เรื่อง: ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช
ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว
ในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะดินแดนล้านนา ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยขุนเขาสลับกับพื้นที่ราบต่ำ ทำให้แม่น้ำสายหลักไหลหล่อเลี้ยงชุมชนมายาวนาน ผู้คนจึงตั้งถิ่นฐานใกล้แหล่งน้ำ ใช้ชีวิตและทำการเกษตรโดยพึ่งพาธรรมชาติอย่างแนบแน่น แต่ธรรมชาติมีจังหวะของมัน ฤดูฝนน้ำหลากจนท่วมตลิ่ง หน้าแล้งน้ำน้อยจนไร่นาแห้งเหือด เพื่ออยู่ร่วมกับความไม่แน่นอนนี้ ชาวล้านนาจึงคิดค้นระบบจัดการน้ำที่เรียบง่ายแต่ชาญฉลาด ใช้ความเข้าใจธรรมชาติเพื่อสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิต
“ฝาย” และ “เหมืองฝาย” คือคำตอบจากภูมิปัญญาล้านนา เป็นระบบชลประทานชุมชนที่ทั้งกักเก็บ แบ่งสรร และระบายน้ำอย่างเป็นธรรม ใครที่เติบโตมาในชนบทเหนือ มักคุ้นตากับภาพของคูน้ำเล็กๆ ที่ไหลขนานกับคันนา นั่นคือเหมืองฝาย ที่ไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างทางน้ำ หากแต่คือโครงสร้างของความร่วมมือและการอยู่ร่วมกัน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน เมืองเติบโต พื้นที่เกษตรลดน้อยลง บทบาทของเหมืองฝายในหลายพื้นที่ก็เริ่มแปรเปลี่ยน จากระบบจัดการน้ำของชุมชน กลายเป็นภาระหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ บางแห่งยังคงใช้งานได้ดี บางแห่งถูกปล่อยทิ้งอย่างเงียบงัน
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนั้น “ฝายพญาคำ” ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ ยังคงยืนหยัดทำหน้าที่หล่อเลี้ยงชุมชนได้เป็นอย่างดี เป็นฝายที่ถูกสร้างขึ้นจากความจำเป็นของชาวบ้านฝั่งตะวันออกแม่น้ำปิงที่ไม่มีลำห้วยธรรมชาติ จึงเป็นระบบชลประทานที่สร้างขึ้นจากความจำเป็น และดำรงอยู่ด้วยความร่วมมือของผู้คน เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี
ฝายพญาคำ เป็นระบบชลประทานสำคัญของชาวล้านนา สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 1700 โดย พญาคำวิจิตรธุระราษฎร์ (นายคำ ศรีวิชัย) ข้าราชการกรมนาในสมัยเจ้าอินทวิชัยนนท์ เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำปิงสู่พื้นที่เกษตรกว่า 36,000 ไร่ ครอบคลุม 8 ตำบลในเชียงใหม่และลำพูน
ระบบนี้ใช้หลักแรงโน้มถ่วงส่งน้ำผ่านลำเหมืองหลวงเข้าสู่เหมืองซอย โดยมี แต และ ต๊าง ควบคุมปริมาณน้ำสู่แปลงนา ขณะที่ส่วนเกินจะระบายกลับสู่แม่น้ำอย่างชาญฉลาดและยั่งยืน
นอกจากโครงสร้าง ฝายพญาคำยังมีระบบสังคมร่วมจัดการน้ำอย่างเข้มแข็ง โดยมี แก่ฝาย เป็นผู้ดูแลหลัก ล่ามน้ำ เป็นผู้ประสาน และ ลูกฝาย คือผู้ใช้น้ำในชุมชน
ทุกปีในวันแรม 9 ค่ำ เดือน 9 จะมี “พิธีเลี้ยงผีฝาย” เพื่อขอบคุณธรรมชาติ ซ่อมแซมฝาย และฟื้นฟูลำเหมืองร่วมกัน สะท้อนสายใยระหว่างคน น้ำ และความเชื่อที่ฝังลึกในวิถีล้านนา



ฝายพญาคำไม่เพียงเป็นโครงสร้างที่ส่งน้ำหล่อเลี้ยงนาไร่ แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ของผู้คนกับธรรมชาติ และพลังของความร่วมมือที่ยังดำรงอยู่ แม้ในวันที่หลายสิ่งกำลังเปลี่ยนไป
พิมพ์เขียวรัฐหลังน้ำท่วมใหญ่ หมุดหมายการรื้อถอนฝายลุ่มน้ำปิง
หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2567 รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำหลากในอนาคต คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบแผนแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในลุ่มน้ำปิงและแม่น้ำกก ด้วยวงเงินรวมกว่า 213 ล้านบาท สำหรับแม่น้ำปิง แผนดังกล่าวประกอบด้วยโครงการหลัก 2 ส่วน คือการขุดลอกลำน้ำ และการรื้อถอนฝายบางแห่งที่ถูกระบุว่าเป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำ
โครงการขุดลอกลำน้ำปิงนับเป็นแผนขนาดใหญ่ โดยรัฐวางเป้าหมายการขุดลอกระยะทางรวม 41 กิโลเมตร มีปริมาณดินและตะกอนที่จะต้องขุดออกมากถึง 1.7 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเริ่มดำเนินการระยะแรกในเขตเมืองตั้งแต่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ส่วนในระยะต่อไป ซึ่งครอบคลุมอีกประมาณ 22 กิโลเมตร คาดว่าจะขุดตะกอนได้อีก 8 แสนลูกบาศก์เมตร และตั้งเป้าให้แล้วเสร็จทันฤดูฝนในเดือนกันยายน
อีกหนึ่งแผนที่สร้างแรงสะเทือนต่อจิตใจของชุมชน คือการรื้อถอนฝาย 3 แห่ง ได้แก่ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล ภายใต้งบประมาณราว 12–13.8 ล้านบาท แผนงานทั้งหมดนี้เป็นความร่วมมือจากหลายหน่วยงานระดับชาติ โดยมีกรมเจ้าท่าเป็นผู้สำรวจและออกแบบ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) รับหน้าที่ดำเนินการขุดลอก และกรมชลประทานดูแลการรื้อถอนฝายและบริหารจัดการน้ำในช่วงเปลี่ยนผ่าน
“เหมือนขวดใหญ่ แต่ปากแคบ ถ้าขวดแตกจะเสียหายหนักกว่าเดิม” เสียงสะท้อนจากชาวบ้านผู้ใช้น้ำถึงโครงการขุดลอกน้ำปิง
แม้ว่ารัฐบาลจะจัดให้ฝายเป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำในช่วงวิกฤต แต่สำหรับชาวบ้านแล้ว ฝายไม่ใช่เพียงสิ่งปลูกสร้างในลำน้ำ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบชีวิตและวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันมาอย่างยาวนาน แม้จะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังมีเสียงกังวลจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจน
ในพิธีเลี้ยงผีฝายพญาคำประจำปี ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำต่างมาร่วมประกอบพิธีตามธรรมเนียมเช่นทุกปี แต่ปีนี้มีบรรยากาศที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย เพราะนอกจากพิธีกรรมแล้ว ชาวบ้านยังรวมกลุ่มกันล้อมวงสนทนา พูดคุยถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐที่ถูกเสนอขึ้นเพื่อแก้ปัญหาน้ำในลุ่มน้ำปิง
มงคล ศรีสังวาลย์ ชาวบ้านชุมชนเมืองกาย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่มากว่า 70 ปี ให้ข้อมูลว่า ตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ตนไม่เคยเห็นน้ำในเหมืองพญาคำแห้งเลย เขายังเล่าอีกว่าแม้ว่าระหว่างที่ผ่านมา ฝายจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้วัสดุ จากไม้เป็นไม้ไผ่ จนมาเป็นฝายหิน ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อการไหลของน้ำที่เข้าสู่น้ำเหมืองพญาคำเลย
“หลังจากน้ำท่วมครั้งล่าสุด ทรายจำนวนมากสะสมตัวโดยเฉพาะบริเวณที่น้ำปิงท่วมและไหลลงมารวมกันที่ ปากประตูน้ำ ทำให้น้ำมีหน้ากว้างเพียงประมาณหนึ่งเมตร ความลึกแค่คืบสองคืบ ยังไม่ถึงศอก ส่งผลให้น้ำไหลช้ามาก ดินที่สไลด์ลงมาหรือพัดพามาใหม่มีปริมาณมหาศาล”
เขาชี้ให้เห็นว่าปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ผ่านมา โดยเฉพาะจุดที่น้ำจากแม่น้ำปิงไหลลงมารวมกันที่ปากประตูน้ำ มีการสะสมของทรายจำนวนมาก ทำให้ลำน้ำมีความกว้างเพียงประมาณหนึ่งเมตร และลึกแค่คืบสองคืบ ยังไม่ถึงระดับศอก ซึ่งเป็นระดับที่น้ำควรจะไหลได้สะดวก ส่งผลให้น้ำไหลช้าลงมาก ทั้งยังมีดินที่พัดพามาใหม่หรือสไลด์จากที่สูงลงมาในปริมาณมหาศาล
อีกหนึ่งปัญหาที่มงคลชี้ให้เห็นคือ เหมืองพญาคำขาดการดูแลบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง แม้ในอดีต ชาวบ้านจะช่วยกันขุดลอกลำเหมืองพญาคำเป็นประจำทุกปี แต่กิจกรรมนี้ก็ได้หยุดไปกว่า 10 ปีแล้ว แม้จะเคยมีการขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงเคยนำเครื่องจักรมาช่วยขุดลอกบ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับปริมาณดินที่สะสมอยู่
สำหรับแนวคิดเรื่องการขุดลอกแม่น้ำปิงในเขตเมือง มงคลเห็นว่าแม้จะเป็นแนวทางที่พอช่วยแก้ปัญหาน้ำได้บ้าง แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะพื้นที่ในเขตเมืองมีลักษณะแคบและตื้นเกินไป ทำให้น้ำไม่สามารถไหลผ่านได้สะดวก การขุดลอกในเขตเมืองจึงเปรียบเสมือนการสร้างขวดน้ำใบใหญ่ แต่มีปากขวดแคบ เมื่อน้ำไหลมาพร้อมกัน น้ำจะล้นและทะลักออกด้านข้าง สร้างความเสียหายมากขึ้น
“การขุดลอกน้ำปิงในเขตเมืองอาจช่วยได้บ้างแต่ปัญหาหลักคือมีพื้นที่ที่แคบและไม่ลึกเพียงพอ จึงทำให้น้ำไหลผ่านไม่สะดวก การขุดลอกน้ำปิงเฉพาะในเขตเมืองเปรียบเสมือนการสร้างขวดใหญ่มาเพื่อเก็บน้ำแต่ปากขวดแคบ เมื่อน้ำไหลลงมาพร้อมกัน หากขวดแตกออกด้านข้าง น้ำจะทะลักออกไปทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น”
เขาเสนอว่า หากต้องการขุดลอกแม่น้ำปิงอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเน้นทั้งความกว้างและความลึก เพื่อเพิ่มความจุของลำน้ำให้เหมือนกับการขยายขนาดของถังเก็บน้ำ ซึ่งจะช่วยรองรับน้ำได้มากกว่า และป้องกันปัญหาน้ำท่วมได้ดีกว่าการขุดลอกเฉพาะในเขตเมืองที่อาจไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว
จุดยืนของรัฐต่อปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ ไม่ใช่แค่จัดการน้ำ แต่คือการป้องกันภัยในอนาคต
ท่ามกลางความกังวลของชาวบ้านที่ผูกพันกับลำน้ำและฝายมายาวนาน ตัวแทนจากหน่วยงานรัฐก็ได้ร่วมอธิบายเหตุผลเบื้องหลังโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ดุสิต พงศาพิพัฒน์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ ได้แสดงจุดยืนและมุมมองต่อแนวทางการจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เผชิญปัญหาทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง
ดุสิตอธิบายว่า เป้าหมายหลักของการบริหารจัดการน้ำในเชียงใหม่มีสองเรื่องสำคัญ คือ น้ำต้องไม่ขาด และ พื้นที่เสี่ยงต้องไม่ท่วม หรือหากท่วมก็ให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เชียงใหม่กลับมีความเสี่ยงจากน้ำท่วมมากกว่าภัยแล้ง สาเหตุสำคัญคือยังไม่มีการขุดลอกลำน้ำอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2555 การขุดลอกที่ผ่านมาเป็นเพียงการเอาดินมากองไว้ข้างๆ โดยไม่ได้จัดการอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกันยังมีข้อพิพาททางกฎหมายจากการดำเนินงานในอดีตที่ยังไม่จบสิ้น นอกจากนี้ ลักษณะของภัยพิบัติก็เปลี่ยนไป ฝนตกมากขึ้น หนักขึ้น และกระจุกตัวในบางพื้นที่ ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับระบบน้ำเดิมที่เริ่มไม่รองรับ
เขาเล่าว่า ภาครัฐเคยพิจารณาทางเลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในพื้นที่แม่แปลง อำเภอเชียงดาว แต่ก็ต้องยุติเนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรป่าไม้ หรือทางเลือกอย่างการสร้างฝายเพิ่มเติม ก็อาจส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยของประชาชน ขณะที่แนวคิดการขุดอุโมงค์ลอดแม่น้ำปิง แม้จะดูทันสมัยและมีประสิทธิภาพ แต่ค่าใช้จ่ายกลับสูงเกินกว่าที่งบประมาณรัฐจะรองรับได้
ด้วยข้อจำกัดทั้งหมด แนวทางที่ภาครัฐเลือกใช้คือการขุดลอกลำน้ำและปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อให้สายน้ำมีพื้นที่ไหลได้สะดวก โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่เสี่ยงอย่างฝั่งอำเภอสารภี ซึ่งมีระดับพื้นที่ต่ำ และเคยประสบกับปัญหาน้ำท่วมอย่างหนักในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริเวณแนวรางรถไฟ สารภี หนองแฝก และชมพู
ดุสิตยังกล่าวถึงแนวคิดการบริหารจัดการน้ำเชิงรุกว่า ต้องมุ่งสร้างพื้นที่รับน้ำและลดสิ่งกีดขวางในลำน้ำ เพื่อเร่งการระบายน้ำในยามวิกฤต พร้อมทั้งผสานเทคโนโลยีและองค์ความรู้สมัยใหม่เข้ากับการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้การจัดการน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ท้ายที่สุด เขายืนยันว่า ระบบฝายต่างๆ ยังมีความสำคัญและจะยังคงมีน้ำใช้อย่างแน่นอน ตราบใดที่แม่น้ำปิงยังไม่แห้ง โดยเป้าหมายสูงสุดของแผนทั้งหมดนี้ คือการลดความรุนแรงของน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต และสร้างความมั่นใจให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่สองฝั่งแม่น้ำได้ว่า รัฐกำลังหาทางป้องกันก่อนที่ภัยจะมาเยือนอีกครั้ง
“ตราบใดที่แม่น้ำปิงยังมีน้ำ ระบบฝายต่างๆ จะมีน้ำแน่นอน และสามารถจัดการเอาน้ำเข้าระบบได้แม้ในช่วงที่น้ำน้อย โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความรุนแรงของน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้น”
ค้านด้วยเหตุผล แสดงจุดยืนของชุมชน เพื่อแผนจัดการน้ำที่เป็นธรรม
แม้ว่ารัฐบาลจะเชื่อมั่นในวิธีการแก้ปัญหาน้ำด้วยโครงการขนาดใหญ่อย่างการเร่งดำเนินแผนขุดลอกและรื้อถอนฝาย แต่เสียงคัดค้านจากชุมชนก็ยังคงชัดเจนและหนักแน่นขึ้น ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ อดีตผู้อำนวยการโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา ผู้ที่มีส่วนร่วมกับพิธีไหว้ผีฝายมาอย่างต่อเนื่อง และยืนหยัดปกป้องฝายพญาคำมาตั้งแต่ปี 2548
“ฝายพญาคำไม่ใช่เพียงแค่โครงสร้างทางกายภาพธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและประโยชน์อย่างมากต่อชุมชน 8 ตำบล 104 หมู่บ้านชัชวาลย์ เราไม่ได้คัดค้านการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แต่ต้องการให้มีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ”
ชัชวาลย์มองว่า สำหรับตนแล้วฝายพญาคำไม่ใช่เพียงโครงสร้างในลำน้ำ แต่เป็นรากเหง้าแห่งภูมิปัญญาและชีวิตของผู้คนใน 8 ตำบล 104 หมู่บ้าน เขาไม่ปฏิเสธความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แต่ตั้งคำถามถึงวิธีการที่เลือกใช้ โดยเฉพาะการรื้อถอนฝายซึ่งเขาเห็นว่าอาจไม่เพียงพอในการจัดการปัญหา และอาจสร้างผลกระทบใหม่ที่ลึกซึ้งต่อวิถีชีวิตของชุมชน
ในมุมมองของเขา สาเหตุของน้ำท่วมไม่ได้อยู่ที่ฝายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากหลายปัจจัยสะสม ประการแรกคือ การบุกรุกลำน้ำปิง ซึ่งทำให้ความกว้างของแม่น้ำลดจากเดิม 200 เมตร เหลือเพียงประมาณ 80 เมตร และประการที่สองคือ ประตูระบายน้ำป่าแดด ที่มีช่องระบายน้ำรวมเพียง 66 เมตร ซึ่งอาจแคบกว่าฝายพญาคำที่มีความกว้างถึง 80 เมตร
ชัชวาลย์เสนอให้มีการศึกษาทางวิชาการอย่างจริงจัง พร้อมทั้งใช้เครื่องมือวัดที่แม่นยำ เพื่อประเมินว่าฝายพญาคำกีดขวางการไหลของน้ำมากน้อยเพียงใด โดยเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพของประตูน้ำป่าแดด เพราะจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า แม้น้ำจะไหลเข้าสู่เมืองเชียงใหม่มาก แต่กลับระบายออกได้น้อยกว่าครึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาคอขวดในระบบมากกว่าการมีอยู่ของฝายแต่เพียงแห่งเดียว
นอกจากประเด็นด้านเทคนิคแล้ว ชัชวาลย์ยังย้ำถึง คุณค่าทางวัฒนธรรม ของฝายพญาคำและระบบเหมืองฝายของภาคเหนือ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกภูมิปัญญาของชาติ” โดยกระทรวงวัฒนธรรมตั้งแต่ปี 2558 การจะรื้อถอนจึงไม่ใช่เพียงการตัดสินใจทางวิศวกรรม แต่ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง ผ่านกระบวนการที่เหมาะสม และต้องมีความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและกรมส่งเสริมวัฒนธรรมก่อนเสมอ
ทางออกที่เขาเสนอคือการ จัดลำดับความสำคัญของปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการแก้ไขปัญหาการบุกรุกลำน้ำและปรับปรุงประตูระบายน้ำที่เป็นคอขวดสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชุมชนน้อยกว่า พร้อมกับเปิดพื้นที่พูดคุยอย่างจริงใจ ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการหาทางออกร่วมกัน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ฝายพญาคำ อาจดูเป็นเพียงโครงสร้างเล็กๆ ในสายตาของแผนงานพัฒนาขนาดใหญ่ แต่สำหรับชาวบ้านแล้ว ที่นี่คือความทรงจำ ความรู้ และชีวิตที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน การจะเปลี่ยนแปลงระบบที่หยั่งรากอยู่ในดินและในใจคน จำเป็นต้องทำด้วยความเข้าใจ การตัดสินใจในโครงการขนาดใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนจำนวนมาก จึงต้องตั้งอยู่บนหลักการของการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อให้สายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตได้โดยไม่พรากรากเหง้าของชุมชนไป
รายการอ้างอิง
- กรมศิลปากร. (ม.ป.ป.). ระบบชลประทานและเหมืองฝายของชาวล้านนา. สืบค้นจาก https://www.finearts.go.th/main/view/30472
- Cultural Map Thailand. (ม.ป.ป.). ฝายพญาคำ. สืบค้นจาก https://dp.culturalmapthailand.info/CD-4588
- Cultural Map Thailand. (ม.ป.ป.). เหมืองพญาคำ. สืบค้นจาก https://dp.culturalmapthailand.info/CD-4589
- ปวร มณีสถิตย์. (ม.ป.ป.). ความเปลี่ยนแปลงของโครงข่ายลำเหมืองพญาคำ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. (งานวิจัย).