เมืองโต ทางเท้าหด ความสะดวกอยู่ที่ไหน เมื่อกฎหมายให้รถสำคัญกว่าคน 

Date:

เรื่อง: ปาลินี พันสว่าง

การเดินเท้าเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของมนุษย์ แต่ในปัจจุบันเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็ว พื้นที่ทางเดินที่เคยกว้างขวางหลายแห่งถูกแทนที่ด้วยอาคารและถนน การเดินทางของผู้คนจึงหันไปพึ่งพารถยนต์หรือจักรยานยนต์เป็นหลัก ทำให้การวางแผนเมืองลดความสำคัญของทางเท้า ทั้งที่ในชีวิตประจำวัน ผู้คนยังต้องเดินบนทางเท้าอยู่ดี

แม้ Good Walk Score ของ UDDC จะประเมินว่าเมืองเก่าของเชียงใหม่มีศักยภาพเป็น ‘เมืองเดินได้’ ถนนสำคัญหลายสาย เช่น ถนนท่าแพ ถนนราชดำเนิน ถนนช้างเผือก และถนนห้วยแก้ว มีสถานที่ในระยะเดินมาก แต่คะแนนนี้ไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพจริงของทางเดิน เท่าที่สำรวจพบ ทางเท้ามีความกว้างเฉลี่ยเพียง 1.2 เมตร และมีสิ่งกีดขวางหลายจุด ทำให้การเดินไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย

เชียงใหม่มีผู้พิการมากกว่า 57,000 คน โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีมากกว่า 5,000 คน แต่คุณภาพชีวิตและการเข้าถึงทางเท้ายังไม่เพียงพอ ปัญหาทางเท้ายังคงเป็นข้อเรียกร้องสำคัญที่ผู้พิการรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดการอย่างจริงจัง

ทางเท้าไม่ใช่เพียงพื้นที่สัญจร แต่เป็น สิทธิขั้นพื้นฐาน ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2491 ทุกคนมีสิทธิในการมีชีวิตและคุณภาพชีวิตที่ดี รัฐจึงต้องจัดทางเท้าให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างปลอดภัย เหมาะสม และสามารถใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ โดยไม่จำกัดเพศ อายุ หรือความสามารถทางกายภาพ

กฎหมายทางเท้าในประเทศไทย

แม้การเดินเท้าจะเป็นกิจกรรมพื้นฐานในชีวิตประจำวันของทุกคน แต่ในประเทศไทยกลับไม่มี ‘กฎหมายเฉพาะ’ ที่กำหนดลักษณะ มาตรฐาน หรือข้อบังคับของทางเท้าไว้อย่างชัดเจน กฎหมายส่วนใหญ่พูดถึงเพียงการใช้ มากกว่าการจัดให้มีทางเท้าที่ได้มาตรฐาน

เอกสารที่ใกล้เคียงที่สุดคือ หนังสือเกณฑ์และมาตรฐานผังเมืองรวม พ.ศ. 2549 ซึ่งจัดทำโดยสำนักพัฒนามาตรฐาน กรมโยธาธิการและผังเมือง โดยกำหนดแนวทางเกี่ยวกับการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ทางเท้าไว้คร่าวๆ เช่น

1. ทางเท้าเป็นพื้นที่รองรับอุปกรณ์ทั้งด้านบนและด้านใต้ทางเท้า เช่น ที่พักนั่ง ตู้ไปรษณีย์ ต้นไม้ ป้ายสัญญาณจราจร เสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ ท่อระบายน้ำ เป็นต้น

2. มาตรฐานความกว้างของทางเท้าไม่ควรต่ำกว่า 3.00 เมตร เพื่อรองรับอุปกรณ์ตามข้อที่ 1 และ รองรับการใช้งานรถเข็นเด็ก รถเข็นคนพิการและรถเข็นสินค้า หากต้องการปลูกต้นไม้ หรือมีความจำเป็นต้องใช้ในบางช่วงเวลาหรือบางเทศกาล ควรเพิ่มขนาดไปอีก 1.00 เมตร

3. ทางเท้าควรมีความลาดชันของทางเท้าด้านยาว ร้อยละ 0-3 ด้านกว้าง ร้อยละ 2

4. บริเวณพื้นที่นั้นมีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างแน่นหนา เช่น ย่านที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก ย่านธุรกิจการค้า หรือบริเวณที่ต้องการให้มีมุมมองเปิดกว้างเพื่อความปลอดภัย ควรมีความกว้างอยู่ระหว่าง 3.00 เมตร กับ 5.00 เมตร และไม่มีส่วนของอาคารหรือสิ่งอื่นใดยื่นออกมาในทางเท้าในระยะต่ำกว่า 2.10 เมตร

5. การกำหนดความกว้าง ต้องคำนึงถึงจำนวนผู้เดินเท้า และการใช้ประโยชน์บนทางเท้า ในปกติคนเดินเท้า 1 คน ต้องการพื้นที่ 0.60 เมตรสำหรับการเดินแถวเรียงหนึ่งแต่ละแถวถ้าเดินเรียงคู่ต้องการคนละ 0.75 เมตร

อย่างไรก็ตาม เอกสารฉบับนี้ไม่ได้ระบุ ‘บทลงโทษ’ สำหรับกรณีที่ไม่ปฏิบัติตาม จึงไม่สามารถใช้บังคับเป็นกฎหมายได้จริง ทำให้มาตรฐานทางเท้าในหลายเมืองไทยกลายเป็นเพียงแนวทางที่ควรทำ มากกว่าจะเป็น ‘ข้อบังคับ’ ที่ต้องทำ

กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางเท้าส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่ ‘พฤติกรรมของผู้ใช้ถนน’ เช่น พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ที่กำหนดนิยามและข้อบังคับเกี่ยวกับผู้เดินเท้าและผู้ขับขี่ ตัวอย่างเช่น

มาตรา 4 (11) ทางเท้า หมายความว่า เป็นพื้นที่ที่ทำไว้สำหรับคนเดินซึ่งอยู่ข้างใดข้างหนึ่งของทาง หรือทั้งสองข้างของทาง หรือส่วนที่อยู่ชิดขอบทางซึ่งใช้เป็นที่สำหรับคนเดิน

มาตรา 43 (7) ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถบนทางเท้า โดยไม่มีเหตุอันสมควร เว้นแต่รถลากเข็นสำหรับทารก ผู้ป่วยหรือผู้พิการ

มาตรา 104 กำหนดว่า ผู้เดินเท้าต้องใช้ทางเท้าเมื่อมีทางเท้าให้ใช้ หากไม่มีทางเท้าต้องเดินชิดขอบทางด้านขวาของถนน หากฝ่าฝืนอาจถูกปรับไม่เกิน 200 บาท

มาตรา 105 ผู้เดินเท้าต้องข้ามถนนในทางข้าม ทางม้าลาย หรือสะพานลอย หากฝ่าฝืนข้ามถนนในจุดที่ไม่ได้กำหนด อาจถูกปรับไม่เกิน 500 บาท

มาตรา 106 ผู้เดินเท้าต้องปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจรหรือเจ้าหน้าที่จราจร หากฝ่าฝืนอาจถูกปรับไม่เกิน 500 บาท

มาตรา 107 ระบุว่า ห้ามผู้เดินเท้าเดินบนถนนในลักษณะที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือกีดขวางการจราจร เช่น การเดินบนถนนโดยไม่จำเป็น หรือเดินบนสะพานข้ามแยกที่ไม่มีทางเดิน หากฝ่าฝืนอาจมีโทษปรับ

มาตรา 108 กำหนดว่า การเดินขบวนหรือใช้ถนนเพื่อกิจกรรมพิเศษต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ หากไม่มีใบอนุญาต อาจถูกปรับหรือมีโทษทางกฎหมาย

มาตรา 78 และ 79 กำหนดว่า ผู้ขับขี่ยานพาหนะต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษต่อผู้เดินเท้า โดยเฉพาะในเขตโรงเรียน เขตชุมชน และบริเวณทางข้าม หากผู้ขับขี่ไม่หยุดให้คนข้ามถนนที่ทางม้าลาย อาจถูกปรับไม่เกิน 1,000 บาท

นอกจากนี้ยังมี พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 ที่ระบุชัดว่า ห้ามขับขี่หรือจอดรถบนทางเท้า ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่ 2,000–5,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเทศกิจสามารถจับปรับได้ทันที

จะเห็นได้ว่า กฎหมายไทยให้ความสำคัญกับการห้ามกระทำผิดบนทางเท้า มากกว่าการสร้างมาตรฐานทางเท้าที่ปลอดภัยและเท่าเทียมสำหรับผู้ใช้ทุกกลุ่ม นี่จึงเป็นช่องว่างสำคัญที่ทำให้ ‘สิทธิในการเดิน’ ของประชาชนยังไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง

ปัญหาทางเท้าในเมืองไทย

แม้มีกฎเกณฑ์และแนวทางมากมาย แต่ภาพของทางเท้าในชีวิตจริง กลับห่างไกลจากสิ่งที่ควรเป็น ทางเท้าในเมืองใหญ่ยังคงแคบ ขรุขระ เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง ทั้งเสาไฟ ป้าย รถจักรยานยนต์ และร้านค้าหาบเร่ที่รุกล้ำจนคนต้องลงไปเดินบนถนน ขณะเดียวกันหลายเมืองยังออกแบบโดยไม่คำนึงถึงผู้ใช้ที่หลากหลาย ทั้งผู้สูงอายุ เด็ก และผู้พิการที่ต้องการพื้นผิวเรียบต่อเนื่องและปลอดภัย การซ่อมแซมก็มักทำแบบเฉพาะหน้าไม่ต่อเนื่อง ขณะที่กฎหมายห้ามขับขี่หรือจอดรถบนทางเท้าแทบไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง จนกลายเป็นเรื่องปกติที่รถจะขึ้นทางเท้าได้ 

ทางเท้าในเมืองไทยจึงสะท้อนทัศนคติของสังคมที่ ‘รถมาก่อนคน’ ทั้งที่แท้จริงแล้วทุกการเดินทางเริ่มและจบด้วยการ ‘เดิน’ การสร้างเมืองที่เป็นมิตรกับคนเดินเท้า จึงไม่ใช่แค่ปูกระเบื้องใหม่หรือขยับสิ่งกีดขวาง แต่คือการยอมรับว่า ‘สิทธิในการเดิน’ คือสิทธิพื้นฐานของพลเมืองในการใช้ชีวิตในเมืองอย่างปลอดภัย เท่าเทียม และมีศักดิ์ศรี

ทางเท้าที่ดีควรเป็นอย่างไร

หากมองให้ลึกกว่าพื้นทางที่เราเหยียบทุกวัน ‘ทางเท้าที่ดี’ ไม่ได้หมายถึงเพียงพื้นเรียบหรือไม่มีสิ่งกีดขวางเท่านั้น แต่คือพื้นที่ที่ทุกคนสามารถ ‘เข้าถึงได้ เดินได้ และรู้สึกปลอดภัย’ ตลอดการเดินทาง

ตามแนวคิดจาก TheCityFix ซึ่งเป็นเครือข่ายองค์ความรู้ด้านเมืองยั่งยืน ได้เสนอหลักการออกแบบทางเท้าที่ดีไว้ 8 ประการ เพื่อให้การเดินเท้าในเมืองเป็นเรื่องง่ายและน่าเพลิดเพลินมากขึ้น

1. ขนาดทางเท้าที่เหมาะสม ทางเท้าที่ดีควรแบ่งเป็น 3 โซนอย่างชัดเจน ได้แก่

  • โซนสำหรับคนเดิน (Free Zone) พื้นที่ที่ปลอดจากสิ่งกีดขวาง เพื่อให้การเดินต่อเนื่องและราบรื่น
  • โซนบริการ (Service Zone) พื้นที่ติดขอบถนนซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ม้านั่ง ถังขยะ หรือต้นไม้ให้ร่มเงา
  • โซนเชื่อมต่ออาคาร (Frontage Zone) ใช้สำหรับเข้าถึงร้านค้า อาคาร หรือบ้านเรือนที่อยู่ริมถนน

2. พื้นผิวที่มีคุณภาพ วัสดุที่ใช้ต้องแข็งแรง สม่ำเสมอ และป้องกันการลื่น เพื่อให้ทุกคนเดินได้อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะในฤดูฝนหรือพื้นที่ลาดเอียง

3. การระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ ทางเท้าที่มีน้ำขังหลังฝนตกไม่เพียงสร้างความไม่สะดวก แต่ยังทำให้คนต้องเสี่ยงลงไปเดินบนถนน ทางเท้าที่ดีจึงควรมีระบบระบายน้ำที่ดี เพื่อให้ใช้งานได้ตลอดเวลา

4. การออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) ทางเท้าควรเปิดกว้างให้ทุกคนใช้งานได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ใช้รถเข็น หรือผู้พิการ การออกแบบที่คำนึงถึงความหลากหลายของผู้ใช้จะทำให้พื้นที่นี้เป็นของทุกคนจริงๆ

5. การเชื่อมต่อที่ปลอดภัย ทางเท้าควรเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ เช่น ป้ายรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือทางข้ามถนนได้อย่างสะดวกและปลอดภัย เพราะการเดินมักไม่ใช่จุดหมาย แต่คือ “ส่วนหนึ่งของการเดินทางทั้งหมด”

6. บรรยากาศที่ดึงดูดผู้คน สีสัน การจัดต้นไม้ แสงไฟ หรือแม้แต่ศิลปะบนทางเท้าล้วนช่วยทำให้การเดินน่าสนุกขึ้น พื้นที่ที่น่าเดินไม่เพียงสร้างสุขภาวะที่ดี แต่ยังช่วยลดการใช้รถยนต์และทำให้เมืองมีชีวิตชีวามากขึ้น

7. ความปลอดภัยตลอดเวลา ทางเท้าควรมีแสงสว่างเพียงพอและปลอดภัยทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อให้ผู้คนกล้าใช้งานได้ในทุกช่วงเวลา เมืองที่ปลอดภัยคือเมืองที่คนรู้สึกว่า ‘เดินเล่นได้ทุกเมื่อ’

8. มีป้ายบอกทางที่ชัดเจน เช่นเดียวกับคนขับรถ คนเดินเท้าก็ต้องการข้อมูลที่ช่วยนำทาง ป้ายบอกชื่อถนน ทางข้าม หรือสถานที่สำคัญจะช่วยให้ผู้คนรู้ทิศทาง เข้าใจพื้นที่ และเดินได้อย่างมั่นใจ

สิทธานต์ ฉลองธรรม เจ้าของเพจ The Sidewalk โลกกว้าง ข้างทางเท้า ให้ข้อมูลกับสำนักข่าวอิศราว่า เมืองที่ดีต้องเริ่มจากการจัดลำดับความสำคัญใหม่โดยให้ความสำคัญกับ ‘คนก่อนรถ’ หากทางเท้ากว้างพอ ไม่มีสิ่งกีดขวางอันตราย แต่ขณะเดียวกันก็อาจมี ‘สิ่งกีดขวางที่เป็นมิตร’ อย่างต้นไม้หรือร้านค้าขนาดเล็กได้ เมืองก็จะมีชีวิตชีวามากขึ้น เช่นเดียวกับในออสเตรเลียที่จัดวางเสาไฟและป้ายจราจรอย่างเหมาะสม ไม่รบกวนคนเดิน เขายังยกตัวอย่างต่างประเทศที่เคยจัดระเบียบแผงลอยจนเมืองเงียบเหงา ก่อนปรับแนวทางด้วยการ ‘ขยายทางเท้า’ (road diet) ให้คนเดิน ร้านค้า และจักรยานอยู่ร่วมกันได้อย่างถูกกฎหมาย 

เขาตั้งคำถามว่า “ร้านค้าขวางทางเท้า หรือทางเท้ามันแคบกันแน่?” เพราะไทยมักมองปัญหาว่าคนรุกล้ำทางเดิน มากกว่าการที่ถนนรุกล้ำพื้นที่ของคน

สิทธานต์ชี้ว่า เมืองไทยยังให้ความสำคัญกับรถมากกว่าคน ทั้งที่คนเดินเท้าคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาเสนอให้รัฐหันมาใช้แนวคิด people-oriented city ที่ออกแบบเมืองจากความต้องการของผู้คน ไม่ใช่ยานพาหนะ พร้อมทิ้งท้ายว่า ทางเท้าที่ดีควรแข็งแรง ไม่ลื่น มีแสงสว่าง ร่มเงา ทางลาดสำหรับรถเข็น และทางเดินคนตาบอด เพราะในท้ายที่สุด “ทางเท้าไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐาน แต่คือศักดิ์ศรีของเมือง” เมืองที่ดีจึงควรเป็นเมืองที่ทุกคนเดินได้อย่างปลอดภัย เท่าเทียม และรู้สึกเป็นเจ้าของทุกย่างก้าวบนพื้นทาง

ทางเท้าไม่ใช่แค่ที่เดิน แต่คือบททดสอบการบริหารเมือง

ปัจจุบัน ทางเท้าในประเทศไทย แม้บางพื้นที่จะได้รับการปรับปรุงให้กว้างและดีขึ้นกว่าเดิม แต่หลายแห่งยังคงเต็มไปด้วยปัญหา ทั้งพื้นขรุขระ สิ่งกีดขวาง และการออกแบบที่ไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้ จนเกิดคำถามว่า ‘มาตรฐานของทางเท้าที่ดี’ ควรเป็นอย่างไร

โดยทั่วไป การสร้างและดูแลทางเท้าเป็นหน้าที่ของ หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทว่าความซับซ้อนของระบบสาธารณูปโภคบนทางเท้า ไม่ว่าจะเป็นสายไฟ ระบบโทรคมนาคม หรือท่อประปา ทำให้หลายหน่วยงานต้องเข้ามามีส่วนร่วม ตัวอย่างเช่น ทางเท้าบริเวณหน้าวัดพระสิงห์ถึงศูนย์สถาปัตยกรรมล้านนา แม้เทศบาลนครเชียงใหม่จะเป็นหน่วยงานหลัก แต่ก็ต้องประสานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงใหม่

ความซับซ้อนของโครงสร้างการบริหารและงบประมาณที่แตกต่างกัน ทำให้การพัฒนาทางเท้าใช้เวลานาน ต้องผ่านการอนุมัติหลายขั้นตอน และต้องคำนึงถึงระบบสาธารณูปโภคอื่นๆ หากขาดการวางแผนร่วมกันตั้งแต่ต้น มักเกิดปัญหาซ้ำซ้อน เช่น การขุดถนนซ้ำ การปรับพื้นไม่ต่อเนื่อง หรือการติดตั้งอุปกรณ์รบกวนการสัญจรของคนเดินเท้า

วิสัยทัศน์ของผู้นำท้องถิ่นจึงมีผลอย่างยิ่งต่อคุณภาพของทางเท้าและภาพรวมของเมือง เมืองที่ให้ความสำคัญกับคนเดินเท้าและออกแบบนโยบายอย่างรอบด้าน จะช่วยให้การเดินในเมืองปลอดภัย สะดวก และยั่งยืน

กรณีของ เทศบาลเมืองอุดรธานี ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ดร.ธนดร พุทธรักษ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองอุดรธานี อธิบายว่า การพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนต้องเชื่อมโยงทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน เมืองที่น่าอยู่และปลอดภัยจะทำให้ผู้คนออกมาใช้พื้นที่มากขึ้น เกิดกิจกรรมทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งทั้งหมดเริ่มจากการมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี โดยเฉพาะทางเท้าที่ทุกคนใช้ในชีวิตประจำวัน

จากแนวคิดดังกล่าว ทางเท้าในเขตเทศบาลเมืองอุดรธานีจึงได้รับการพัฒนาให้มีคุณภาพ พื้นเรียบ กว้าง ทางลาดได้มาตรฐาน มีพื้นผิวสำหรับผู้พิการทางสายตา และปลอดจากสิ่งกีดขวางทั้งหมด นี่จึงสะท้อนให้เห็นว่า ‘นโยบายที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน’ คือกุญแจสำคัญของการพัฒนาเมืองที่แท้จริง และทำให้ทางเท้าไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่เดิน แต่เป็นรากฐานของเมืองที่น่าอยู่และเท่าเทียมสำหรับทุกคน

ในเชียงใหม่ ความซับซ้อนของการบริหารและการประสานงานทำให้ทางเท้าในหลายพื้นที่ยังไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน ทางเท้าที่กว้างเฉลี่ยเพียง 1.2 เมตร พื้นขรุขระ และมีสิ่งกีดขวางตลอดทาง ทำให้การเดินไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะผู้พิการที่อาจต้องอ้อมไกลหรือไม่สามารถไปถึงจุดหมายได้ แม้เมืองเก่าของเชียงใหม่จะมีศักยภาพเป็น ‘เมืองเดินได้’ ตาม Good Walk Score แต่ทางเท้าจริงยังไม่รองรับผู้ใช้อย่างแท้จริง

หากอยากให้เชียงใหม่มี ทางเท้าที่ดี ปลอดภัย และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน สิ่งสำคัญคือการวางแผนและประสานงานระหว่างหน่วยงานท้องถิ่น สาธารณูปโภค และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย การให้ความสำคัญกับผู้ใช้ทางเท้าเป็นศูนย์กลางของการออกแบบเมือง และกำหนดมาตรฐานทางเท้าที่ชัดเจน จะช่วยให้เมืองพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับทุกคน

คุณภาพทางเท้าในเชียงใหม่จึงสะท้อน วิสัยทัศน์ของผู้นำท้องถิ่น เมืองที่ให้ความสำคัญกับคนเดินเท้า จะช่วยให้ทางเท้าไม่ใช่เพียงทางเดิน แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานรองรับกิจกรรมทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของเมืองอย่างแท้จริง เมืองที่พัฒนาทางเท้าได้ดี มักสะท้อนถึงระบบการทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพและให้ผู้คนเป็นศูนย์กลางของการออกแบบเมือง

ผลงานชิ้นนี้อยู่ภายใต้โครงการศึกษาวิจัยและจัดตั้งคลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อมฯ ในรายวิชา การศึกษากฎหมายสิ่งแวดล้อมเชิงคลินิก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

รายการอ้างอิง

SCG E-NEWSLETTER . “ทางเท้าน่าเดิน อุดรน่าอยู่ : เริ่มจากทางเท้าสู่การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน”.

สำนักพัฒนามาตรฐาน กรมโยธาธิการและผังเมือง. “หนังสือเกณฑ์และมาตรฐานผังเมืองรวม พ.ศ.2549”. หน้า 63. 

เพ็ญพิชชา เขียวพอ. 30 มิถุนายน 2566. “#ขอทางคืนให้เท้าเดิน – ขับขี่ปลอดภัย นึกถึงใจคนเดินเท้า”

Kung nadthanan. 7 มีนาคม 2568. “กฎหมายจราจรเกี่ยวกับการเดินเท้าและการข้ามถนน”.

Paula Manoela dos Santos. “The 8 Principles of the Sidewalk: Building More Active Cities”.

สำนักข่าวอิศรา. “สารพันปัญหา ‘ทางเท้า’ ที่สาธารณะพื้นฐาน ถูกลดความสำคัญ-รัฐละเลย?”. 

Lanner. “เชียงใหม่ เมืองสวย ไร้สาย ‘เมืองตู้ไฟ’ ที่ผลักไสคนพิการ”.

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...