ความสัมพันธ์ล้านนา-สยาม : ไข้ทรพิษสู่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในเชียงใหม่ พ.ศ.2410 -2450 

Date:

ไข้ทรพิษ โรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิศ (Small pox หรือ Variola) โดยคำว่า Variola มาจากภาษาละติน แปลว่า จุด หรือตุ่ม โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส มีอาการหลักของผู้ป่วย คือ มีผื่นที่เป็นตุ่มหนองขึ้นตามผิวหนังและผื่นก็สามารถแพร่เชื้อได้ด้วย โรคนี้ติดต่อกันได้ค่อนข้างง่าย มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง ยังไม่มียารักษา มีวัคซีนสำหรับป้องกันได้ แต่ในปัจจุบันโรคนี้ได้ถูกกำจัดให้สูญสิ้นไปแล้ว จึงไม่มีการแนะนำให้ฉีดวัคซีนในประชากรทั่วไปอีก 

ลักษณะของ ไข้ทรพิษ ที่มา (ภาพ : Science Museum) อ้างใน หมอบรัดเลย์ และความสำเร็จของการปลูกฝี ไข้ทรพิษ ครั้งแรกในสยาม Sarakadee Lite.

ในประวัติศาสตร์มนุษย์โรคนี้ระบาดหลาย ๆ ครั้ง โดยพบหลักฐานที่กล่าวถึงการป่วยเป็นไข้ทรพิษของบุคคลสำคัญหรือการระบาดของไข้ทรพิษในหลาย ๆ ประเทศ ตัวอย่างเช่น   ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 กรณีการพระชวรเป็นไข้ทรพิษของจักรพรรดิคังซี  ซึ่งเป็นสมัยราชวงศ์ชิงปกครองประเทศจีนในขณะนั้น หรือ ในปลายศตวรรษปี 16 สงครามประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกัน ที่กล่าวถึงกองทัพของชาวอาณานิคมที่ได้รับผลกระทบจากไข้ทรพิษ  เป็นต้น 

การจัดการไข้ทรพิษ การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการ การแยกผู้ป่วย และวิธีที่สำคัญคือ การสร้างภูมิคุ้มกัน ในลักษณะของการ “ปลูกฝี” การปลูกฝีป้องกันโรคไข้ทรพิษ ในปี พ.ศ. 2341 (ค.ศ.1798) นายเอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ (Edward Jenner) ได้ค้นพบว่า หญิงรีดนมวัวซึ่งเป็นวัวที่ติดเชื้อฝีดาษกลับไม่ติดโรคฝีดาษจากวัว จึงสกัดหนองฝีจากวัวมาปลูกฝีเพื่อป้องกันไข้ทรพิษในคน นำมาสู่การประดิษฐ์วัคซีนโรคฝีดาษ ลำดับถัดมา 

ภาพเอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ (Dr. Edward Jenner) กำลังปลูกฝี ที่มา Edward Jenner vaccinating his young child. Coloured engraving by C. Manigaud after E Hamman. / CC BY-SA (https://creativecommons.org/licenses/by-sa/3.0)

การปรากฏขึ้นของไข้ทรพิษบนหน้าประวัติศาสตร์สยาม

จากการกล่าวถึงไข้ทรพิษในข้างต้น ในหัวข้อจะกล่าวถึงไข้ทรพิษที่ปรากฏในหลักฐานในไทยตั้งแต่ยุคจารึก พบหลักฐานต่าง ๆ ในสยามที่กล่าวถึงไข้ทรพิษ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พบหลักฐานการระบาดของไข้ทรพิษอีกหลายครั้ง เช่น 

ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐระบุว่า

“ศักราช ๘๑๖ จอศก ครั้งนั้นคนทั้งปวงเกิดทรพิษตายมากนัก”

พบพงศาวดารกล่าวถึงการสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 ดังนี้

“ศักราช ๘๗๕ ปีระกา เบญจศก สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรทรงประชวรทรพิษเสด็จสวรรคต อยู่ในราชสมบัติ ๕ ปี ” 

สงครามหงสาวดี-กรุงศรียุทธยา มีหลักฐานกล่าวถึงไข้ทรพิษดังนี้

“ลุศักราช ๙๒๑ ปีมะแมเอกศก ขณะนั้นสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าทรงพระประชวรทรพิษ พระเจ้าหงษาวดีตรัสให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระนะเรศวรเป็นเจ้าเสด็จคืนมายังพระนครศรีอยุธยา ”

ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม มีหลักฐานกล่าวถึงไข้ทรพิษดังนี้ 

“ปีระกา จ.ศ.๙๘๓ (พ.ศ. ๒๑๖๔) เศษ ๓ ออกฝีตายมาก ปีจอ จ.ศ. ๙๘๔ (พ.ศ. ๒๑๖๕) เศษ ๘ ช้างเผือกล้ม คนออกฝีตายมาก ”

จากการกล่าวถึงหลักฐานสยามในยุคจารีต แสดงให้เห็นบันทึกการระบาดของไข้ทรพิษที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงศรีอยุทธยา 

ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หมอบรัดเลย์ได้บันทึกถึงเรื่องการปลูกฝีกันไข้ทรพิษไว้เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2381 (ตรงกับสมัยรัชกาลของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3) ตอนหนึ่งไว้ว่า

“สมัยนี้เป็นสมัยเกิดไข้ทรพิษชุกชุม พวกมิชชันนารีได้พยายามที่จะช่วยป้องกันพวกมิชชันนารีคิดหาวิธีฉีดหนองเชื้อเข้าไปในตัวโค แล้วเอาหนองโคนั้นมาใช้ฉีดกันไข้ทรพิษ วิธีนี้คิดและทดลองอยู่ถึง 5 ปีจึงได้สำเร็จ ได้ใช้หนองนั้นฉีดกันพวกบุตรธิดาของตนไว้ได้เป็นอันมาก พอพวกมิชชันนารีคิดเรื่องหนองฝีสำเร็จ พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบก็ดีพระทัยมาก โปรดให้หมอหลวงทั้งหมดมาหัดฉีดหนองฝีกันไข้ทรพิษแล้วจะให้ไปปลูกทั้งในวังและนอกวัง”

จากหลักฐานดังกล่าวจะเห็นได้ การรักษาไข้ทรพิษข้างต้นจะเป็นการรักษาเป็นการใช้วัคซีน เนื่องจากเป็นช่วงที่หลังจากที่ ค้นพบการรักษาไข้ทรพิษหรือวัคซีน คือ การปลุกฝีหนอง และการปลุกฝีเป็นการรักษาในลักษณะ“วัคซีน”ที่เผยแพร่ผ่านในสยามในระยะเวลาดังกล่าวผ่านกลุ่มมิชชั่นนารีชาวอเมริกัน

การบันทึกปลูกฝีกันไข้ทรพิษที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นช่วงที่สยามมีความมั่นคง การค้าขายและการติดต่อกับชาวต่างประเทศ ทั้งพ่อค้าชาวจีน และ พ่อค้าชาวตะวันตก ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับมิชชั่นนารี อเมริกันเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ซึ่งจะกล่าวถึงตัวอย่างบทบาทของมิชชั่นนารีในหัวข้อถัดไป 

การปลุกฝีหนองในสยามในช่วงทศวรรษปี 2430 นอกจากการรักษาและการพัฒนาวัคซีนภายในประเทศแล้ว ในช่วงต่อมา สยามในช่วงปีพุทธศักราช พ.ศ.2436  มีจดบันทึกจดหมายเหตุกล่าวถึงไข้ทรพิษและการส่งเจ้านายไปปลูกฝีดังต่อไปนี้  

“หมู่บ้าน 3 หมู่บ้าน ในเมืองชุมพร เดือนมิถุนายน มีไข้ทรพิษระบาด ต่อมาในเดือนกรกฎาคม มีหมู่บ้านเพื่ออีก 2 หมู่บ้าน มีผู้ป่วยตายไป 50 คนชาวบ้านอพยพออกไปอยู่ที่ปลายนา จึงมีการส่งหม่อมเจ้าปานจากสยาม ออกไปปลูกฝีไข้ทรพิษ ”

“การเดินทางของหม่อมเจ้าปานโดยเกวียนไปยังเมืองชุมพร ผ่านเมืองต่าง ๆ และอยู่ทำการปลูกฝี จนถึงเดือนธันวาคม ปีพุทธศักราช พ.ศ.2436 โดยจำนวนราษฎรที่ปลูกได้ทั้งหมดจำนวน 10,676 คน ถึงแม้ว่าจำนวนการรักษาอาจจะเห็นว่ามีราษฎรจำนวนมากไว้ใจที่จะเข้ามารักษากับหมอปานแต่ยังมีคนอีกกลุ่มจำนวนไม่น้อยอีกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่หายขาดจากโรคนี้และเกิดการตายจากโดยไข้ทรพิษ เช่น ที่บ้านหาดพังไกร มีพระสงฆ์มรณะ 6 รูป กรรมการ 2 คน และประชาชน 25 รวมทั้งหมด 33 คน เป็นต้น” 

จากหลักฐานข้างต้นได้กล่าวถึงไข้ทรพิษระบาดในชุมพร ปี 2436 ทางราชสำนักได้ส่งเจ้านาย ไปปลูกฝี และได้มีหลักฐานเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต นอกจากกรณีชุมพร ยังค้นพบจดหมายเหตุที่กล่าวถึงการส่งเจ้านายไปปลุกฝีที่กรุงเก่าดังนี้ กรณีที่ส่งหม่อมเจ้าปราณีไปปลูกฝีที่แขวงกรุงเก่า ระยะเวลาที่ได้ไปปลูกคือวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2436 และกลับสู่กรุงเทพฯวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2437 โดยปลูกฝีให้ราษฎรไปทั้งหมด 4,175 คน โดยระหว่างการปลูกฝีได้มีการพักอยู่ที่วังจันทร์เกษม 

ต่อมา โรคไข้ทรพิษที่เกิดขึ้นในเมืองน่าน เริ่มด้วยที่เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้เริ่มรายงานถึงไข้ทรพิษเมื่อน่าน ค้นพบหลักฐานสรุปได้ดังนี้ วันที่ 2 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2437 ได้รับมอบเอกสารจากพระยาพรหมสุรินทร์ข้าหลวงรักษาราชการเมืองนครเมืองน่าน วันที่ 7 เมษายนรัตนโกสินทร์ศก 113 นำส่งสำเนารายงานถึงหมอสุดไปปลูกไข้ทรพิษ และได้ใบเสร็จรับเงิน 2 ฉบับ กับใบบอกเจ้าราชวงศ์นครเมืองน่านอีก 2 ฉบับ ซึ่งมีข้อความคล้ายๆกันว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2536 พระยาพรหมสุรินทร์ได้ไปตรวจเมืองเชียงของกับ เมืองชัย พระยาพรหมสุรินทร์เห็นว่า มีไข้ทรพิษลำบากถึงกับชีวิต พระยาพรหมสุรินทร์จึงให้หมอสุดไปปลูกไข้ทรพิษให้เป็นทานแก่ราษฏร เพื่อจะได้ปรากฏเป็นเช่นอย่างให้ลาวเลื่อมใส ให้เป็นความดีแห่งการปลูกไข้ทรพิษสืบไป และจะได้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง 

จากหลักฐานที่กล่าวถึงไข้ทรพิษข้างต้น การให้เจ้านายเป็นผู้ไปปลูกหนองฝีกับราษฎรในต่างเมือง แสดงให้เห็นว่าสยามให้ความสำคัญกับการระบาดดังกล่าว  สำหรับการปลูกฝีหนองและการแพร่เผยศาสนา รวมถึงความเป็นพลวัตในล้านนา จะกล่าวในหัวข้อถัด ๆ ไป

ตัวอย่างบทบาทและความสัมพันธ์ของมิชชั่นนารี ในสยาม 

ในหัวข้อจะยกตัวอย่างบทบาทและวามสัมพันธ์ของมิชชั่นนารีของนายแพทย์แดน บีช แบรดลีย์ หรือหมอปลัดเล ศาสนาจารย์ดาเนียล แมคกิลวารี และ นางโซเฟีย แบรดลีย์ (Sophia Bradley) โดยจะยกอัตชีวประวัติเบื้องต้นดังนี้ 

นายแพทย์แดน บีช แบรดลีย์ หรือ คนสยามเรียกว่า หมอบรัดเลย์ เดินทางถึงกรุงเทพฯ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2378 พร้อมด้วยนางเอมิลี รอยส์ ผู้เป็นภรรยา นายแพทย์แดน บีช แบรดลีย์ มีบทบาทสำคัญต่อสยาม ได้แก่ การผ่าตัดแขนพระในปีพ.ศ.2379-2380 เนื่องจากอุบัติเหตุปืนใหญ่ระเบิดในวัด ณ งานฉลองวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร  ในช่วงการระบาดของไข้ทรพิษ ได้ทำการทดลองปลุกฝีไข้ทรพิษและได้แต่งหนังสือเรื่อง “ตำราปลูกฝีโคให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้ ”เพื่อเป็นตำราในการทำความเข้าใจการปลุกฝีแก่ขุนนางและหมอในสยาม และการก่อตั้งโรงพิมพ์และหนังสือพิมพ์อย่างบางกอกรีคอร์ดเดอร์ในปี พ.ศ. 2387 

นายแพทย์แดน บีช แบรดลีย์ มีบุตรีท่านหนึ่งที่ได้สมรสกับศาสนาจารย์ดาเนียล แมคกิลวารี คือ นางโซเฟีย แบรดลีย์ สำหรับนางโซเฟีย แบรดลีย์ เป็นบุตรีคนหนึ่งของนายแพทย์แดน บีช แบรดลีย์ และนางเอมิลี รอยส์ เธอเกิดในปี พ.ศ.2380 เธอสามารถพูดภาษาไทยได้ 

สำหรับศาสนาจารย์ดาเนียล แมคกิลวารี เดินทางเข้ามาในสยามในปี พ.ศ.2401 ได้พักที่เดินทางมาการเผยแพร่ศาสนาในสยามในพื้นที่ใกล้เคียง ในปี พ.ศ. 2410 ได้เดินทางไปยังเชียงใหม่พร้อมด้วยนางโซเฟีย แบรดลีย์ (Sophia Bradley) เขียนหนังสือเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางมายังสยามและเชียงใหม่ได้แก่ “ภาคพายัพ แสนไกล”และเรื่อง A Half Century Among the Siamese and the Lao ที่ได้จะกล่าวถึงมุมมองต่อสังคมชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวสยามและชาวล้านนาหรือชาวลาว 

ในปี ระหว่างปี พ.ศ.2409-2410 มีหลักฐานกล่าวถึงคณะเจ้านายเชียงใหม่เดินทางลงมาถวายเครื่องบรรณาการกับราชสำนักสยาม โดยบริเวณที่คณะเจ้านายเชียงใหม่ใกล้เคียงกับเรือนพำนักของนายแพทย์แดน บีช แบรดลีย์ ดังหลักฐานที่กล่าวถึงจุดประสงค์ที่ตรงกันระหว่างเจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่และมิชชันนารี สรุปได้ดังต่อไปนี้ 

1.เดิมมิชชันนารีอเมริกันสนใจมาเผยแพร่คริสต์ศาสนาทางล้านนา หนึ่งในนั้นคือหมอบรัดเลย์

2.ในปี 2410 คณะเจ้านครเชียงใหม่ลงมาถวายเครื่องบรรณาการที่กรุงเทพ คณะพักใกล้กับที่ตั้งสำนักงานมิชชันของนายแพทย์บรัดเลย์ ด้วยเหตุนี้ศาสนาจารย์แมคกิลวารี แมคกิลวารีและนางโซเฟีย แมคกิลวารี(บรัดเลย์) มีโอกาสคลุกคลีกับเจ้านายและข้าราชบริพารจากนครเชียงใหม่ 

3. พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ สนใจในการแพทย์สมัยใหม่ของมิชชันนารี พระองค์จึงมีความประสงค์ให้วิทยาการทางการแพทย์นี้ไปเผยแพร่ในเชียงใหม่ 

จากการยกตัวอย่างบทบาทและความสัมพันธ์ของมิชชั่นนารีข้างต้น ได้แสดงเห็นการรับวิทยาการตะวันตกของสยามในช่วงรัฐจารีต ทั้งการรักษาโดยการปลุกฝี ศาสนาคริสต์และการพิมพ์ โดยมิชชันนารีอเมริกัน สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการต่อปรับปรุงประเทศสยาม และเป็นการนำเสนอความมุ่งมั่นของมิชชั่นนารีที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในภาคเหนือในเวลาถัด ๆ มา ถึงว่าเป็นครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สยาม ที่วิทยาศาสตร์ ศาสนา และการเมือง มาบรรจบกัน และวิทยาการดังกลายจะเดินทางขึ้นไปยังเชียงใหม่และจะส่งผลต่าง ๆ ตามมาดังจะกล่าวในหัวข้อถัดไป 

การยกตัวอย่างของกลุ่มมิชชันนารีอเมริกันในสยามในศตวรรษที่ 17 ระยะเวลาดังกล่าว เป็นช่วงที่สยามมีความมั่งคง เนื่องจากประเทศที่เป็นคู่สงครามกับสยามติดสงครามหรือตกอยู่ภายใต้ของอิทธิของอังกฤษ สยามจึงกลายเป็นเมืองหนึ่งที่มีชาวตะวันตกหลาย ๆ เชื้อชาติเข้ามาพักอาศัย การเข้ามาของชาวต่างเช้าเหล่านี้จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของการเมืองในภูมิภาค การเมืองในสยามและประวัติศาสตร์ไทย รวมถึงเรื่องต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน 

การปลูกฝีหนองในเชียงใหม่ การเผยแพร่ศาสนาของศาสนาจารย์ดาเนียล แมคกิลวารี และความเป็นพลวัติ 

สังคมล้านนาก่อนมีการรักษาแบบตะวันตก จากการค้นคว้าเอกสารเกี่ยวกับทัศนคติของชาวล้านนาหรือชาวลาวในยุคจารีต พบหลักฐานที่กล่าวถึงทัศคติของชาวล้านนาต่อการรักษาพยาบาลในสายตาของมิชชั่นนารีดังต่อไปนี้ 

“ชาวลาวปราศจากความรู้เรื่องอวัยวะและร่างกายในมุมมองวิทยาศาสตร์ นำไปสู่ใช้การคาดเดาเหตุการณ์ ว่าอวัยวะและร่างกายเป็นเรื่องของธาตุทั้งสี่ การทดลองภายใต้การคาดเดาและประสบการณ์จะเป็นกลไกในการรักษาของชาวลาว นั้นคือการรักษาผู้ป่วย ”

จากหลักฐานข้างต้นได้แสดงให้มุมมองต่อการรักษาของชาวล้านนาหรือชาวลาว โดยเป็นการรักษาโดยการคาดเดาอาการของผู้ป่วยและรักษาตามธรรมชาติ ทั้งนี้ในกรณีที่รักษาแล้วแต่อาการยังไม่บรรเทาลงจะกลายเป็นหน้าที่ของคนทรง ดังนี้ 

“ในกรณีที่เกิดผู้ป่วยจากที่พวกเขาไม่สามารถอธิบายได้จะมีการเรียกหมอผี หรือ คนทรง การอธิบายผู้ป่วยของหมอผีคนทรงใช้การคาดเดาและความบังเอิญในการอธิบายโรคที่เกิดขึ้นถูกหรือผิดก็เป็นที่นิยมอย่างมากในสมัยนั้น ในที่นี้หมอมิชชันนารีไม่สามารถอธิบายได้ว่าการรักษาโรคนั้น หมอผีเหล่านี้อธิบายและรักษาได้อย่างไร เพราะว่า คนที่จะมาเป็นหมอผีหรือคนทรงจะไม่เฝ้าดูอาการหรือตรวจสอบการทดลองอาการผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ ”

“พวกเขายอมรับการอธิบายความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติและวิธีทางไสยศาสตร์ ความเชื่อนี้จะทำให้ผู้คนละเลยการศึกษาสาเหตุของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ในขณะเดียววิธีการนี้จะแพร่อยู่ในภูมิศาสตร์เขตร้อนชื้น ด้วยเหตุที่การวิ่งวอนต่อสิ่งเหนือธรรมชาติจะเป็นความเชื่อที่แพร่หลายในเขตร้อนชื้นที่มี โรคที่เหมือนกันจึงทำให้ ความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติและวิธีทางไสยศาสตร์จะทรงพลังอย่างมาก และเนื่องจากปรากฏที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติมีความเข้าใจว่าเป็นสิ่งเห็นธรรมชาติ การปรากฏขึ้นของโรคที่ร้ายแรงและความถี่ของโรคระบาดจะเป็นหลักประกันของความเชื่อนี้ เพราะฉะนั้นงานใด ๆ ในกิจการการแพทย์สมัยใหม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพ เพราะไม่มีวิธีทางการใด ๆ เลยที่จะส่งผลกระทบต่อไสยศาสตร์ไปมากกว่าหลักเหตุและผล ”

จากหลักฐานข้างต้นได้แสดงให้เห็นมุมมองการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของคนล้านนาในอดีต มุมมองของมิชชั่นนารีต่อการรักษาและเผยแพร่ศาสนาในล้านนายุคจารีต รวมถึงความเห็นที่ว่า จะต้องมีความชำนาญในการรักษาผู้ป่วย เพื่อที่จะให้ผู้ป่วยมีความเข้าใจในหลักเหตุและผล รวมถึงศาสนา หลักฐานชิ้นนี้จึงแสดงให้เห็นทัศนคติของคนล้านนาก่อนการเข้ามาของการรักษาแบบตะวันตกหรือความเป็นวิทยาศาสตร์ และยังแสดงให้เห็นอุปสรรคในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในล้านนาในช่วงเวลาขณะนั้น  

การปลุกฝีหนองในเชียงใหม่ และ การเผยแพร่ศาสนาของศาสนาจารย์ดาเนียล แมคกิลวารี หลักฐานได้กล่าวถึง ศาสนาจารย์แดเนียลและนางโซเฟีย แมคกิลวารีพร้อมด้วยครอบครัวออกเดินทางจากกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ.2410 ถึงเชียงใหม่ในวันที่ 3 เมษายน ปีเดียวกัน  ครอบครัวแมคกิลวารี พักอาศัยที่ศาลา “ย่าแสงคำมา” อยู่ฝั่งตะวันตกแม่น้ำปิง  การมาเชียงใหม่ในครั้งนี้ มีจุดประสงค์ได้แก่ “การสอนศาสนา การจัดตั้งโรงเรียน และรักษาคนเจ็บป่วย “การประกาศศาสนาคริสต์และการรักษาของศาสนาจารย์แดเนียล แมคกิลวารี ได้รับความสนใจจากชาวล้านนาเป็นอย่างมาก 

ภายหลังจากคณะมิชชั่นนารีเดินทางถึงเชียงใหม่ ศาสนาจารย์แดเนียล แมคกิลวารีปฏิบัติสัมพันธ์กับพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ จากการตั้งสถานีเผยแพร่ศาสนาคริสต์แล้ว มีงานศึกษาที่กล่าวถึงการปลุกฝีหนองให้แก่เจ้านายในราชสำนักเชียงใหม่ โดยการปลูกฝีหนองดังนี้ 

“เนื่องจากพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ทรงอนุญาตให้ ศาสนาจารย์แดเนียล แมคกิลวารีปลูกฝีหนองแก่พระราชนัดดา การปลูกฝีดูจะดำเนินไปด้วยดีแต่ขั้นตอนสุดท้ายของการตกสะเก็ด พระนัดดาทรงท้องร่วงอย่างแรง พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ทรงให้ พระนัดดาอยู่ในความดูแลของหมอพื้นบ้าน โดยที่เดเนียล แมคกิลวารี ตั้งข้อสังเกตว่าอาการดังกล่าว หากใช้ยาแก้ปวดหรือยาอื่น ๆ ตามแบบแผนตะวันตก พระนัดดาน่าจะหายป่วย อย่างไรก็ตาม เดเนียล แมคกิลวารีไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการรักษาท้ายที่สุดพระนัดดาเสียชีวิต”

ภาพถ่ายขาวดำ การปลูกฝี เมื่อ 120 ปีก่อน ประมาณปี พ.ศ.2450 โดยหลวงอนุสาร สุนทรกิจ ชัวย่งเส่ง สตูดิโอ เชียงใหม่ สำเนาภาพจากหนังสือภาพถ่ายฟิล์มกระจก เมืองเชียงใหม่ โดย หลวงอนุสารสุนทรกิจ อ้างใน เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น

การเดินทางออกไปปลูกฝีหนองในหมู่บ้านตามชนบทต่าง ๆ ภายหลังจากการเผยแพร่ศาสนา การตอบคำถามอย่างเป็นเหตุเป็นผลและการรักษาผู้ป่วยตามการรักษาหลักแพทย์ตะวันตก ทำให้มีผู้รับความเชื่อและรับบัพติสมาเป็นคริสเตียน ได้แก่ หนานอินต๊ะซึ่งเคยเป็นผู้บวชเรียนมาก่อน ยังมีคนที่รับเชื่อเป็นคริสเตียนต่อมาจนถึงต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2412 รวม 7 คน แต่ในเดือน กันยายน พ.ศ. 2412 คริสเตียนสองคนคือน้อยสุยะกับหนานชัย ถูกพระเจ้ากาวิโรรส สั่งประหารนำไปสู่เหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างมิชชั่นนารีและชนชั้นนำในเชียงใหม่ ประเด็นสำคัญ 2 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นนำเชียงใหม่กับคริสศาสนิกชนในเชียงใหม่ 

(1) พ.ศ. 2412 กรณีประหารชาวคริสต์สองคนคือน้อยสุยะกับหนานชัย  เนื่องจากทั้งสองคนเป็นบุคคลในสังกัดของเจ้านายเชียงใหม่ การเข้ารีตของไพร่ในสังกัดผู้ครองเมืองเชียงใหม่อาจจะส่งผลต่อกลไกเชิงอำนาจเนื่องจากการเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์ของชาวคริสต์ในเชียงใหม่จะทำให้ไพร่ได้หยุดงาน ซึ่งส่งผลต่อการเกณฑ์แรงงานได้ 

เหตุการณ์ตึงเครียดดังกล่าว สิ้นสุดภายหลังจากพระเจ้ากาวิโลรสถึงแก่พิราลัย ในปี 2413 ขณะเดินทางกลับเชียงใหม่ ภายหลังจากที่ได้ถวายพระเศวตวรรณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2412 ภายหลังจากพระเจ้ากาวิโลรสถึงแก่พิราลัย พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ในลำดับถัดมา อนุญาตให้มิชชันนารีเผยแพร่กิจการศาสนาต่อไป   

ต่อมา (2) ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2413 จะมีพิธีแต่งงานแบบคริสเตียนครั้งแรกระหว่างนางสาวคำติ๊บ (บุตรสาวของหนานอินต๊ะ) กับน้อย อินทจักร ศิษย์ ของศาสนาจารย์แมคกิลวารีที่กำลังรับการฝึกอบรมเพื่อเป็นศาสนาจารย์หรือนักบวชของคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ เจ้าเทพวงศ์ซึ่งเป็นมูลนายสูงสุดของครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวไม่ยินยอมให้มีการแต่งงานจนกว่า จะมีการเสียผีตามประเพณีความเชื่อของคนเมืองเสียก่อน กลุ่มมิชชันนารีเองไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องนี้ ในที่สุดมีการฟ้องร้องไปยังราชสำนักรัชกาลที่ 5 ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง

ภายหลังจากปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิธีราชาภิเษก ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2418 ได้ประกาศพระบรมราชโองการว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนา พ.ศ. 2421 โดยมีบางตอนกล่าวไว้ดังนี้ 

“ผู้ใดเห็นว่าศาสนาใดจะถูกต้องก็ถือตามชอบ ใจของผู้นั้น ผิดถูกก็อยู่แก่ผู้ที่ถือศาสนานั้นเอง ในหนังสือสัญญาแลธรรมเนียมในกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ห้าม ปรามคนที่จะถือศาสนา ถ้าผู้ใดเห็นว่าศาสนาพระเยซูดี ก็ให้เขาถือตามชอบใจ เมื่อมีราชการบ้านเมืองต้องใช้ ผู้ที่ถือศาสนาพระเยซูนั้นก็ใช้ได้ ศาสนาหาเป็นที่ขัดขวางห้ามปรามในราชการไม่ ตั้งแต่นี้สืบไป ถ้าผู้ใดจะชอบใจถือศาสนาใด ก็ให้ผู้นั้นถือตามชอบใจ อย่าให้เจ้านายพระยาลาวท้าว แสนและราษฎร ซึ่งเป็นญาติพี่น้องแลมูลนายของผู้ที่ถือศาสนาพระเยซูนั้นขัดขวางห้ามปรามการสิ่งใด ซึ่ง ศาสนาพระเยซูห้ามไม่ให้ถือไม่ให้ทำ คือไหว้ผีเลี้ยงผีทำการงานต่าง ๆ ในวันอาทิตย์ ก็อย่าให้กดขี่บังคับให้ ถือให้ทำ เป็นอันขาด เว้นเสียแต่เป็นการศึกสงคราม แลเป็นการสำคัญจำจะต้องใช้ผู้นั้นในวันอาทิตย์ก็ใช้ได้”

จากประกาศพระบรมราชโองการว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนา พ.ศ. 2421 จะเห็นได้ว่ามีบางประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ความตึงเครียดในลาว ได้แก่ “อย่าให้เจ้านายพระยาลาว ท้าวแสนและราษฎร ซึ่งเป็นญาติพี่น้องแลมูลนายของผู้ที่ถือศาสนาพระเยซูนั้นขัดขวางห้ามปรามการสิ่งใด ซึ่งศาสนาพระเยซูห้ามไม่ให้ถือไม่ให้ทำ” ได้แก่ การไม่ให้เจ้านายห้ามไพร่นับถือศาสนาคริสและการเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์ ยกเว้นในกรณีสงคราม จากพระบรมราชโองการว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนา พ.ศ. 2421 ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า สยามมีความเข้าใจว่าตึงเครียดของการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่ ภายใต้ระบบไพร่อันเป็นระบบกลไกลอำนาจผู้ปกครองเมืองและขุนนางในขณะนั้น  ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งทางขนบประเพณีระหว่างมิชชันนารีอเมริกันกับชนชั้นนำในเชียงใหม่จึงจบลง ภายหลังจากพระบรมราชโองการว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนาจากราชสำนักสยาม

เมื่อความตึงเครียดระหว่างมิชชันนารีและชนชั้นนำล้านนาลดลงภายหลังจากการประกาศพระบรมราชโองการว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนา พ.ศ. 2421 ได้มีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่ดังนี้ 

1.ภายหลังการประกาศพระบรมราชโองการว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนา พ.ศ. 2421 แสดงให้เห็น อำนาจของราชสำนักสยามที่เหนือเมืองเชียงใหม่ ผ่านเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างชนชั้นนำเมืองเชียงใหม่กับมิชชันนารี เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจความอันซับซ่อนที่เกิดขึ้น ระหว่างราชสำนักสยามและเชียงใหม่ในยุคจารีต โดยมีสาเหตุมาจากเผยแพร่วิทยาการตะวันตก อันได้แก่ การปลุกฝีหนอง การรักษาแบบตะวันตก การพิมพ์และการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ซึ่งมีผู้นับถือมากขึ้นตามลำดับ ต่อมาในปี พ.ศ. 2432 จะมีการตั้งคริสตจักรที่ 1 ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากชาวคริสเตียน จำนวนหนึ่ง ในอาคารคริสตจักรที่ 1 ในปัจจุบันอยู่ในโรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน 

รวมถึงการศึกษา ซึ่งจะกล่าวในประเด็นถัดไป 

2.พบความเชื่อมโยงระหว่างพระบรมราชโองการว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนา พ.ศ. 2421 กับการตั้งโรงเรียนหนึ่งที่เชียงใหม่ ในปี พ.ศ.2421  โดยนางโซเฟีย บรัดเลย์ แมคกิลวารี ได้ตั้งโรงเรียนสตรี มีเป้าหมายทำให้นักเรียนมีรู้หนังสือ ทักษะการเย็บปัก การคำนวณ การท่องคัมภีร์และการร้องเพลง 

เนื่องจากการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในเชียงใหม่นั้น ศาสนาจารย์ดาเนียล แมคกิลวารีและภรรยา พบว่ามีสตรีในเชียงใหม่เพียง 2 คนที่สามารถอ่านออกเขียนได้ (น่าจะเป็นเจ้าอุบลวรรณาและเจ้าทิพไกสร บุตรีของพระเจ้ากาวิโลรส สริยะวงศ์) โดยในช่วงแรก ได้ให้การศึกษาทักษะความรู้ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย แก่ลูกหลานของบ่าวไพร่ในเรือนประมาณ 6-8 คน ในปี พ.ศ.2413 ตั้งโรงเรียนสตรีในปี พ.ศ.2421  และพ.ศ. 2422 คณะมิชชันนารีส่ง Miss Edna Sarah Cole และ Miss Mary Margaretta Campbell มารับผิดชอบและจัดระบบโรงเรียน และต่อมาในปี 2452 เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียน “พระราชชายา” และปี 2466 เปลี่ยนชื่อเป็นดาราวิทยาลัย โรงเรียนได้เปิดให้การศึกษาแก่นักเรียนตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน 

การตั้งโรงเรียนดังกล่าวได้ส่งผลให้ต่อมาได้แก่ (1) การตั้งโรงเรียนสอนศาสนาคริสต์ทำให้ชาวคริสเตียนในเชียงใหม่ เป็นกลุ่มแรกที่สามารถอ่านออกเขียนได้  (2) ราชสำนักสยามได้เห็นความสำคัญของการศึกษา ในเชียงใหม่ จึงมีตั้งโรงเรียนอื่น ๆ ตามมา

3.กิจการการรักษาของมิชชันนารี ภายหลังจากปี พ.ศ.2421 ยังคงดำเนินควบคุมไปกับการเผยแพร่ศาสนา โดยการตั้งโรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่น” (American Mission Hospital) หรือโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ในปี พ.ศ.2431 

โดยการดำเนินกิจการของโรงพยาบาล พบการกล่าวถึง นายแพทย์เจมส์ ดับบลิว แมคเคน (Dr.James W. McKean) ในการปฏิบัติกิจการโรงพยาบาลในเชียงใหม่ ดังนี้

“พ.ศ. 2447 หมอแมคเคนริเริ่มสร้างห้องทดลองผลิตวัคซีนสำหรับปลูกฝีดาษ ซึ่งใช้เวลาถึง 10 ปีจึงสำเร็จ หมอแมคเคนให้การฝึกหัดคนปลูกฝี และส่งไปบำบัดผู้ป่วยตามหมู่บ้านที่ห่างไกล นอกจากนี้ยังนำเครื่องจักรเข้ามาผลิตยาควินินสำหรับใช้รักษาคนไข้มาลาเรียในเชียงใหม่ ” 

กิจการการรักษายังคงดำเนินในเวลาถัด ๆ มา แสดงให้เห็นกิจการของการรักษาที่เติบโต ขยับขยาย และแสดงให้เห็นความต้องการรักษาผู้ป่วยของหมอชาวต่างชาติในสยาม 

จากประเด็นสืบเนื่องจากความเป็นพลวัตข้างต้น การดำเนินกิจการตามจุดประสงค์ของมิชชันนารีเหล่านี้ มีผลต่อประวัติศาสตร์ในแง่ต่าง ๆ ทั้งการรักษา การเผยแพร่ศาสนา และการตั้งโรงเรียนเป็นผลมาจากจุดประสงค์ของมิชชันนารีและได้มีผลสืบเนื่องต่อประวัติศาสตร์ในอนาคต สิ่งเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นวิทยาการตะวันตกที่เดินทางมาถึงเมืองเชียงใหม่ วิทยาการตะวันตกต่าง ๆ ที่กล่าวถึงจะมีปฏิสัมพันธ์กับชนชั้นนำและสามัญชน และกลายเป็นประวัติศาตร์หน้าสำคัญหน้าหนึ่งของเชียงใหม่  

จากการค้นคว้าข้อมูลไมโครฟิล์มและหลักฐานอื่น ๆ ที่กล่าวถึงไข้ทรพิษในเชียงใหม่และน่านข้างต้น นำมาสู่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และประเด็นเรื่อง โศกนาฏกรรม กระทั้งการประกาศ “พระบรมราชโองการเสรีภาพทางศาสนา ” (Edict of Toleration) งานศึกษาค้นคว้านี้ จึงแสดงให้เห็นประเด็นต่าง ๆ เช่น 1.หลักฐานการระบาดของไข้ทรพิษในล้านนาศตวรรษที่ 18 2.การรักษาและความเชื่อในการรักษาประชาชนในล้านนาที่มีความแตกต่างกับการรักษาแบบตะวันตก 3.การเผยแพร่ศาสนาและประเด็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่เข้ารีดศาสนาคริสต์และเจ้าครองนครเชียงใหม่ในระยะเวลาดังกล่าว 4.ประเด็นเรื่องการจัดการรัฐชาติสมัยใหม่ หรือ จัดการล้านนาในฐานะอาณานิคมของสยามผ่านการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ประเด็นเหล่านี้ แสดงเห็นความสัมพันธ์ในหลาย ๆ วงการเช่น ศาสนา การแพทย์ ประวัติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ที่เชื่อมโยงต่อกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

อ้างอิง 

  • ประวัติศาสตร์น่าน .(ม.ป.ป).จังหวัดน่าน. 
  • พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา : ฉบับหลวงสารประเสริฐและฉบับกรมพระปรมานุชิตฯ และพงศาวดารเหนือฉบับพระวิเชียรปรีชา. (2504). กรุงเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา,
  • คณะทำงานเอกลักษณ์น่าน. (2549). “นครน่าน พัฒนาการเป็นนครรัฐ” . ม.ป.ป
  • ดำรงราชานุภาพ สมเด็จพระเจ้าพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยา “พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์”
  • คริส เบเกอร์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร, (2559), ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ที่ 5
  • ธัชชัย ยอดพิชัย, (2552), “โอสถศาลาหมอบรัดเลย์” นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ 3 มกราคม 2552 
  • ธันวา วงศ์เสงี่ยม, (2557), เกร็ดความรู้จากประว้ติศาสตร์ ‘ไข้ทรพิษ ในประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา’ 
  • สำนักกรมศิลปากร วรรณกรรมและประวัติศาสตร์ นิตยสารศิลปากร ปีที่ ๕๗ ฉบับ ก.ค. – ส.ค. ๕๗,น.๖๗-๗๗
  • ตรี อมาตยกุล, (2507),“พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับเป็นสมบัติของบริติชมิวเซียม” กรุงลอนดอน กรุงเทพฯ : ก้าวหน้า 
  • หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, (มปป),“พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ฯ / กีรติ เกียรติยากร บรรณาธิการ” กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แสงดาว
  • ประสิทธิ์ พงศ์อุดม,(มปป.), “ประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนาในเชียงใหม่”.หน่วยงานจดหมายเหตุประวัติศาสตร์และวิจัย สภาคริสตจักรในประเทศไทย สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2561
  • สุกัญญา ตีระวนิช ,(2529), “หมอบรัดเลกับการหนังสือพิมพ์กับกรุงสยาม” กรุงเทพ : มติชน
  • สรัสวดี อ๋องสกุล ,(2558),“ประวัติศาสตร์ล้านนา” กรุงเทพฯ พิมพ์ครั้งที่ 11: อมรินทร์
  • ศรีสักดิ์ วัลลิโภดม,(2545), “ล้านนาประเทศ”กรุงเทพฯ : มติชน

บทความนี้ปรับปรุงจากรายงานการค้นคว้าภายใต้กระบวนวิชา 004372 ประวัติศาสตร์ล้านนา  นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างล้านนากับสยามผ่านการเข้ามาของมิชชันนารี โดยพบว่า ในช่วงศตวรรษที่ 19 เกิดการระบาดของไข้ทรพิษในภูมิภาคต่าง ๆ ในสยาม รวมถึงเชียงใหม่และน่าน ภายใต้การปกครองของสยาม ผู้ครองเมือง จึงได้ขอมิชชั่นนารีชาวต่างชาติและตัวยาเพื่อเข้าไปรักษา นำมาสู่เหตุการณ์สำคัญของการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในภาคเหนือ เหตุการณ์ประหารชาวคริสตเตียนในเชียงใหม่ และพระบรมราชโองการเสรีภาพทางศาสนา ” (Edict of Toleration) ในระยะเวลาต่อมา ประเด็นเหล่านี้ แสดงให้เห็น การสื่อสารและความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างสยามกับล้านนา ในการจัดการรัฐล้านนาของสยามในช่วงรัชกาลที่ 5

ธัญญารัตน์ คุ้มกระโทก
พงษ์กฤษฏิ์ จิโน 

More like this
Related

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...

แรงงานภาคเหนือ ยื่นข้อเสนอถึงกระทรวงแรงงาน ‘Decent Work’ เรียกร้องยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

24 ตุลาคม 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอ Decent Work หรือ งานที่มีคุณค่า...

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...

‘บ้านหนองเต่า’ รักษาป่า รักษาวิถีชีวิต ท่ามกลางปัญหาสิทธิที่ดิน

เรื่อง: รัญชิดา อาริกุล ‘บ้านหนองเต่า’ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยง หรือ...