SLAPP เมื่อการปกป้องสิ่งแวดล้อมกลายเป็นคดี เสียงของนักปกป้องสิทธิท่ามกลางนิติสงครามและรัฐธรรมนูญที่ไม่คุ้มครองประชาชน

Date:

SLAPP เมื่อการปกป้องสิ่งแวดล้อมกลายเป็นคดี เสียงของนักปกป้องสิทธิท่ามกลางนิติสงครามและรัฐธรรมนูญที่ไม่คุ้มครองประชาชน

17 ธันวาคม 2568 กรีนพีซ ประเทศไทย ร่วมกับคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์สารคดี ‘SLAPP เมื่อสิทธิในการปกป้องสิ่งแวดล้อมตกเป็นเป้าหมาย พร้อมวงเสวนา เสียงนักปกป้องสิทธิทางด้านสิ่งแวดล้อม เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของนักปกป้องสิทธิ นักกฎหมาย ภาคประชาชน และเยาวชน ที่ต้องเผชิญการคุกคามผ่านกระบวนการยุติธรรม จากการลุกขึ้นปกป้องทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และสิทธิชุมชน

SLAPP เมื่อสิทธิในการปกป้องสิ่งแวดล้อมตกเป็นเป้าหมาย

สารคดี ‘SLAPP เมื่อสิทธิในการปกป้องสิ่งแวดล้อมตกเป็นเป้าหมาย’ ชักชวนให้เข้าใจกับปรากฏการณ์ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) หรือการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือปิดปากประชาชนที่ลุกขึ้นปกป้องประโยชน์สาธารณะ โดยถ่ายทอดเรื่องราวของนักปกป้องสิทธิสิ่งแวดล้อมที่ต้องเผชิญคดีความ เพียงเพราะใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็นและพูดความจริงเพื่อปกป้องทรัพยากรร่วมของสังคม

สารคดีถ่ายทอดเรื่องราวของนักปกป้องสิทธิสิ่งแวดล้อมที่ต้องเผชิญคดีความ เพียงเพราะใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็นและพูดความจริงต่อสาธารณะ พร้อมสะท้อนว่า SLAPP ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องพิจารณาคดี แต่คือแรงกดดันที่ค่อย ๆ บั่นทอนเสรีภาพ ทำให้การเรียกร้องความเป็นธรรมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความไม่แน่นอน และต้นทุนชีวิตที่ประชาชนต้องแบกรับ สารคดีตอกย้ำว่า ความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากเสียงของผู้ปกป้องสิทธิยังถูกทำให้เงียบงันด้วยกฎหมาย

‘นิติสงคราม’ กับช่องว่างของรัฐธรรมนูญในชีวิตจริง

พชร คำชำนาญ นักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมและชนเผ่าพื้นเมือง เปิดวงเสวนาด้วยการชี้ให้เห็นความท้าทายของสิ่งที่เรียกว่า ‘นิติสงคราม’  หรือการใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการควบคุมหรือสกัดกั้นเสรีภาพการเเสดงออกของประชาชน โดยอธิบายว่า แม้รัฐธรรมนูญจะระบุว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนและรับรองสิทธิ เสรีภาพในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ แต่ในทางปฏิบัติกลับมีกฎหมายลำดับรองจำนวนมากที่มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ และไม่สามารถคุ้มครองประชาชนได้จริง

พชรยกตัวอย่าง พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ที่ถูกนำมาใช้จำกัดเสรีภาพในการชุมนุม ทั้งที่รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิในการแสดงออกและการรวมตัวไว้แล้ว กฎหมายนี้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมืองและทางสังคม เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอลง ซึ่งถือเป็นนิติสงคราม

ทั้งนี้พชรยังระบุอีกว่า เครื่องมือสำคัญของประชาชนในการต่อสู้กับอำนาจรัฐมีสองทางหลัก คือ การรวมตัวเรียกร้องบนท้องถนน และการใช้สื่อสื่อสารข้อมูลและข้อเท็จจริงสู่สาธารณะ แต่หลังการรัฐประหารในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ช่องทางเหล่านี้กลับถูกปิดกั้นอย่างหนักผ่านการบังคับใช้กฎหมายลักษณะ SLAPP จากประสบการณ์ตรง กรณีการชุมนุมใหญ่ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเรียกร้องสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์ นำไปสู่การดำเนินคดีกับแกนนำรวม 7 คน หลังผู้ชุมนุมเดินทางต่อไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยไม่ได้แจ้งการชุมนุมล่วงหน้า

พชรทิ้งท้ายว่า

“เราอยากได้รัฐที่ทำให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัย ไม่ใช่รัฐที่ทุกครั้งที่เราออกไปชุมนุม ต้องเผชิญกับเจ้าหน้าที่พร้อมโล่ อาวุธปืน และรั้วลวดหนาม เราต้องการรัฐที่ทลายทุนผูกขาด เพราะนั่นคือกลไกหนึ่งที่จะทำให้ทุกคนยืนอยู่บนฐานที่เท่าเทียมกัน”

Anti-SLAPP ที่มีอยู่ แต่ยังไม่คุ้มครองจริง

สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความสิทธิมนุษยชน จากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น อธิบายว่า SLAPP ถูกใช้เป็นเครื่องมือกีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการทางการเมืองและการจัดการทรัพยากร โดยเฉพาะในบริบทโลกเสรีนิยมใหม่ที่ประชาชนพยายามลดอำนาจรัฐและเข้าถึงทรัพยากรมากขึ้น

แม้ประเทศไทยจะมีมาตรา 161/1 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเป็นกฎหมาย Anti-SLAPP ให้อำนาจศาลยกฟ้องคดีที่ฟ้องโดยไม่สุจริต แต่ในทางปฏิบัติกลับถูกนำมาใช้น้อยมาก เนื่องจากศาลต้องคำนึงถึงสิทธิและชื่อเสียงของคู่ความอีกฝ่าย ส่งผลให้คดีไม่สามารถยกฟ้องตั้งแต่ต้น และยืดเยื้อสร้างภาระให้กับชาวบ้าน

“การชุมนุมคือการแจ้ง ไม่ใช่การขออนุญาต แต่ในความเป็นจริง ประชาชนแทบไม่มีพื้นที่ให้ใช้สิทธินี้เลย”

สุมิตรชัยย้ำว่า กฎหมายกำหนดให้ประชาชน แจ้งการชุมนุมไม่ใช่ขออนุญาต เพื่อให้รัฐอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย แต่ในทางปฏิบัติกลับมีข้อจำกัดจำนวนมาก เช่น การห้ามชุมนุมในรัศมี 50 เมตรรอบทำเนียบรัฐบาล จนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้ใช้สิทธิอย่างแท้จริง

“ทางออกสำคัญคือการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ยึดเสรีภาพของประชาชนเป็นหลัก และผลักดันกฎหมาย Anti-SLAPP ที่มีประสิทธิภาพ”

ทางออกที่สุมิตรชัยเสนอ เพื่อหยุดการใช้กฎหมายคุกคามคนที่ลุกขึ้นปกป้องสิทธิของตนเอง คือ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยยึดเสรีภาพของประชาชนเป็นหลัก พร้อมย้ำว่า กฎหมาย Anti-SLAPP ที่มีประสิทธิภาพควรเกิดขึ้นในประเทศไทยได้แล้ว ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกใช้กฎหมายลักษณะนี้เป็นเรื่องปกติ เพื่อคุ้มครองประชาชนที่ลุกขึ้นปกป้องสิทธิและทรัพยากรของตนเอง

สิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ภายใต้รัฐธรรมนูญรวมศูนย์

มนูญ วงษ์มะเซาะห์ นักสื่อสารงานรณรงค์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากกรีนพีซ ประเทศไทย ชี้ว่า แม้ไทยจะเป็นภาคีกติกาสากลด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รวมถึงปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง แต่หลักการเหล่านี้ยังไม่ถูกนำมาบังคับใช้จริงในกฎหมาย โดยเฉพาะการไม่ยอมรับคำนิยาม ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ในกฎหมายชาติพันธุ์

มนูญยกตัวอย่างงานวิจัยที่ระบุว่า ชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งมีเพียงร้อยละ 5 ของประชากรโลก สามารถดูแลความหลากหลายทางชีวภาพได้มากกว่าร้อยละ 80 แต่ประเทศไทยกลับเดินหน้านโยบายทวงคืนผืนป่า ผลักผู้ดูแลทรัพยากรออกจากพื้นที่

ขณะที่ รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งรวมศูนย์กลางอำนาจไว้กับรัฐ ทำให้สิทธิของประชาชนกลายเป็นเรื่องที่รัฐจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ แม้กระทั่งสิทธิในการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่ดีก็ถูกตัดออก เเละถูกแทนที่ด้วยโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ที่เข้ามาคุกคามทรัพยากรเเละสิทธิชุมชนแทน

ขณะที่ในเวทีสิ่งแวดล้อมระดับโลก อำนาจการต่อรองมักอยู่กับกลุ่มทุน มากกว่าภาคประชาชนหรือชนเผ่าพื้นเมือง และหลายครั้งกลายเป็นพื้นที่ฟอกเขียวมากกว่าการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

“เวลานี้คนที่วิกฤตสุดๆ คือภาคประชาชน ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาที่ดินทำกิน สิทธิชุมชน และทรัพยากรที่กำลังถูกคน 1% โฉบฉวยโอกาสและผลกำไรไปจากพวกเขา”

มนูญเสนอว่า อยากให้มีการผสานความร่วมมือทั้งฝั่งภาคประชาชนเเละภาคธุรกิจ เพื่อส่งเสริมทั้งด้านเศรษฐกิจเเละสิทธิชุมชนไปพร้อมกัน

เสียงของนักปกป้องสิทธิ ที่ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง

จรัสศรี จันทร์อ้าย จากสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ สะท้อนความท้าทายของภาคประชาชนภายใต้โครงสร้างความเหลื่อมล้ำ ที่ทำให้ชุมชนจำนวนมากรู้สึกว่าต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ทั้งที่ปัญหาที่ดินและป่าไม้มีรากเหง้ามาจากกฎหมายและนโยบายของรัฐ

เธอชี้ว่า ป่าที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันจำนวนมากเกิดจากการดูแลรักษาของชุมชน แต่สิทธิในการจัดการกลับถูกรวมศูนย์ไว้ที่รัฐ ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และกฎหมายป่าไม้หลายฉบับ ชาวบ้านจึงถูกมองว่าเป็นผู้ทำลายป่า และกลายเป็นเป้าของการบังคับใช้กฎหมาย

ในประเด็นฝุ่น PM2.5 จรัสศรีสะท้อนว่า “พอพูดเรื่อง PM2.5 เราก็เจอปัญหาไม่ต่างจากคนที่อยู่ในเมือง คนในเมืองเจอปัญหาเรื่องอากาศหายใจ แต่เราเจอมากกว่า เพราะนอกจากอากาศหายใจ เรายังใช้น้ำประปาภูเขา ซึ่งต้องพึ่งพาความอุดมสมบูรณ์ของป่า”

เธอเรียกร้องให้รัฐนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นธรรม และไม่เหมารวมว่าปัญหาฝุ่นเกิดจากการเผาของเกษตรกร พร้อมตั้งคำถามว่า

“หากประชาชนไม่สามารถส่งเสียงถึงปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ แล้วจะหาทางออกได้อย่างไร ในเมื่อแนวทางแก้ไขถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจเพียงฝ่ายเดียว”

ขณะที่ พรชิตา ฟ้าประทานไพร เยาวชนผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ได้ถ่ายทอดประสบการณ์การคัดค้านโครงการเหมืองถ่านหินบ้านกระเบอะดิน อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ โดยชี้ว่าชุมชนไม่เคยได้รับข้อมูลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการ และเมื่อออกมาคัดค้านกลับต้องเผชิญกับการดำเนินคดี จนเกิดบรรยากาศความหวาดกลัวในพื้นที่

เธอเล่าว่า ในปี 2562 มีการปิดประกาศรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการขุดถ่านหินในพื้นที่กว่า 284 ไร่ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากกังวลผลกระทบต่อที่ดินทำกิน สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ในปีเดียวกันนั้น นักศึกษาที่ลงพื้นที่ทำข่าวและศึกษาการต่อสู้ของชุมชนถูกดำเนินคดีจากการอ้างชื่อบริษัทจำนวน 4 คน แม้ท้ายที่สุดจะไม่มีการส่งฟ้อง แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างบรรยากาศความหวาดกลัวให้กับคนในพื้นที่

ต่อมา ชาวบ้านในอำเภออมก๋อยได้รวมตัวเดินขบวนคัดค้านโครงการเหมืองแร่กระเบอะดิน แต่ผู้ที่ขึ้นอ่านแถลงการณ์ถูกดำเนินคดี 2 คน ส่งผลให้ชาวบ้านบางส่วนที่รู้สึกไม่ปลอดภัยตัดสินใจถอนตัวออกจากการเคลื่อนไหว ขณะเดียวกัน นักวิชาการที่เข้ามาศึกษาพื้นที่ก็ถูกดำเนินคดีเช่นกัน

การต่อสู้ดังกล่าวทำให้ชุมชนต้องปรับกลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกดำเนินคดี ทั้งการหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อบริษัท และการประเมินความเสี่ยงร่วมกันทุกครั้งก่อนออกมาส่งเสียง พรชิตาตั้งคำถามว่า

“ในเมื่อชุมชนคือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง เราต้องลุกขึ้นมาต่อสู้และเสียเวลาทำมาหากินเพื่อปกป้องหมู่บ้านของตัวเอง แต่กลับต้องตั้งคำถามว่า ทำไมเราจึงไม่สามารถพูดถึงผู้ก่อผลกระทบได้อย่างตรงไปตรงมา ทำไมอีกฝ่ายจึงมีอำนาจและสิทธิทางกฎหมายมากกว่าชุมชน”

พรชิตามองว่า การไม่มีกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิอย่างแท้จริง คือความท้าทายสำคัญของการเคลื่อนไหวภาคประชาชน พร้อมทิ้งท้ายว่า หากมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ควรเป็นรัฐธรรมนูญที่รับฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริง และให้ความสำคัญกับสิทธิของชุมชนในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด

“การไม่มีกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิ คือความเสี่ยงที่ทุกการเคลื่อนไหวต้องแบกรับ”

เสวนาครั้งนี้สะท้อนว่า SLAPP ไม่ได้เป็นเพียงคดีความในชั้นศาล แต่คือโครงสร้างของความหวาดกลัว ที่ทำให้ประชาชนต้องคิดซ้ำก่อนจะใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง การฟ้องร้อง การคุกคาม และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ ได้ทำให้การปกป้องทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิต กลายเป็นภาระที่ต้องแลกมาด้วยเวลา เสรีภาพ และความมั่นคงในชีวิต

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า ใคร ถูกฟ้อง แต่คือ สังคมจะยอมให้ SLAPP กลายเป็นเครื่องมือปิดปากประชาชนต่อไปหรือไม่ และรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าเป็นของประชาชน จะยังปล่อยให้เสียงของผู้ปกป้องสิทธิถูกทำให้เงียบงันภายใต้นิติสงครามนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน?

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

เครือข่ายแรงงานภาคเหนือยื่นหนังสือถึง ‘พรรคประชาชน’ สาขาเชียงใหม่ คัดค้านส่งอดีตผู้บริหารแพลตฟอร์มลงบัญชีรายชื่อ เรียกร้องคุ้มครองไรเดอร์ใต้กฎหมายแรงงาน

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ตัวแทนเครือข่ายแรงงานภาคเหนือในนาม ‘เครือข่ายไรเดอร์และคนทำงานแพลตฟอร์ม’ ยื่นหนังสือต่อสำนักงานพรรคประชาชน สาขาเชียงใหม่ เพื่อคัดค้านการส่ง...

เลือกตั้ง อบต. 69: เจาะภารกิจ – ส่องงบ 17 จังหวัดเหนือ  บนเส้นทางกระจายอำนาจที่ประชาชนกำหนดได้เอง

นับถอยหลังเลือกตั้งท้องถิ่นหลังครบวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล และนายกองค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีกำหนดเลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม 2569 ที่กำลังจะมาถึงนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการลงคะแนนเสียง...

แรงงานภาคเหนือจัดงานวันย้ายถิ่นสากล เสนอเปลี่ยน ‘แรงงานชั่วคราว’ เป็น ‘ส่วนหนึ่งของสังคม’

เครือข่ายแรงงานภาคเหนือจัดกิจกรรมเนื่องในวันย้ายถิ่นสากล เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2568 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อชวนสังคมมองแรงงานข้ามชาติในฐานะคน ที่มีศักดิ์ศรีและสิทธิเท่าเทียม...

น้ำสาละวินปนเปื้อนพิษ ชุมชน–นักวิชาการ–ภาคประชาชน จี้รัฐเปิดข้อมูล–คุ้มครองสุขภาพคนพื้นที่ ก่อนชีวิตพัง

22 ธันวาคม 2568 ที่ห้องประชุมสาละวิน องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สามแลบ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สมาคมฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำสาละวิน จัดกิจกรรมลงพื้นที่แม่น้ำสาละวิน...