บทเรียน 1 ปีของ “ห้องเรียนข้ามขอบ” เมื่อเชียงดาวกลายเป็นพื้นที่ทดลองการศึกษาใหม่ที่เด็กเลือกได้

เรื่อง: ปณิชา ปานกลาง     

เดินทางมาเป็นระยะเวลาหนึ่งปีแล้วสำหรับโครงการ “ห้องเรียนข้ามขอบ” ด้วยความร่วมมือของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) โดยการสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นหนึ่งปีที่มีความหมายในการสร้างการเรียนรู้ที่แตกต่างให้เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และเป็นหนึ่งปีที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับเด็กและเยาวชน

จากความพยายามในการพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้และทำให้เชียงดาวกลายเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ ก๋วย – พฤหัส พหลกุลบุตร เลขาธิการมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) ที่ปรึกษาโครงการ “ห้องเรียนข้ามขอบ” เล่าว่า นี่เป็นปีแรกที่ได้เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนในเมืองเชียงดาว โดยมองเห็นศักยภาพและจุดแข็งในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากร ผู้คนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ องค์ความรู้ ภูมิปัญญา หรือลักษณะทางภูมิศาสตร์เองก็ตาม รวมไปถึงมีผู้คนเก่งๆ ทั้งในและต่างประเทศที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จุดแข็งเหล่านี้สามารถส่งต่อ และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ได้

ห้องเรียนข้ามขอบถือเป็นการเริ่มต้นทำงานเชื่อมโยงกับเด็กและเยาวชนอย่างจริงจัง และเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง หลักสูตรมีรูปแบบ แนวคิด ที่ออกแบบมาให้ยืดหยุ่นและสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน ณิชา พิทยาพงศกร นักวิจัยประจำโครงการฯ ได้ถอดกระบวนการทำงานของห้องเรียนข้ามขอบออกมา ชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรนั้นสอดคล้องกับสามแนวคิดทฤษฎี คือ การเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ที่ให้ชุมชนได้เข้ามาร่วมจัดการเรียนรู้, การเรียนรู้แบบเชื่อมโยง ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกในสิ่งที่สนใจ เชื่อมกับการเรียนรู้เชิงวิชาการ และทุนทางสังคมที่จะสร้างเครือข่ายเกื้อหนุนกันเพื่อโอกาสในอนาคตของผู้เรียน

“เชียงดาวมีความหลากหลาย มีวิชาการเรียนรู้มหาศาล มีผู้คนไม่ว่าจะเป็นศิลปิน นักเขียน นักสิ่งแวดล้อม นักสื่อสาร ผู้ประกอบการธุรกิจ  คนทำงานเรื่องการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนสำคัญ แล้วพวกเขาก็มีศักยภาพพอที่จะมอบความรู้ให้กับเด็กๆ ในเชียงดาวได้”

แจ็ค – ธนาวัฒน์ รายะนาคร ผู้จัดการโครงการห้องเรียนข้ามขอบ เป็นอีกหนึ่งคนที่มีบทบาทสำคัญเล่าว่า ศักยภาพของโครงการที่เห็นชัดในหนึ่งปีสำหรับเขา คือ พลังของผู้คนที่อยู่ในอำเภอเชียงดาว ทั้งคนที่อยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่เกิดจนโต หรือคนนอกที่เข้ามาใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ทุกคนล้วนอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการมอบประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งนั้น และสิ่งที่มองเห็นต่อมาคือ ศักยภาพของคนในชุมชนที่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้กับเด็กๆ 

ผู้เรียนในหลักสูตรของห้องเรียนข้ามขอบมีหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่เด็กที่อยู่ในระบบการศึกษาทั่วไป เด็กบ้านเรียน (Home School) และเด็กนอกระบบการศึกษา ความแตกต่างหลากหลายเหล่านี้ทำให้การออกแบบหลักสูตรจำเป็นต้องยืดหยุ่น หลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ค้นหาความสนใจของตนเองผ่านการเรียนรู้ใน 3 หลักสูตร คือ หลักสูตรทักษะเยาวชนพลเมืองโลก หลักสูตรศิลปะเยาวชนนักสร้างสรรค์ หลักสูตรผู้ประกอบการเยาวชนท้องถิ่น และยังสามารถเลือกเรียนรู้ได้อย่างอิสระตามความสนใจผ่านสถานีการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีนักสร้างสรรค์การเรียนรู้ซึ่งเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาถ่ายทอดความรู้ให้ เรียกว่าเป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะเพิ่มเติม และได้ค้นพบความสนใจของตนเอง

เมื่อครูออกนอกห้องเรียน

นอกจากนี้ในระยะเวลาหนึ่งปี ความตื่นตัวของโรงเรียนและเครือข่ายการเรียนรู้อื่นๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดพลังการขับเคลื่อนขึ้นมา ครูทุกคนรู้ว่าในปัจจุบันเด็กและเยาวชนเติบโตไม่ทันโลกภายนอก และครูทุกคนมีความหวังดี อยากสร้างโอกาสให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นอีกหนึ่งต้นทุนสำคัญที่จะทำให้ห้องเรียนข้ามขอบไปต่อได้อย่างเข้มแข็ง

เครือข่ายบุคลากรทางการศึกษาอย่าง พิมพ์ณดา พีรวิชญ์วุฒิกร ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแม่แมะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้เข้ามาเรียนรู้ร่วมกับมะขามป้อมในหลักสูตรการพัฒนาครูกระบวนกร ได้ให้นิยามห้องเรียนข้ามขอบว่าคือ นวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ที่น่าสนใจ เดิมทีโรงเรียนมักจะสรรหาหลักสูตรต่างๆ มาบูรณาการเข้ากับเนื้อหาวิชา และการได้พาเด็กๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียนข้ามขอบ จึงเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับพวกเขาเช่นเดียวกัน

“ห้องเรียนข้ามขอบไม่ได้มีอยู่ในห้องเรียน แต่เนื้อหาวิชาลงไปในชุมชนด้วย เราอยากให้เด็กๆ ได้เรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญ เพราะครูในโรงเรียนไม่ได้เก่งทุกอย่าง อันไหนที่เราสนับสนุนได้เราก็อยากพาเขามาเรียนรู้”

พิมพ์ณดาเล่าว่าสถานีการเรียนรู้ที่ได้พบในห้องเรียนข้ามขอบตรงกับบริบทของชุมชนบ้านแม่แมะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเดินป่า ทำชาดอกไม้ สิ่งเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่ชุมชนมีอยู่แล้ว ถือเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งที่สำคัญ เพียงแต่ที่ผ่านมายังขาดกระบวนการจัดการ เมื่อได้เข้ามาเรียนรู้จึงมองเห็นช่องทางที่จะสามารถนำไประยุกต์ต่อได้

“เรามีแผนต่อเนื่องคือ ถ้าเราจะทำสถานีการเรียนรู้ของตัวเอง แม่แมะเด่นเรื่องการท่องเที่ยว ชา การเดินป่า แต่เราจะเริ่มต้นด้วยชาก่อน เราจะไปเรียนรู้การปลูกชา เก็บชา คั่วชา และทำจนออกมาเป็นชาแม่แมะ ซึ่งพอเด็กลงไปเรียนสามารถเทียบโอนในแปดสาระการเรียนรู้ได้ ถือเป็นหลักสูตรใหม่ สถานีการเรียนรู้ใหม่”

หนึ่งปีสำหรับการเข้าร่วมห้องเรียนข้ามขอบ พิมพ์ณดาสะท้อนอีกว่าโรงเรียนบ้านแม่แมะได้ก้าวข้ามออกจากกรอบมาแล้วส่วนหนึ่ง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการก้าวออกมาเรียนรู้ข้างนอก ในฐานะครู พิมพ์ณดาให้ความสำคัญกับความรู้ที่เด็กๆ จะได้มากกว่ายึดติดกับการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ และมองว่ายังมีวิชาอีกมากมายในโลกที่สามารถนำมาประยุกต์ได้ สำคัญคือ หากสามารถประเมินผล เทียบโอนให้กับเด็กๆ ได้ จะถือเป็นการเรียนที่ยืดหยุ่น และเอื้อให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น

“เราเรียนตรงนี้จบแล้วก็สามารถไปเรียนสถานีอื่นที่อื่นได้ คุณครูก็สามารถเก็บคะแนนเพื่อมาเทียบโอนได้ ยืดหยุ่นและเอื้อต่อกันได้จะเป็นสิ่งที่ดี ไม่ต้องจำกัดแค่ในโรงเรียน บางทีโรงเรียนอื่นพร้อมเรื่องเทคโนโลยี ก็อาจจะเป็นการแลกเปลี่ยนทรัพยากรกัน”

ข้ามช่องว่าง ข้ามระบบเดิม ความท้าทายของ “ห้องเรียนข้ามขอบ”

สิ่งที่ท้าทายสำหรับคนทำงานด้านการศึกษา ในมุมมองของพฤหัสและธนาวัฒน์คือเรื่องของ Generation Gap หรือ ช่องว่างระหว่างวัยของผู้ที่ให้ความรู้และผู้เรียนรู้ และความรู้ไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่ในโรงเรียน ห้องเรียน หรือห้องสมุด เท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันการเรียนการสอนในระบบการศึกษาไทยยังเปลี่ยนแปลงไปไม่ทันเท่ากับโลกภายนอก       

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน กระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับตัวเอง สัมพันธ์กับเพื่อน และธรรมชาติ ยังเป็นสิ่งพื้นฐานที่สำคัญไม่แพ้กัน

“ยิ่งมีความเปลี่ยนแปลงภายนอกมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องการพื้นฐานความเป็นมนุษย์มากเท่านั้น”

ข้อค้นพบอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเด็กๆ ที่เข้ามาเรียนรู้คือพวกเขามีปัญหาในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ด้วยการใช้ชีวิตที่เป็นส่วนตัว ทักษะในการเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมจึงแทบไม่มี เดิมทีเด็กๆ มักต้องการกลุ่มเพื่อน แต่พวกเขากลับไม่มีพื้นที่ในการรวมตัวกัน และโรงเรียนอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เท่าที่ควร ดังนั้นห้องเรียนข้ามขอบจึงได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นั้นให้เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เทคโนโลยีอาจจะเข้าไม่ถึง หรือทำแทนไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วพวกเด็กๆ ยังต้องมีทักษะพื้นฐานเหล่านี้ไว้เพื่อการใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่น

ธนาวัฒน์มองว่าความรู้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป เด็กยุคนี้ต้องการมากกว่านั้น เขาต้องการทักษะในการเรียนรู้ การตั้งคำถาม การคิดเป็นระบบ และการเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง ธนาวัฒน์ให้ความเห็นว่าวิธีการเรียนรู้ของเด็กในยุคสมัยนี้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก เทคโนโลยีอย่าง Artificial Intelligence หรือ AI เข้ามามีบทบาทเมื่อพวกเขาต้องการรู้อะไรสักอย่างแค่พิมพ์เข้าไปในอินเทอร์เน็ตให้ AI ช่วยประมวลผลก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนไม่ได้ต้องการแค่ความรู้อย่างเดียวเท่านั้น ‘ทักษะการเรียนรู้’ ต่างหากที่จะเป็นประโยชน์กับตัวเขา

ภาพสะท้อนของระบบการศึกษาอย่างหนึ่งที่ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง คือการที่ครูหนึ่งคนต้องแบกรับภาระการสอนมากมาย เพราะบุคลากรในโรงเรียนมีจำนวนไม่เพียงพอ นั่นทำให้ธนาวัฒน์มีภาพฝันถึงการศึกษาที่เขาอยากเห็นว่า “ครูหนึ่งคนไม่ควรต้องแบกรับทุกเรื่อง” ครูควรได้สอนในสิ่งที่ครูรู้ และเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอนมาเป็นผู้ร่วมประเมินการเรียนรู้ 

การเรียนรู้ในปัจจุบันไม่ใช่แค่การเรียนวิชาการ แต่พวกเขาต้องได้รับมากกว่านั้นเพื่อที่จะนำไปใช้ต่อในอนาคต และทางออกคือการให้ชุมชนหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ เข้ามาร่วมจัดการเรียนการสอน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้โลกในโรงเรียนเท่าทันกับโลกภายนอก และเพิ่มทางเลือกในการเรียนรู้ให้กับเด็กมากขึ้น

ห้องเรียนข้ามขอบอาจเป็นหนึ่งในการสร้างทางเลือกนั้นได้ แต่ธนาวัฒน์ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการให้เด็กทุกคนเลือกแบบนี้ เพียงแต่เป็นการสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้เกิดขึ้นมากกว่า

“เด็กบางคนอาจจะสนใจวิชาการ เด็กบางคนไม่ได้สนใจเรื่องนั้น แต่เขาควรได้มีทางเลือกในมากขึ้นว่าเขาอยากเรียนอะไร และระบบการศึกษาควรสนับสนุนในสิ่งที่เขาเลือกด้วย”

เด็กๆ โตในแบบของตัวเอง เมื่อห้องเรียนที่ไม่มีครูสอนทุกอย่าง

ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กและเยาวชนมากที่สุดอย่าง ไอซ์ – ฤทธิชัย โฉมอัมฤทธิ์ ผู้ประสานงานเยาวชนโครงการห้องเรียนข้ามขอบ ได้ฉายภาพการเปลี่ยนแปลงของเด็กๆ แรกเริ่มพวกเขามาเข้าร่วมห้องเรียนข้ามขอบเพราะคำสั่งจากคุณครู บางคนอาจจะเต็มไปด้วยคำถาม และยังมองเห็นภาพไม่ชัดเจนนัก เมื่อผ่านกระบวนการไปสักระยะหนึ่งก็เริ่มที่จะเป็นธรรมชาติมากขึ้น

เด็กและเยาวชนที่เข้ามาเรียนรู้ในห้องเรียนข้ามขอบมีหลายกลุ่ม ทั้งนักเรียนโรงเรียนมัธยมปลาย เด็กบ้านเรียนที่พ่อแม่ต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ เด็กจากกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ที่ทั้งเรียนและทำงานไปด้วย บางคนก็แทบจะบอกลาการเรียนรู้ไปแล้ว

แต่สิ่งหนึ่งที่ฤทธิชัยเห็นจากการที่เด็กๆ มารวมตัวกันคือ กระบวนการช่วยสร้างสัมพันธ์ในการเป็นเพื่อนได้มากทีเดียว พวกเขารู้สึกว่าพื้นที่นี้คือพื้นที่ปลอดภัย และสามารถบอกเล่าเรื่องราวของตนเองได้อย่างสบายใจ

“เขาแค่เป็นวัยรุ่นอายุใกล้ๆ กัน ไม่สำคัญด้วยว่าใครเรียนที่ไหน แล้วกระบวนการมันช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนขึ้นมาด้วย” 

หนึ่งในเยาวชนที่เข้ามาเรียนรู้อย่าง เร – อาคิรา เขียนนอก ที่รู้จักกับห้องเรียนข้ามขอบจากการที่พ่อแม่ต้องการหากิจกรรมนอกบ้านให้ทำ ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีอาคิราเล่าว่าจากเดิมที่จัดกระบวนการเรียนรู้เอง เรียนที่บ้านคนเดียว การได้ออกมาเจอเพื่อนใหม่ในห้องเรียนข้ามขอบ ช่วยพัฒนาทักษะหลายๆ ด้าน

ความแตกต่างระหว่างการเรียนที่บ้านกับห้องเรียนข้ามขอบ คือการที่ได้เจอผู้คนใหม่ๆ และได้พบกับรูปแบบวิธีการเรียนที่แตกต่างจากเดิม จากที่คิดว่าเป็นห้องเรียนที่เข้ามานั่งฟังเฉยๆ กลับเปลี่ยนภาพจำตรงนั้นไปจนหมด ห้องเรียนข้ามขอบมีกิจกรรมให้ทำมากมาย อาคิราชอบวาดรูป ชอบภาษา และการเขียน ไม่เพียงเท่านั้นยังได้ขยับออกไปเป็นผู้นำกิจกรรมกลุ่มย่อย นั่นเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้ได้รับทั้งความสนุก เพิ่มทักษะ และได้ค้นพบความสนใจของตนเองมากขึ้น

ฟิล์ม – ชาคริต จุมปา นักเรียนจาก สกร.เมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ก็มาพร้อมกับความเข้าใจที่ว่า ห้องเรียนข้ามขอบอาจจะเป็นเหมือนระบบการเรียนทั่วไป แต่เมื่อได้เข้ามาสัมผัสกลับให้ประสบการณ์ใหม่ ความรู้ใหม่ ไม่เหมือนกับที่คิดไว้ ห้องเรียนข้ามขอบสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับชาคริตหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทักษะในการกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ และกล้าที่จะลองผิดลองถูกมากขึ้น

เช่นเดียวกับ อุ๋ง – อัครพล ลุงอ่อง จาก สกร.บ้านแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ที่ปัจจุบันทำงานควบคู่ไปกับการเรียน ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห้องเรียนข้ามขอบเกือบครบหนึ่งปีแล้ว 

แรกเริ่มอัครพลไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เขาตั้งใจมาเก็บคะแนนชั่วโมงของ สกร.เท่านั้น แต่เมื่อได้เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้กลับทำให้ค้นพบความสนใจของตนเอง และเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของความมั่นใจและการสื่อสารกับผู้อื่น

อัครพลยังเล่าอีกว่าห้องเรียนข้ามขอบเป็นเสมือนพื้นที่สบายใจ ทำให้เขากล้าที่จะเล่าเรื่องของตนเอง และมีคนรับฟังอย่างไม่ตัดสิน นอกจากความสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่แล้ว พี่ๆ ทีมงานมะขามป้อมยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่ได้เข้ามาเรียนรู้  

การเรียนรู้ที่ดำเนินไปอย่างต่อเรื่องทำให้ฤทธิชัยเห็นการเติบโตระหว่างทางของเด็กๆ เสมอ ห้องเรียนแห่งนี้พัฒนาทักษะให้กับพวกเขาหลายด้าน ไม่ได้ตัดสินว่าอะไรผิดหรือถูก แต่ให้พวกเขาได้ร่วมหาคำตอบไปด้วยกัน และสามารถสร้างคำตอบในแบบของตัวเองได้

“เขารู้สึกว่าเมื่อก่อนเขาไม่มีเป้าหมายในการเรียนรู้ แต่ตอนนี้ได้เจอสิ่งที่เขาอยากเรียน แล้วพาตัวเองเข้าไปหาสิ่งนั้น เขารู้สึกว่าชีวิตของเขามันไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเดิม เราคิดว่าอันนี้มันสำคัญมากกับเด็กคนหนึ่ง”

ภาพการเติบโตของเด็กเยาวชนยังถูกมองผ่านสายตาของตัวแทนจากสถานีการเรียนรู้อย่าง แนน – ชลธิชา ชูจิตร ที่มาเปิดสถานีการเรียนรู้เกี่ยวกับ ‘การเดินทางของผลโกโก้’ ชลธิชาเป็นอีกหนึ่งคนที่ทำงานร่วมกับมะขามป้อมมาอย่างยาวนาน จากจุดเริ่มต้นที่ยังไม่รู้ทิศทาง มาจนถึงตอนนี้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมาย  นอกเหนือจากการได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาชุมชนแล้ว การได้ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็กๆ ได้เห็นการเติบโตของพวกเขาผ่านกระบวนการเรียนรู้ ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ชลธิชาภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน

“การที่เราได้สอนเด็กๆ แล้วได้ feedback ที่ดี หรือได้เห็นเด็กมีความสุขมันทำให้รู้สึกภูมิใจ มีกำลังใจ และอยากทำต่อ อยากให้เด็กๆ หลายคนได้เข้ามาเรียนรู้ และได้รับโอกาสเหมือนเด็กกลุ่มนี้ด้วย”

มุมมองจากผู้ร่วมออกแบบกระบวนการอย่างพฤหัสก็ได้ยืนยันว่ากระบวนการต่างๆ ฝึกให้เด็กและเยาวชนเก่งและเชี่ยวชาญขึ้น พวกเขาเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนา Self esteem หรือ การเห็นคุณค่าในตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน

“ก่อนหน้านั้นเราไม่เห็นแววตาแบบนี้ในตัวเขาเลย ความมั่นใจมันสะท้อนชัดเจนมากับการที่เขายืนหลังตรงกล้ามองหน้า แล้วก็พูดจามีความเป็นมนุษย์ ซึ่งเห็นเด็กทุกคนมีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปแบบนี้”

การศึกษาไร้รอยต่อ ฝันที่เด็กไม่ต้องปรับตัวให้พอดีกับกรอบ

ความตั้งใจของมะขามป้อมกับการสร้างห้องเรียนข้ามขอบไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ ในการดำเนินงานตลอดระยะเวลาหนึ่งปี มะขามป้อมถือว่าเป็นผู้เริ่มต้นโมเดลการศึกษานำร่อง และได้ทดลองการใช้งานหลักสูตรห้องเรียนข้ามขอบจนเกิดเป็นแนวทางสำหรับสร้างกระบวนการเรียนรู้ขึ้นมาแล้ว อำไพ วรวิรัตน์ ครูชำนาญการจาก กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้เข้ามาร่วมรับฟังแนวทาง ได้สะท้อนว่ามองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ของห้องเรียนข้ามขอบที่จะขยับขยายออกไป โดยชี้แนะว่าหากทำความร่วมมือ และประสานงานกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน แล้วขับเคลื่อนไปพร้อมกัน มีแนวทางเดียวกัน สกร.แม่วางเองก็อาจจะสามารถนำแนวทางไปปรับใช้ได้ตามบริบทของโรงเรียน ที่สำคัญต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เรียนได้ว่าจะสามารถยกระดับการศึกษาของพวกเขาได้ เพราะมีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพในอนาคต

กระแส ‘การเรียนรู้นอกห้องเรียน’ สร้างการตื่นรู้ให้กับผู้คนไม่น้อย บวกกับการเกิดขึ้นของนโยบายที่ต้องการแก้ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา (Dropout) ทำให้พฤหัสมองว่าการขับเคลื่อนหลักสูตรห้องเรียนข้ามขอบดำเนินไปได้สะดวกมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นสังคมเริ่มมีความตระหนักว่าการศึกษาจะหยุดนิ่งอยู่แบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป ต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้เท่าทันกับโลกที่กำลังหมุนไปอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญต้องยืดหยุ่น หลากหลาย และเอื้อประโยชน์ต่อผู้เรียนมากขึ้น

“สังคมกำลังตอบรับกับเรื่องแบบนี้ และสังคมตั้งคำถามกับระบบการศึกษาแบบเดิมมานานว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน เพราะรู้สึกว่ามันชำรุด มีปัญหาเยอะ คิดว่าถ้าเราทำกันต่อไปน่าจะเห็นผลที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น” 

พฤหัสชี้ให้เห็นว่าในทุกพื้นที่มีโครงการสร้างที่เหมือนกับพื้นที่เชียงดาว อย่างโครงสร้างทางการศึกษาของรัฐ เช่น สพฐ. สกร. อปท. และในแต่ละพื้นที่มีผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หากมีองค์กรที่ทำหน้าที่เหมือนมะขามป้อมคอยเชื่อมร้อยเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน และขับเคลื่อนไปพร้อมกับนโยบาย อาจจะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

การศึกษาที่เอื้อให้เด็กสามารถเติบโตและเลือกเส้นทางของตนเองได้อย่างมีอิสระ การศึกษาไร้รอยต่อเชื่อมโยงการศึกษาในระบบและนอกระบบเข้าหากัน และสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ได้ คือความฝันเพื่อการไปต่ออย่างมีความหวังในปีถัดไปของมะขามป้อม 

ไม่ว่าการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเกิดขึ้นในโรงเรียน นอกห้องเรียน หรืออยู่ในชุมชน ควรถูกนับว่าเป็นการเรียนรู้ทั้งหมด และร่องรอยการเรียนรู้เหล่านั้นถูกรับรอง สามารถเทียบโอนคุณวุฒิ หรือสะสมเป็นหน่วยการเรียนรู้ได้ นั่นจึงจะหมายถึงการได้ก้าวข้ามขอบการศึกษาออกไปอย่างแท้จริง

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง