เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์
12 กันยายน 2568 กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย เพื่อตรวจหาสารปนเปื้อน 4 ชนิด ได้แก่ สารหนู (As), แคดเมียม (Cd), ตะกั่ว (Pb) และ ปรอท (Hg) นอกจากนี้ยังมีการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียวิทยา ไวรัสวิทยา และพยาธิวิทยา เพื่อวินิจฉัยโรคเบื้องต้นในห้องปฏิบัติการของกองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ

ผลการตรวจจากตัวอย่างปลาเค้าและปลากดคัง ครั้งที่ 11 พบว่า สารหนู แคดเมียม และตะกั่วไม่พบในตัวอย่าง ส่วนปรอทพบในระดับ 0.12–0.13 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) กรมประมงสรุปว่า ประชาชนสามารถบริโภคสัตว์น้ำเหล่านี้ได้ โดยแนะนำให้ปรุงสุกก่อนรับประทาน
คำแนะนำดังกล่าวอาจสร้างความอุ่นใจในเชิงข้อมูล แต่เสียงสะท้อนจากชาวบ้านกลับไม่ตรงกัน โดยในวันที่ 22 กันยายน 2568 ชาวบ้านในพื้นที่ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มั่นใจ
“ที่บอกว่าปลากินได้ แค่มาตรวจสอบยังต้องจ้างคนในหมู่บ้านไปจับให้อยู่เลย แบบนี้มันกินได้จริงหรือ”
“เขาบอกว่าปลายังกินได้ แต่ภาพข่าวขนาดนั้นใครจะกล้ากิน”
“แค่ลงน้ำยังไม่ลงเลย จะให้กล้ากินปลาได้ยังไง”
คำถามที่ตามมาคือ การปรุงสุกช่วยลดความเสี่ยงจาก โลหะหนัก ได้จริงหรือ?
นักวิทยาศาสตร์ด้านพิษวิทยาอธิบายว่า ความร้อนสามารถฆ่าเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย พยาธิ และไวรัส ได้ดีที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป แต่ ไม่ได้ทำลายโลหะหนัก
งานวิจัยของ Suda Jailuang และคณะ พบว่าการปรุงปลานิลด้วยวิธีต้ม ทอด หรือย่าง ไม่สามารถกำจัดโลหะหนักทั้งหมดได้ และบางวิธี เช่น ย่างหรือทอด อาจเพิ่มความเข้มข้นของโลหะหนักในเนื้อปลา ขณะที่งานวิจัยเก่าของ Atta, El‑Sebaie, Noaman และ Kassab (1997) พบว่าการอบหรือนึ่งปลาอาจลดปริมาณโลหะหนักบางชนิด แต่ไม่สามารถกำจัดจนหมด
สรุปได้ว่า โลหะหนักอย่างสารหนู ตะกั่ว และแคดเมียม ทนความร้อนสูง การปรุงอาหารอาจช่วยลดปริมาณบางส่วน แต่ไม่ได้หมายความว่าเนื้อปลาปลอดภัย 100% การบริโภคอย่างต่อเนื่องอาจสะสมสารพิษเข้าสู่ร่างกายและส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว
กินได้ไม่เท่ากับปลอดภัย บทเรียนจากมินามาตะถึงแม่น้ำกก
กรณีตรวจสารโลกหะหนักในปลาแม่น้ำกก แม้ว่าผลการตรวจพบปรอทอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด และกรมประมงแนะนำให้ประชาชนบริโภคได้หากปรุงสุก แต่ความกังวลของชาวบ้านสะท้อนถึงความไม่มั่นใจต่อคำว่า ‘ปลอดภัย’ โดยเฉพาะเมื่อการปรุงอาหารไม่สามารถกำจัดโลหะหนักได้ทั้งหมด
เหตุการณ์นี้สะท้อนบทเรียนจากเมืองมินามาตะ ประเทศญี่ปุ่นในศตวรรษที่ผ่านมา เมืองที่เคยสงบสุขและมีอาชีพประมงเป็นหลัก กลับต้องเผชิญภัยจากสารปรอทที่โรงงานบริษัทชิสโซะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ ส่งผลให้เกิด ‘โรคมินามาตะ’ ผู้ป่วยทั้งเด็กและสัตว์ป่าได้รับความเสียหายต่อสมอง มีอาการชัก กล้ามเนื้อผิดปกติ และเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก การต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมใช้เวลาหลายสิบปีกว่าการเยียวยาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจะเกิดขึ้น
มีการประมาณการกันว่า ตั้งแต่ บริษัทชิสโซะเปิดโรงงานในปี พ.ศ. 2475 ได้ทำการปล่อยสารปรอทอินทรีย์ ในปริมาณที่มากถึง 70-150 ตัน และปล่อยน้ำเสียปนสารปรอทลงสู่แหล่งน้ำ ส่งผลกระทบต่อเด็กแรกเกิดและสัตว์ป่าอย่างนก ปลา และแมว เป็นสาเหตุให้ในปี 2552 หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นตรากฎหมายพิเศษสำหรับเยี่ยวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโรคมินามาตะ มีผู้ป่วยที่ยื่นใบสมัครเพื่อรับมาตรการเยียวยามากถึง 58,000 ราย
Hajime Hosokawa นายแพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลของบริษัทชิสโซะ ได้ศึกษาพบที่มาของความผิดปกติว่าเกิดจากสารปรอทที่โรงงานปล่อยออกมาหรือไม่ และได้ทำการทดลองนำหอยที่อาศัยในบริเวณทางปล่อยน้ำเสียของบริษัทมาเป็นอาหารเลี้ยงแมว พบว่าภายใน 78 วัน แมวก็มีอาการเหมือนผู้ป่วยโรคมินามาตะ จึงอนุมานได้ว่า สารปรอทในอาหารคือต้นเหตุของอาการดังกล่าว
แม้ว่าผลตรวจสารปรอทในปลาแม่น้ำกกจะอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน และกรมประมงแนะนำให้ประชาชนบริโภคได้หากปรุงสุก แต่ความกังวลของชาวบ้านสะท้อนให้เห็นว่า ‘คำว่า กินได้’ ไม่ได้เท่ากับ ‘ปลอดภัย 100%’ การบริโภคอาหารควรเกิดจากข้อมูลที่ชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้ด้วยความมั่นใจ
บทเรียนจากมินามาตะ ประเทศญี่ปุ่น ย้ำเตือนว่าการละเลยผลสะสมของสารพิษในสิ่งแวดล้อมและอาหารอาจสร้างผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ การตรวจสอบเชิงวิทยาศาสตร์และการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาเป็นสิทธิพื้นฐานของผู้บริโภค เพื่อให้ทุกครั้งที่วางปลาในจาน เราจะรู้สึกได้ว่า ‘กินได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยจริงๆ’
ผลงานชิ้นนี้อยู่ภายใต้โครงการศึกษาวิจัยและจัดตั้งคลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อมฯ ในรายวิชา การศึกษากฎหมายสิ่งแวดล้อมเชิงคลินิก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รายการอ้างอิง
คลังความรู้ SciMath. “โรคมินามาตะ หายนะครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น”
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




