
เครือข่ายแรงงานภาคเหนือจัดกิจกรรมเนื่องในวันย้ายถิ่นสากล เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2568 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อชวนสังคมมองแรงงานข้ามชาติในฐานะคน ที่มีศักดิ์ศรีและสิทธิเท่าเทียม พร้อมตั้งคำถามต่อโครงสร้างกฎหมายและแนวปฏิบัติของรัฐที่ทำให้แรงงานจำนวนมากยังเผชิญการเลือกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
วันย้ายถิ่นสากลตรงกับวันที่ 18 ธันวาคมของทุกปี จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติและสมาชิกในครอบครัว ค.ศ. 1990 ซึ่งเป็นกรอบสิทธิมนุษยชนที่ประเทศต่างๆ ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงในการคุ้มครองผู้ย้ายถิ่น
ภูมิอากาศเปลี่ยน คนจึงย้ายถิ่น

ในงานมีการชี้ให้เห็นว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศทำให้ผู้คนจำนวนมากถูกบีบให้ย้ายถิ่นฐาน ขณะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในปลายทางสำคัญของแรงงานข้ามชาติ โดยมีแรงงานกว่า 2.5 ล้านคนทำงานอยู่ในหลายภาคส่วน ตั้งแต่งานก่อสร้าง อุตสาหกรรม เกษตร ไปจนถึงงานบริการ
เพื่อให้เห็นชีวิตอีกด้านของผู้ย้ายถิ่น กิจกรรมช่วงหนึ่งมีการฉายสารคดี “The Other Side อีกด้านหนึ่งของแรงงานจังหวัดเชียงราย” โดย Locals Thai PBS ถ่ายทอดเรื่องของแรงงานชาวเมียนมาที่เข้ามาทำงานในไทย ก่อนจะอาสาเป็นผู้ช่วยเหลือแรงงานรุ่นใหม่ ด้วยทักษะภาษาไทย-เมียนมา และความรู้ด้านกฎหมาย ตั้งแต่เรื่องกฎหมายจราจร ไปจนถึงคำแนะนำการใช้ชีวิตให้ปลอดภัย
ไม่ได้แค่แรงงาน แต่เป็นคนที่ลงมือช่วยสังคม
สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และผู้แทนศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ภาพของแรงงานข้ามชาติไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่บทบาทแรงงาน เพราะหลายคนมีส่วนร่วมกับสังคมไทยในยามวิกฤต ทั้งการช่วยเหลือน้ำท่วมในเชียงราย การส่งความช่วยเหลือไปยังผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์ และล่าสุดการร่วมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่หาดใหญ่
เขายังกล่าวถึงการจัดการเรียนการสอนให้บุตรหลานแรงงาน เพื่อให้เข้าถึงการศึกษาและทักษะพื้นฐาน โดยมองว่า การอยู่ร่วมกันไม่ใช่เรื่องของการรับ แรงงานเข้ามาทำงานเท่านั้น แต่คือการจัดระบบรองรับให้คนกลุ่มนี้มีชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัย
3 ชั้นของการเลือกปฏิบัติ กฎหมาย ระบบ และอคติ
ประเด็นหลักของเวทีเสวนาในช่วงบ่ายคือคำถามว่า เหตุใด “การเลือกปฏิบัติ” ต่อแรงงานข้ามชาติยังเกิดขึ้นซ้ำๆ

อดิสร เกิดมงคล จากเครือข่ายประชากรข้ามชาติ แบ่งปัญหาออกเป็น 3 ระดับ
- ระดับกฎหมาย ที่จำกัดสิทธิหลายด้าน และทำให้การเปลี่ยนนายจ้างหรือการอยู่ในระบบมีขั้นตอนซับซ้อน
- ระดับแนวปฏิบัติ เช่น สิทธิในระบบประกันสังคมที่ “จ่ายเท่ากัน แต่มีส่วนร่วมไม่เท่ากัน”
- ระดับอคติ ที่ทำให้แรงงานถูกจับตามอง ถูกเหมารวม หรือถูกกล่าวหาเกินจริง

ด้าน ผศ.ดร.ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล จากคณะนิติศาสตร์ มช. ย้ำมุมธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน โดยเห็นว่าภาคธุรกิจจำเป็นต้องเคารพสิทธิแรงงานมากขึ้น และควรสร้างพื้นที่สนทนาระหว่างนักศึกษา นักวิชาการ และหน่วยงานต่างๆ เพื่อขยับมาตรฐานการคุ้มครองให้จริงจัง
เราอยากมีชีวิตที่ดีเหมือนกัน

Kan Kyi นักดนตรีและนักจัดตั้งชุมชนผู้ย้ายถิ่น ซึ่งเติบโตท่ามกลางชุมชนแรงงานข้ามชาติ เล่าว่าเห็นการแบ่งแยกมายาวนาน จึงใช้ดนตรีและเครือข่ายศิลปินเป็นพื้นที่สื่อสารประเด็นสังคม และชวนใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือเล่าเรื่องอีกด้าน เพื่อลดความกลัวและความเกลียดชัง

ขณะที่ จอโซ ตัวแทนแรงงานข้ามชาติจากศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย เล่าประสบการณ์ช่วยเหลือผู้คนตั้งแต่ช่วงโควิด การดูแลเรื่องอาหารและการเรียนของเด็ก ๆ ไปจนถึงการลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วมในหาดใหญ่ โดยย้ำว่าความช่วยเหลือที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดว่าเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ
ปัญหาในชีวิตจริง ต่อบัตรยาก ค่าใช้จ่ายสูง และ “ซื้อซิมไม่ได้”
เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมงานจำนวนหนึ่งพูดถึงปัญหาที่กระทบชีวิตจริง ตั้งแต่การต่อเอกสารที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้แรงงานบางคนถูกหลอกหรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างและคนกลาง ไปจนถึงกรณีบัตรบางประเภทที่มีเลขนำหน้า 6 หรือ 8 ซึ่งทำให้ไม่สามารถซื้อซิมการ์ดได้
อีกข้อเสนอคือการเปิดพื้นที่เรียนภาษาไทยและความเข้าใจวัฒนธรรม รวมถึงการเปิดโอกาสให้แรงงานจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมของตน เช่น งานประเพณีไทใหญ่ โดยขอให้สังคมไม่เหมารวมเมื่อเกิดเหตุการณ์เชิงลบ เพราะความเหมารวมมักย้อนกลับไปสร้างความรังเกียจและความแตกแยกในชุมชน
เปลี่ยนจาก ‘แรงงานชั่วคราว’ เป็น ‘ส่วนหนึ่งของสังคม’
ผู้ร่วมเสวนาหลายฝ่ายเสนอให้รัฐและสังคมปรับมุมมองต่อแรงงานข้ามชาติจากการเป็น ‘แรงงานชั่วคราว’ ไปสู่การเป็น ‘ส่วนหนึ่งของสังคม’ พร้อมสร้างบทสนทนาร่วมกันมากขึ้น ทั้งผ่านนโยบาย สื่อ และพื้นที่สาธารณะ
กิจกรรมปิดท้ายด้วยข้อย้ำที่ถูกพูดซ้ำหลายครั้งตลอดงานว่า ‘คนย้ายถิ่นก็คือคน’ และการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ควรเป็นหลักที่ใช้กับทุกคน ไม่ว่าจะถือสัญชาติใดก็ตาม
