแคบ เมื่อน้ำไหลลงมาพร้อมกัน หากขวดแตกออกด้านข้าง น้ำจะทะลักออกไปทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น”

เขาเสนอว่า หากต้องการขุดลอกแม่น้ำปิงอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเน้นทั้งความกว้างและความลึก เพื่อเพิ่มความจุของลำน้ำให้เหมือนกับการขยายขนาดของถังเก็บน้ำ ซึ่งจะช่วยรองรับน้ำได้มากกว่า และป้องกันปัญหาน้ำท่วมได้ดีกว่าการขุดลอกเฉพาะในเขตเมืองที่อาจไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว

จุดยืนของรัฐต่อปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ ไม่ใช่แค่จัดการน้ำ แต่คือการป้องกันภัยในอนาคต

ท่ามกลางความกังวลของชาวบ้านที่ผูกพันกับลำน้ำและฝายมายาวนาน ตัวแทนจากหน่วยงานรัฐก็ได้ร่วมอธิบายเหตุผลเบื้องหลังโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ดุสิต พงศาพิพัฒน์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ ได้แสดงจุดยืนและมุมมองต่อแนวทางการจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เผชิญปัญหาทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง

ดุสิตอธิบายว่า เป้าหมายหลักของการบริหารจัดการน้ำในเชียงใหม่มีสองเรื่องสำคัญ คือ น้ำต้องไม่ขาด และ พื้นที่เสี่ยงต้องไม่ท่วม หรือหากท่วมก็ให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เชียงใหม่กลับมีความเสี่ยงจากน้ำท่วมมากกว่าภัยแล้ง สาเหตุสำคัญคือยังไม่มีการขุดลอกลำน้ำอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2555 การขุดลอกที่ผ่านมาเป็นเพียงการเอาดินมากองไว้ข้างๆ โดยไม่ได้จัดการอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกันยังมีข้อพิพาททางกฎหมายจากการดำเนินงานในอดีตที่ยังไม่จบสิ้น นอกจากนี้ ลักษณะของภัยพิบัติก็เปลี่ยนไป ฝนตกมากขึ้น หนักขึ้น และกระจุกตัวในบางพื้นที่ ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับระบบน้ำเดิมที่เริ่มไม่รองรับ

เขาเล่าว่า ภาครัฐเคยพิจารณาทางเลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในพื้นที่แม่แปลง อำเภอเชียงดาว แต่ก็ต้องยุติเนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรป่าไม้ หรือทางเลือกอย่างการสร้างฝายเพิ่มเติม ก็อาจส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยของประชาชน ขณะที่แนวคิดการขุดอุโมงค์ลอดแม่น้ำปิง แม้จะดูทันสมัยและมีประสิทธิภาพ แต่ค่าใช้จ่ายกลับสูงเกินกว่าที่งบประมาณรัฐจะรองรับได้

ด้วยข้อจำกัดทั้งหมด แนวทางที่ภาครัฐเลือกใช้คือการขุดลอกลำน้ำและปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อให้สายน้ำมีพื้นที่ไหลได้สะดวก โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่เสี่ยงอย่างฝั่งอำเภอสารภี ซึ่งมีระดับพื้นที่ต่ำ และเคยประสบกับปัญหาน้ำท่วมอย่างหนักในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริเวณแนวรางรถไฟ สารภี หนองแฝก และชมพู

ดุสิตยังกล่าวถึงแนวคิดการบริหารจัดการน้ำเชิงรุกว่า ต้องมุ่งสร้างพื้นที่รับน้ำและลดสิ่งกีดขวางในลำน้ำ เพื่อเร่งการระบายน้ำในยามวิกฤต พร้อมทั้งผสานเทคโนโลยีและองค์ความรู้สมัยใหม่เข้ากับการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้การจัดการน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ท้ายที่สุด เขายืนยันว่า ระบบฝายต่างๆ ยังมีความสำคัญและจะยังคงมีน้ำใช้อย่างแน่นอน ตราบใดที่แม่น้ำปิงยังไม่แห้ง โดยเป้าหมายสูงสุดของแผนทั้งหมดนี้ คือการลดความรุนแรงของน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต และสร้างความมั่นใจให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่สองฝั่งแม่น้ำได้ว่า รัฐกำลังหาทางป้องกันก่อนที่ภัยจะมาเยือนอีกครั้ง

“ตราบใดที่แม่น้ำปิงยังมีน้ำ ระบบฝายต่างๆ จะมีน้ำแน่นอน และสามารถจัดการเอาน้ำเข้าระบบได้แม้ในช่วงที่น้ำน้อย โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความรุนแรงของน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้น”

ค้านด้วยเหตุผล แสดงจุดยืนของชุมชน เพื่อแผนจัดการน้ำที่เป็นธรรม

แม้ว่ารัฐบาลจะเชื่อมั่นในวิธีการแก้ปัญหาน้ำด้วยโครงการขนาดใหญ่อย่างการเร่งดำเนินแผนขุดลอกและรื้อถอนฝาย แต่เสียงคัดค้านจากชุมชนก็ยังคงชัดเจนและหนักแน่นขึ้น ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ อดีตผู้อำนวยการโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา ผู้ที่มีส่วนร่วมกับพิธีไหว้ผีฝายมาอย่างต่อเนื่อง และยืนหยัดปกป้องฝายพญาคำมาตั้งแต่ปี 2548 

“ฝายพญาคำไม่ใช่เพียงแค่โครงสร้างทางกายภาพธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและประโยชน์อย่างมากต่อชุมชน 8 ตำบล 104 หมู่บ้านชัชวาลย์ เราไม่ได้คัดค้านการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แต่ต้องการให้มีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ”

ชัชวาลย์มองว่า สำหรับตนแล้วฝายพญาคำไม่ใช่เพียงโครงสร้างในลำน้ำ แต่เป็นรากเหง้าแห่งภูมิปัญญาและชีวิตของผู้คนใน 8 ตำบล 104 หมู่บ้าน เขาไม่ปฏิเสธความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แต่ตั้งคำถามถึงวิธีการที่เลือกใช้ โดยเฉพาะการรื้อถอนฝายซึ่งเขาเห็นว่าอาจไม่เพียงพอในการจัดการปัญหา และอาจสร้างผลกระทบใหม่ที่ลึกซึ้งต่อวิถีชีวิตของชุมชน

ในมุมมองของเขา สาเหตุของน้ำท่วมไม่ได้อยู่ที่ฝายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากหลายปัจจัยสะสม ประการแรกคือ การบุกรุกลำน้ำปิง ซึ่งทำให้ความกว้างของแม่น้ำลดจากเดิม 200 เมตร เหลือเพียงประมาณ 80 เมตร และประการที่สองคือ ประตูระบายน้ำป่าแดด ที่มีช่องระบายน้ำรวมเพียง 66 เมตร ซึ่งอาจแคบกว่าฝายพญาคำที่มีความกว้างถึง 80 เมตร

ชัชวาลย์เสนอให้มีการศึกษาทางวิชาการอย่างจริงจัง พร้อมทั้งใช้เครื่องมือวัดที่แม่นยำ เพื่อประเมินว่าฝายพญาคำกีดขวางการไหลของน้ำมากน้อยเพียงใด โดยเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพของประตูน้ำป่าแดด เพราะจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า แม้น้ำจะไหลเข้าสู่เมืองเชียงใหม่มาก แต่กลับระบายออกได้น้อยกว่าครึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาคอขวดในระบบมากกว่าการมีอยู่ของฝายแต่เพียงแห่งเดียว

นอกจากประเด็นด้านเทคนิคแล้ว ชัชวาลย์ยังย้ำถึง คุณค่าทางวัฒนธรรม ของฝายพญาคำและระบบเหมืองฝายของภาคเหนือ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกภูมิปัญญาของชาติ” โดยกระทรวงวัฒนธรรมตั้งแต่ปี 2558 การจะรื้อถอนจึงไม่ใช่เพียงการตัดสินใจทางวิศวกรรม แต่ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง ผ่านกระบวนการที่เหมาะสม และต้องมีความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและกรมส่งเสริมวัฒนธรรมก่อนเสมอ

ทางออกที่เขาเสนอคือการ จัดลำดับความสำคัญของปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการแก้ไขปัญหาการบุกรุกลำน้ำและปรับปรุงประตูระบายน้ำที่เป็นคอขวดสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชุมชนน้อยกว่า พร้อมกับเปิดพื้นที่พูดคุยอย่างจริงใจ ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการหาทางออกร่วมกัน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ฝายพญาคำ อาจดูเป็นเพียงโครงสร้างเล็กๆ ในสายตาของแผนงานพัฒนาขนาดใหญ่ แต่สำหรับชาวบ้านแล้ว ที่นี่คือความทรงจำ ความรู้ และชีวิตที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน การจะเปลี่ยนแปลงระบบที่หยั่งรากอยู่ในดินและในใจคน จำเป็นต้องทำด้วยความเข้าใจ การตัดสินใจในโครงการขนาดใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนจำนวนมาก จึงต้องตั้งอยู่บนหลักการของการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อให้สายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตได้โดยไม่พรากรากเหง้าของชุมชนไป

รายการอ้างอิง

  • กรมศิลปากร. (ม.ป.ป.). ระบบชลประทานและเหมืองฝายของชาวล้านนา. สืบค้นจาก https://www.finearts.go.th/main/view/30472
  • Cultural Map Thailand. (ม.ป.ป.). ฝายพญาคำ. สืบค้นจาก https://dp.culturalmapthailand.info/CD-4588
  • Cultural Map Thailand. (ม.ป.ป.). เหมืองพญาคำ. สืบค้นจาก https://dp.culturalmapthailand.info/CD-4589
  • ปวร มณีสถิตย์. (ม.ป.ป.). ความเปลี่ยนแปลงของโครงข่ายลำเหมืองพญาคำ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. (งานวิจัย).
ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช

นักศึกษาฝึกงาน Lanner จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มฟล. ผู้หลงรักซีรีส์วาย สนุกกับการถ่ายติ๊กต็อก และมีความฝันอยากเป็นไอดอลที่ได้เต้นบนเวที แต่ในช่วงเวลานี้ ขอเรียนจบให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช
ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช
นักศึกษาฝึกงาน Lanner จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มฟล. ผู้หลงรักซีรีส์วาย สนุกกับการถ่ายติ๊กต็อก และมีความฝันอยากเป็นไอดอลที่ได้เต้นบนเวที แต่ในช่วงเวลานี้ ขอเรียนจบให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

More like this
Related

ชาวกะเบอะดินจัดงาน ‘ครบรอบ 6 ปี คัดค้านเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย’ ยืนยันจะปกป้องผืนดินด้วยชีวิต

ภาพ: วชิรญาณ์ วิรัชบุญญากร เสียงตะโกน “เหมืองแร่ออกไป! เหมืองแร่ออกไป!” ดังก้องไปทั่วผืนนา บ้านกะเบอะดิน อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่  11...

1.4 พันล้านบาท สรุปมูลค่าความเสียหายริมแม่น้ำกก-สาย-รวก จากวิกฤตสารพิษเหมืองแร่

แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก เป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ที่กำลังเผชิญกับวิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ความกังวลเรื่องคุณภาพน้ำและความปลอดภัยในการใช้ประโยชน์เพิ่มสูงขึ้น พร้อมขยายผลกระทบไปยังโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาแม่น้ำเหล่านี้ Lanner ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤติการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก...

เมื่อ ‘เมืองน่าอยู่’ ยังไม่พอให้ใจได้พัก เด็กเชียงใหม่กับพื้นที่สร้างสรรค์ที่ยังหายไป 

เรื่องและภาพ: ธัญรดา หยุมปัญญา, ภีมราฎา เชื้อคำฟู, จตุรวิชญ์ แก้ววงค์วาน และอิทธิกร อรุณรัตน์ เชียงใหม่มักถูกพูดถึงเสมอว่าเป็น...

‘สุชาติ’ ลงพื้นที่แม่น้ำกก เร่งคลี่คลายพิษเหมืองแร่ปนเปื้อนด่วน คนริมกกสะท้อนรัฐเร่งเยียวยา ‘กัณวีร์’ แนะใช้กติกาโลกล้อมเมียนมา

ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ฝั่งเมียนมาที่ไหลปนเปื้อนลงแม่น้ำกกกำลังกลายเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสังคมในพื้นที่ภาคเหนือของไทย สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า 9 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...