‘รอแล้ว รออยู่ รอต่อ’ สิทธิคนไร้สัญชาติในวงล้อราชการ มติ ครม.ใหม่เร่งรัดการให้สถานะถิ่นที่อยู่ แต่ชีวิตจริงยังติดหล่มระบบราชการซับซ้อน

Date:

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกระทรวงมหาดไทย ให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีถิ่นที่อยู่ในไทย ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 28 มิถุนายน 2568

ประกาศนี้เป็นไปตามมติ ครม. 29 ตุลาคม 2567 เพื่อเร่งแก้ปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลของผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ในไทยเป็นเวลานาน รวมถึงบุตรที่เกิดในประเทศ พร้อมปรับขั้นตอนและลดระยะเวลาการดำเนินการ

ประกาศฉบับนี้ครอบคลุมบุคคลอพยพและชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในไทยมานาน 19 กลุ่ม เช่น ชาวเขา 9 เผ่า ผู้พลัดถิ่นพม่า จีนฮ่อ เวียดนามอพยพ รวมถึงเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีที่มีทะเบียนประวัติ บุคคลไร้รากเหง้าและผู้ถูกทอดทิ้ง ตลอดจนผู้ที่เคยทำคุณประโยชน์แก่ประเทศซึ่งขึ้นทะเบียนระหว่างปี 2542–2554 โดยกรมการปกครองเตรียมปรับระบบให้สามารถอนุมัติสถานะได้ภายใน 5 วัน จากเดิมที่ต้องใช้เวลานานถึง 270 วัน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการประกาศใช้มาแล้วเกือบ 3 เดือน แต่จนถึงปัจจุบันยังมีหลายคนที่ติดขัดในขั้นตอน และยังไม่ได้รับอนุมัติสถานะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ยื่นขอสถานะถิ่นที่อยู่อาศัยที่ดำเนินการตามมติ ครม. เดิม หรือผู้ที่ยื่นขอสถานะถิ่นที่อยู่อาศัยตามมติ ครม. ล่าสุดก็ตาม

รายเก่าเรื่องเงียบ รายใหม่ไปต่อไม่ได้: มติ ครม. เร่งรัด แต่กระบวนการจริงยังล่าช้า

หมวยอู หนั่นตา ชาวไทใหญ่ เล่าถึงประสบการณ์ยื่นขอสถานะถิ่นที่อยู่อาศัยตามมติ ครม. 26 มกราคม 2564 ว่า เธอยื่นเรื่องตั้งแต่ 17 สิงหาคม 2566 แต่เกือบ 2 ปีต่อมา เรื่องก็ยังไม่คืบหน้า แม้มติ ครม. 29 ตุลาคม 2567 จะกำหนดให้ส่วนกลางเร่งดำเนินการกับผู้ที่ยื่นเรื่องก่อนหน้าและส่งต่อให้อำเภอ แต่ไม่ได้ระบุกรอบเวลาและขั้นตอนที่ชัดเจน

“แรกๆ เราก็รอดู แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะจัดการกับคนที่ค้างอยู่ที่กรมการปกครองอย่างไร จริงๆ มีหลายคนที่ติดปัญหาเหมือนกัน เราก็อยากให้ชัดเจนกว่านี้”

หมวยอูเล่าว่า การใช้ชีวิตในเมืองไทยมากว่า 30 ปีไม่ง่าย กว่าจะมีบัตรและสิทธิพื้นฐานต้องเจออุปสรรคหลายด้าน ทั้งเรื่องเรียน การทำงาน และการเดินทาง โดยเฉพาะการออกนอกพื้นที่ เพราะบ้านอยู่ติดชายแดน แต่ทำงานในเมือง ต้องกลับไปทำหนังสือเดินทางทุกครั้ง เสียเวลาไป-กลับเกือบ 2 วัน

“มันทำให้เราเสียโอกาส ไม่สามารถสมัครงานตำแหน่งสูงขึ้นได้ เพราะหลายงานต้องการคนที่เดินทางสะดวก แต่เราทำไม่ได้”

แม้ระเบียบเปิดทางให้เพิกถอนคำขอเก่าเพื่อยื่นใหม่ แต่ไม่ได้กำหนดเวลา ทำให้เรื่องอาจยังค้างเหมือนเดิม 

“มติ ครม. ล่าสุดอาจใช้ผลได้แค่ปีเดียว ถ้าเรายังติดค้างอยู่ แล้วเขาไม่เพิกถอนคำขอเก่าให้ ก็ไม่รู้จะยื่นใหม่ทันหรือเปล่า พอคิดแบบนี้ก็กลัวว่ามติ ครม. จะหมดอายุไปก่อนด้วยซ้ำ”

เช่นเดียวกับ กร ทวยลู นักศึกษาปริญญาโทชาวไทใหญ่ หนึ่งในผู้ยื่นขอสถานะถิ่นที่อยู่อาศัยตามมติ ครม. 26 มกราคม 2564 เล่าว่า ขั้นตอนมีความซับซ้อนมาก เริ่มจากสอบที่อำเภอ มีการสอบพยานและทำแผนผังครอบครัว (Family Tree) ก่อนส่งต่อให้จังหวัดตรวจสอบหลายหน่วยงาน เช่น ตำรวจภูธร กรมการปกครอง และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จากนั้นเรื่องก็ถูกส่งไปส่วนกลางเกี่ยวกับหน่วยงานด้านความมั่นคงหลายแห่ง

“ตอนนั้นเราก็อุ่นใจ คิดว่าน่าจะเสร็จตามกรอบ แต่ความจริงไม่เป็นแบบนั้น พอมีมติใหม่ก็ประกาศว่าจะเร่งรัดให้เสร็จภายใน 5 วัน เราก็ดีใจ แต่สุดท้ายเรื่องที่เรายื่นไปก่อนหน้านี้ก็ยังไม่เดินหน้า ทุกครั้งที่โทรถาม เขาก็จะตอบว่า ‘รอเข้า ครม.’ แต่ถามต่อว่าจะเข้าเมื่อไร ก็ไม่เคยได้คำตอบแน่นอน”

กรยังชี้ให้เห็นความต่างระหว่างมติ ครม. เก่ากับใหม่ว่า รอบล่าสุดหลายอำเภอมีเป้าหมายชัดเจน บางแห่งประกาศว่าจะทำให้เสร็จ 10,000 คนภายใน 3 เดือน และทำได้จริง ต่างจากระบบเดิมที่กินเวลาหลายปี แต่ดำเนินการได้เพียงหลักสิบคนเท่านั้น

แม้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 29 ตุลาคม 2567 จะถูกมองว่าเป็นความหวังครั้งใหญ่ สำหรับผู้ที่อยู่ในประเทศไทยมานาน เพื่อให้ได้รับสถานะถิ่นที่อยู่อาศัยได้รวดเร็วขึ้น ภายใน 5 วันหลังเอกสารครบถ้วน แต่ในทางปฏิบัติ กลับเกิดปัญหาใหม่ที่กลายเป็นอุปสรรคสำคัญ

ตี๋ นาหยอด ชาวไทใหญ่ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มสื่อเพื่อการขอสัญชาติ (ตี่ตาง) ที่เพิ่งผ่านการยื่นขอสถานะตามมติ ครม. ล่าสุด เล่าว่า แม้หลักการจะระบุให้ดำเนินการได้รวดเร็ว แต่เมื่อได้บัตรแล้ว กลับติดปัญหากับหน่วยงานอื่น เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่ดูแลเอกสารแสดงการมีถิ่นที่อยู่ถาวรในประเทศ (ตม.16) และสถานีตำรวจภูธร (สภ.) ที่ดูแลใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (สพ.) ทำให้กระบวนการต่อไปไม่สามารถดำเนินได้ เพราะทั้งสองหน่วยงานอ้างว่าไม่ได้รับรู้หรือร่วมซักซ้อมกับ ครม. ตั้งแต่แรก

“ที่ผ่านมา ใครที่ยื่นตามมติใหม่ก็มีแค่บัตรสีชมพูอย่างเดียว ไม่สามารถทำขั้นตอนต่อจากนั้นได้ แต่ปัญหามันไม่ควรยุ่งยากขนาดนี้ เพราะจริงๆ สามารถใช้เกณฑ์เดิมได้” ตี๋อธิบาย

เขายังชี้ว่า เอกสารทั้งสองใบที่ยังไม่สามารถดำเนินการต่อได้ถือเป็นเอกสารสำคัญสำหรับการเดินทางภายในประเทศ หากขาดเอกสารนี้ กระบวนการถือว่ายังไม่สมบูรณ์ และยังไม่สามารถขอหนังสือเดินทางเพื่อเดินทางออกนอกประเทศได้ 

“เราก็เสียโอกาสหลายอย่าง เพราะคำว่า ‘รอ’ มันไม่มีกรอบเวลาแน่นอน กลายเป็นช่องว่างใหญ่ เราเลยต้องยื่นข้อเรียกร้องเรื่องนี้ไปด้วย”

ความซับซ้อนของเอกสารขอสัญชาติไทยกับอุปสรรคหลายชั้น

การขอสัญชาติไทยสำหรับผู้ที่อยู่ในประเทศโดยถูกกฎหมาย จำเป็นต้องใช้เอกสารหลัก 3 ชนิด ได้แก่

1.บัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย (สีชมพู) 

2.ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (สพ.) 

3.ใบสำคัญการมีถิ่นที่อยู่ถาวร (ตม.16)

เอกสารทั้งสามชนิดต้องใช้ควบคู่กันเพื่อให้ครบถ้วน แต่ความซับซ้อนและจำนวนเอกสารที่มากเกินไป กลับสร้างความยุ่งยากให้กับผู้ถือบัตรในชีวิตประจำวัน

โอ นักศึกษาปริญญาโทชาวไทใหญ่ มองว่า การขอถิ่นที่อยู่ถาวรควรให้ผู้ยื่นได้รับสิทธิเดินทางภายในประเทศโดยไม่ต้องขออนุญาตเพิ่มเติม และสามารถเดินทางต่างประเทศ รวมถึงสิทธิทำงานและสิทธิอื่นๆ ได้สะดวกมากขึ้น

“ความจริงเอกสารทั้งสามต้องใช้ควบคู่กันถึงจะสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ผู้ยื่นตามมติใหม่ได้แค่บัตรสีชมพูใบเดียว ซึ่งยังขอสัญชาติไม่ได้ เพราะยังไม่มีทั้งใบ สพ. และใบถิ่นที่อยู่ถาวรจาก ตม.” โออธิบาย

การขาดเอกสารทั้งสองนี้ทำให้ผู้ยื่นไม่สามารถเดินทางภายในประเทศได้สะดวก แม้บางครั้งจะมีหนังสือรับรองจากอำเภอ แต่ก็ยังพบกรณีที่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับ ทำให้เกิดอุปสรรคอยู่บ่อยครั้ง

โอเสนอว่า รัฐควรชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจง่ายขึ้น และอาจลดความซับซ้อนด้วย บัตรประจำตัวเพียงใบเดียว และใช้ พาสปอร์ตสำหรับเดินทางต่างประเทศ เพราะข้อมูลประวัติส่วนตัวทั้งหมดอยู่ในระบบอยู่แล้ว

สิทธิที่ถูกจำกัดของผู้ไร้สัญชาติ กำแพงขัดขวางความฝันและอนาคต

‘สิทธิ’ คือรากฐานสำคัญที่ทำให้คนสามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองได้ ทั้งด้านการศึกษา การทำงาน และการมีส่วนร่วมในสังคม แต่สำหรับผู้ที่ขาดสัญชาติ สิทธิกลับกลายเป็นกำแพงที่ขัดขวางความฝัน ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพจิตและร่างกาย

“การเข้าถึงสิทธิด้านการศึกษา เช่น กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้นักเรียนหลายคนหลุดออกจากระบบตั้งแต่ต้น”

กรอธิบายพร้อมคำนวนคร่าวๆ ว่า ต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงปริญญาตรีเฉลี่ย 1.1–1.9 ล้านบาทต่อคน แต่หลังเรียนจบ ผู้ที่ไร้สัญชาติกลับไม่สามารถเข้าตลาดแรงงานปกติ ใช้ศักยภาพเต็มที่ หรือสร้างมูลค่าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้

เขายังคำนวณมูลค่าความสูญเสียว่า นักศึกษาปริญญาตรีแต่ละคนสามารถสร้างมูลค่า 20–28 ล้านบาท หากนักเรียน 100 คนไม่สามารถเข้าทำงานในระบบได้อย่างถูกกฎหมาย บุคลากรเหล่านี้อาจกลายเป็นกลุ่มนอกระบบ ทำงานตลาดสีเทาหรือสีดำ ส่งผลให้รัฐสูญเสียผลประโยชน์รวมหลักพันล้านบาท นอกจากนี้ เด็กเยาวชนที่ขาดต้นแบบอาจหันไปสร้างกลุ่มหรือแก๊ง ทำลายภาพลักษณ์และคุณภาพพลเมืองในอนาคต

หมวยอู ยังเสริมว่า ผู้ไร้สัญชาติไม่เพียงสูญเสียโอกาสทางการศึกษาและอาชีพ แต่ยังต้องเผชิญแรงกดดันจากสังคมซ้ำๆ เช่น คำถามว่า ‘ทำไมไม่ทำแบบนั้น’ หรือ ‘ทำไมไม่ลองแบบนี้’ ทั้งที่ความจริงข้อจำกัดมาจากกฎหมายที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้” หมวยอูกล่าว

การจำกัดสิทธิจึงไม่ใช่เพียงเส้นกั้นทางกฎหมาย แต่เป็นการจำกัดศักยภาพมนุษย์และทำลายสุขภาวะทั้งกายและใจ หากรัฐยังไม่แก้ไข ปัญหาผู้ไร้สัญชาติอาจทำให้ความฝันและแรงบันดาลใจของคนอีกหลายคนสูญหายไปอย่างไม่อาจเรียกคืน

กลุ่มตี่ตางยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมการปกครอง ผลักดันการอนุมัติสถานะ-เรียกร้องความชัดเจน

19 กันยายน 2568 ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มสื่อเพื่อการขอสัญชาติ (ตี่ตาง) เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ผ่าน กัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ในฐานะรองประธานกรรมาธิการฯ เพื่อเรียกร้องให้อธิบดีกรมการปกครองพิจารณาอนุมัติคำขอมีถิ่นที่อยู่ถาวรตามมาตรา 17 สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอก่อนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 29 ตุลาคม 2567 พร้อมทั้งให้ออกใบสำคัญถิ่นที่อยู่และใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแก่ผู้ที่ได้รับอนุมัติสถานะแล้ว

เนื้อหาในหนังสือระบุว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางเร่งรัดการพิจารณาสถานะผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวร เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ผู้ที่ยื่นคำขอหลังจากนั้นได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีกลุ่มบุคคลจำนวนมากที่ยื่นคำขอก่อนหน้านั้นยังไม่ได้รับการพิจารณา ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรม

นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ได้รับการอนุมัติให้มีสถานะถิ่นที่อยู่ถาวรแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเอกสารสำคัญ ได้แก่ ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ และใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเดินทางภายในและนอกประเทศ โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าต้องรอการซักซ้อมความเข้าใจจากกรมการปกครองก่อน

กลุ่มตี่ตางจึงเสนอข้อเรียกร้อง 2 ประการ ได้แก่

1.เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติคำขอของผู้ที่ยื่นก่อนมติ ครม. 29 ตุลาคม 2567 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

2.ออกหนังสือเวียนถึงสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสถานีตำรวจทั่วประเทศ ให้ดำเนินการออกใบสำคัญถิ่นที่อยู่และใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแก่ผู้ที่ได้รับการอนุมัติสถานะแล้วโดยไม่มีเงื่อนไข

“เราก็ทำหนังสือเรียกร้องไปยังอธิบดีกรมการปกครอง เพื่อขอให้เร่งรัดแก้ไขปัญหานี้โดยด่วน และผลสุดท้ายอาจจะได้หรือไม่ได้รับการแก้ไข แต่ถ้าได้รับการแก้ไขเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ตามมติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายที่ตั้งใจจะแก้ไขปัญหาเรื่องสัญชาติ” ตี๋ นาหยอด หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มสื่อเพื่อการขอสัญชาติ (ตี่ตาง) กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้การประกาศสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองตามมติคณะรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย จะเป็นความพยายามสำคัญในการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลของกลุ่มคนอพยพที่อยู่ในไทยมานาน แต่จากประสบการณ์จริงของผู้ยื่นคำขอ กลับพบว่าในทางปฎิบัติยังมีอุปสรรคอีกมากมาย ทั้งความล่าช้าในการพิจารณาเอกสาร ข้อจำกัดของเอกสารที่เกี่ยวข้อง และขั้นตอนซับซ้อนหลายชั้น ทำให้ผู้ไร้สัญชาติยังไม่สามารถเข้าถึงสิทธิพื้นฐานได้เต็มที่

ปัญหาดังกล่าวไม่เพียงสร้างความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรม แต่ยังขัดขวางโอกาสทางการศึกษา การทำงาน และการมีส่วนร่วมในสังคมของผู้ไร้สัญชาติ การแก้ไขปัญหาผู้ไร้สัญชาติ จึงต้องไม่หยุดอยู่ที่การออกกฎหมายหรือประกาศเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องเร่งรัดการปฏิบัติจริง ออกเอกสารสำคัญให้ครบถ้วน และสร้างความชัดเจนในกระบวนการ เพื่อให้สิทธิพื้นฐานของผู้ไร้สัญชาติเป็นจริง และโอกาสในการมีชีวิตที่มั่นคงและมีศักดิ์ศรีกลับคืนมา

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

ล้านนาเนี่ยน: พี่เป้ ไรเดอร์

“เราขับแกร็บ เราอยู่บนถนน เราเลี่ยงไม่ได้ จะเลี่ยงก็ต้องเลือกรับงานไม่ไปทางที่รถติด เพราะค่ารอบระบบก็ไม่ได้เพิ่มให้เรา ตอนนี้ค่ารอบเริ่มต้นที่ 19 บาท” “มันทำให้เราเสียเวลากับค่ารอบที่มันถูก จากปกติถ้ารถไม่ติด...

สิทธิวิจารณ์ท้องถิ่นอยู่ตรงไหน? เมื่ออบต.ศรีถ้อย แจ้งหมิ่นฯ ชาวบ้านพญากองดี หลังโพสต์ถนนพัง–ถูกเรียกค่าน้ำมัน 20,000 บาท

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า มีกรณีชาวบ้านหมู่ 6 ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย...

Lanner Joy: Omnia Cafe and Roastery บนเส้นทางกาแฟพิเศษไทย จากไร่สู่ร้าน  จากเรื่องเล่าสู่ความ ‘Specialty’ ที่จับต้องได้

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: Omnia Cafe and Roastery เชียงใหม่อาจเป็นเมืองที่มีร้านกาแฟมากที่สุดเมืองหนึ่งของไทย ตั้งแต่ปากซอย...

คพ. เผยผลตรวจน้ำสาละวินพบสารหนูเกินมาตรฐานทุกจุด เร่งหาแหล่งน้ำสำรอง–ทำหนังสือถึงเมียนมาตรวจสอบมลพิษ

ภาพ: กรมควบคุมมลพิษ 21 พฤศจิกายน 2568 สุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.)  เปิดเผยความคืบหน้ากรณีพบความขุ่นผิดปกติในแม่น้ำสาละวินว่า...