เรื่อง: กุลธิดา กระจ่างกุล
ท่ามกลางรอยแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศ ไปจนถึงเส้นแบ่งสถานะทางสังคม ‘การศึกษา’ ถูกยกให้เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างความเสมอภาคแก่ผู้คน แต่สำหรับเด็กข้ามชาติและเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทย การศึกษาอาจ ‘เปิดประตูให้เข้าเรียน’ ทว่า ‘ยังไม่เปิดทางให้มีอนาคต’
ข้อมูลขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ระบุว่า มีผู้อพยพชาวเมียนมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยราว 4,100,000 คน โดยประมาณ 10% เป็นเด็กที่ติดตามผู้ปกครองมา เท่ากับว่า มีเด็กที่ต้องการเข้าถึงบริการทางการศึกษาประมาณ 300,000–400,000 คนในประเทศไทย
นโยบาย ‘เรียนฟรี 15 ปี’ และหลักการ Education for All (การศึกษาเพื่อปวงชน) ยืนยันว่า ‘มนุษย์ทุกคนต้องได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม’ แต่ในความเป็นจริง เด็กจำนวนมากยังติดเพดานที่มองไม่เห็น เพียงเพราะ ‘ไม่มีเลขบัตรประชาชน 13 หลัก’ เพดานนั้นหมายถึงข้อจำกัดด้านสถานะทางกฎหมาย การถูกเลือกปฏิบัติ และเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ที่ผลักให้ความฝันในวัยเยาว์ถูกจำกัดอยู่แค่ ‘สิ่งที่คนไทยทำได้’
“หนูอยากเป็นพยาบาล อยากช่วยผู้คนเวลาเจ็บป่วย แต่เคยไปถามคุณครูและที่โรงพยาบาล เขาบอกว่าคนที่จะเป็นพยาบาลได้ต้องมีบัตรประชาชน 13 หลัก ส่วนคนที่ถือบัตร 10 ปีอย่างหนู จะเป็นได้แค่ผู้ช่วยพยาบาลเท่านั้น เพราะหนูไม่ใช่คนไทย”
มะลิ–อิกะดิเมียเมีย อายุ 17 ปี ตอบคำถามด้วยภาษาไทยที่ฉะฉาน เธอเกิดและเติบโตในประเทศไทย แต่ความฝันกลับเดินชนกำแพงสัญชาติตั้งแต่ยังไม่ถึงเส้นเริ่มต้น
เมื่อตัวเลขกำหนดชีวิต
หากมองลึกลงไป ชีวิตของเด็กจำนวนมากในประเทศไทยถูกผูกไว้กับ ‘ชุดตัวเลข’ ที่มีพลังไม่เท่ากัน ตัวเลขเหล่านี้ทำหน้าที่คัดกรองว่า ใครควรถูกนับ ใครควรถูกมองเห็น และใครควรถูกทิ้งไว้ชายขอบ เด็กข้ามชาติ คือเด็กที่อพยพย้ายถิ่นตามพ่อแม่จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาอยู่ในประเทศไทย พวกเขามีรัฐเจ้าของสัญชาติ มีบ้านเกิดชัดเจน แต่จะมีหรือไม่มีเอกสารแสดงตน ขึ้นอยู่กับสถานะการเข้าเมืองของครอบครัว
ขณะที่ เด็กไร้รัฐไร้สัญชาติ ซับซ้อนกว่า เด็กจำนวนมากเกิดในประเทศไทย จากครอบครัวชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธุ์ หรือแรงงานข้ามชาติ แต่รัฐไทยยังไม่รับรองสถานะบุคคล จึงไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์ (ไร้รัฐ) และไม่ถือสัญชาติใดเลย (ไร้สัญชาติ) กลายเป็นคนที่ไม่มีรัฐใดในโลกยอมรับอย่างเป็นทางการ
รายงาน Access to Education for Stateless Persons in Thailand ประมาณการว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติที่ ‘ปรากฏในระบบ’ อย่างน้อย 259,000 คน แต่ตัวเลขนี้เป็นเพียงยอดที่รัฐมองเห็น-เพราะเด็กเหล่านี้ถูกแยกประเภทผ่าน ‘รหัส’ ที่ต่างกัน
- เลข 0-00 กลุ่มบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน ราว 87,291 คน หลายคนเกิดในไทยช่วงปี 2544–2564 แจ้งเกิดและมีเลขประจำตัวแล้ว แต่ยังไม่ถูกรับรองสัญชาติไทยอย่างเป็นทางการ
- เลข 7 บุตรชนกลุ่มน้อย/ครอบครัวข้ามชาติที่รัฐจัดสถานะเป็น “คนต่างด้าว” มีบัตร 13 หลักขึ้นต้นด้วย 7 ราว 36,943 คน แม้รัฐรับรู้ตัวตน แต่อิสรภาพการเดินทางและโอกาสอาชีพยังถูกจำกัด
- รหัส G มากกว่า 130,000 คน เป็นรหัสชั่วคราวที่กระทรวงศึกษาธิการออกให้ เพื่อให้เด็กเข้าเรียน และให้โรงเรียนเบิกงบรายหัวได้ รหัสนี้มีพลังใน ‘รั้วโรงเรียน’ แต่ไม่สามารถใช้ยืนยันตัวตนกับมหาดไทยได้
และนี่คือ ‘ขั้นต่ำของความจริง’ เพราะยังมีเด็กอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะบุตรแรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้รับการแจ้งเกิดและไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา
งานศึกษาบางชิ้นประเมินว่าอาจมีมากถึง 200,000 คน และกว่าครึ่งหลุดหายจากฐานข้อมูลของรัฐอย่างสิ้นเชิง
โรงเรียนเปิดประตู แต่ระบบปิดทาง การศึกษาเด็กข้ามชาติในแม่สอดหลังรัฐประหารเมียนมา
“เราเชื่อมั่นว่า การศึกษาจะช่วยให้เด็กมีทางเลือกในอนาคต หากไม่ได้รับการศึกษา เด็กมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเหยื่อของปัญหาสังคม เช่น อาชญากรรม การค้ามนุษย์ แรงงานเด็ก”

แอน-ศิราพร แก้วสมบัติ ผู้อำนวยการมูลนิธิช่วยไร้พรมแดน (Help Without Frontiers) อธิบายว่า การศึกษาไม่ใช่แค่ความรู้ แต่คือ ‘กลไกป้องกันความเสี่ยง’ และ ‘ใบเบิกทางของโอกาส’ สำหรับเด็กข้ามชาติและเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติ
ปัจจุบันเส้นทางการศึกษาหลักของเด็กกลุ่มนี้มี 2 รูปแบบใหญ่ๆ ซึ่งต่างมีเงื่อนไขและทางตันของตัวเอง
1) โรงเรียนรัฐบาลไทย: ได้ “วุฒิไทย” แต่เข้าเรียนด้วย “ที่ว่าง” ภายใต้นโยบายการศึกษาเพื่อปวงชน เด็กทุกคนสามารถเข้าเรียนได้ แม้ไม่มีเอกสารหรือเลข 13 หลัก ในพื้นที่ชายแดนตากฝั่งตะวันตก 5 อำเภอ มีโรงเรียนรัฐบาล 122 โรงเรียน มีเด็กข้ามชาติ 20,208 คน จากนักเรียนทั้งหมด 55,485 คน โดยในทางปฏิบัติ เด็กข้ามชาติมักได้เข้าเรียนเมื่อโรงเรียนมี “โควต้าเหลือ” จากเด็กสัญชาติไทย
“ในอดีต ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ปกครองว่าเขาพอใจอยู่ในไทยหรือไม่ ทำงานถูกกฎหมาย มีใบอนุญาตทำงานหรือไม่ พ่อแม่กลุ่มนี้ก็อยากให้ลูกเรียนระบบไทย” ศิราพรกล่าว
ข้อดี เด็กได้วุฒิที่รัฐไทยรับรอง สามารถเรียนต่อสายอาชีพหรืออุดมศึกษาได้อย่างเป็นทางการ
ข้อจำกัด ที่นั่งไม่เท่ากัน หากโรงเรียนใดนักเรียนไทยเต็ม เด็กข้ามชาติเสียโอกาสทันที ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายแฝง แม้เรียนฟรี แต่ยังมีค่าชุด ค่ากิจกรรม ค่าเดินทาง ซึ่งหนักสำหรับครอบครัวแรงงานข้ามชาติและครอบครัวเปราะบาง จนอาจหลุดจากระบบ
ปลายทาง วุฒิไทยทำให้การทำงานง่ายขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่สื่อสารได้หลายภาษา เหมาะกับตลาดแรงงานสายช่าง เทคนิค โลจิสติกส์ โรงแรม อาหาร บัญชี ฯลฯ อีกทั้งการเข้าโรงเรียนรัฐยังทำให้เด็กมี รหัสประจำตัวผู้เรียน (รหัส G) ซึ่งอย่างน้อยทำให้รัฐ ‘รับรู้การมีอยู่’ ของเด็กอย่างเป็นทางการ และอาจเป็นฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาสถานะในอนาคต
2) ศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ (MLC): เรียนได้ ‘ยืดหยุ่น’ แต่ ‘วุฒิไม่รับรอง’
ศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ หรือที่เยาวชนเรียกว่า ‘โรงเรียนพม่า’ เป็นทางเลือกของเด็กที่เข้าโรงเรียนรัฐไม่ได้ เพราะอุปสรรคภาษา การขาดเอกสาร หรือความตั้งใจกลับเมียนมาในอนาคต จังหวัดตากมี MLC มากที่สุดในประเทศ 62 แห่ง มีนักเรียนประมาณ 18,000 คน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ สงคราม และการเกณฑ์ทหารในเมียนมา
ข้อดี
- เด็กยังได้เรียน ไม่ขาดช่วง และสามารถกลับไปต่อระบบเมียนมาได้ (เมื่อการข้ามพรมแดนยังเป็นไปได้)
- ยืดหยุ่นเรื่องเวลา ใช้ภาษาพม่าเป็นหลัก เรียนตามหลักสูตรเมียนมา ครูเป็นชาวเมียนมา
ข้อจำกัด
- วุฒิจาก MLC ไม่ได้รับการรับรองในระบบการศึกษา/การจ้างงานของรัฐไทย
- เด็กจำนวนมากขาดทักษะภาษาไทยระดับใช้งานจริง
- ศูนย์ไม่ได้รับงบรัฐ ต้องพึ่งเงินบริจาค ทำให้คุณภาพการเรียน ความมั่นคงครู และความต่อเนื่องระยะยาว “ไม่แน่นอน”
ปลายทาง ก่อนรัฐประหาร ระบบสองทางนี้ยังพอสมดุล-เด็กสาย MLC กลับไปเรียนต่อ/ทำงานที่เมียนมาได้ เด็กที่อยู่ไทยก็เดินต่อในระบบไทยได้
แต่หลังรัฐประหาร ภาพเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง

“ตอนนี้ระบบการศึกษาในเมียนมาล่มสลาย เด็กเหล่านี้ค้างอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาโตแล้วจะทำอะไรต่อก็ยาก ถ้าเราไม่ให้ภาษาไทยเพียงพอ เขาจะติดอยู่ตรงกลาง กลับพม่าก็ไม่ได้ อยู่ที่นี่ภาษาไทยก็ไม่ได้”
รหัส G พาเด็กเข้าห้องเรียน แต่ยังไม่พาไปถึงสิทธิ
“จริง ๆ แล้วนโยบายรหัส G ดีมาก แต่ในทางปฏิบัติกลับล่าช้า มีเด็กบางส่วนเรียนจะจบแล้วเลข 13 หลักก็ยังไม่ได้ ทำให้ไปเรียนต่อระดับสูงขึ้นไม่ได้”
ศิราพรเล่าว่า อีกภารกิจสำคัญของมูลนิธิคือช่วยให้เด็กมี ‘สถานะตัวตนทางกฎหมาย’ เพราะเมื่อโตและเข้าสู่ตลาดแรงงาน การไม่มีเอกสารคือการไม่มีหลักประกันใดๆ
“การหางานมันยากมาก ผมเคยไปสมัครงานพาร์ทไทม์ตอนอายุ 15 ซึ่งจริง ๆ ทำได้ตามกฎหมาย แต่ถูกปฏิเสธเพราะมีแค่ ‘บัตร 10 ปี’ คนไม่ค่อยรู้จักบัตรนี้” แคน–สามารถ อายุ 17 ปี เล่า
ดร.พิสิษฏ์ นาสี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายว่า รหัส G คือการยอมรับเบื้องต้นว่าเด็ก ‘มีตัวตนอยู่จริงในแผ่นดินไทย’ แต่หัวใจคือ รัฐต้องเชื่อมฐานข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อขยับจาก ‘ตัวตนชั่วคราว’ ไปสู่เลข 13 หลัก (เช่น เลข 0 หรือ 7) ซึ่งเป็นสะพานต่อไปสู่กระบวนการพัฒนาสถานะและสัญชาติในอนาคต

“เราต้องทำให้เด็กหลุดพ้นจากสภาวะตัวตนชั่วคราว… เพื่อไม่ให้เขาหวาดกลัวว่าเรียนจบแล้วจะกลายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านที่เขาเติบโตมา”
เมื่อความฝันหลุดลอย เพราะเงื่อนไขสัญชาติ

ซัน-อาทิตย์ แผ่บุญ อดีตบุคคลไร้สัญชาติที่ข้ามมาอยู่ไทยตั้งแต่ปี 2538 ในวัยเพียง 5 ขวบ เล่าว่า ครอบครัวหนีภัยสงครามจากเชียงตุง เขาเข้าโรงเรียนช้ากว่าเกณฑ์ 3–4 ปี เพราะยุคนั้นนโยบาย Education for All ยังไม่ถูกปฏิบัติอย่างแพร่หลาย การเข้าเรียนต้องอาศัยการรับรองจากกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน
อุปสรรคด่านแรกคือ ‘ภาษา’ ก่อนจะเจอกำแพงใหญ่กว่าในวันที่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย-กำแพงชื่อ ‘สัญชาติ’
เขาเรียนดีจนสอบติดทุนประจำจังหวัดได้ แต่เงื่อนไขกำหนดชัดว่า ‘ต้องมีสัญชาติไทย’ ทำให้พลาดโอกาส และความฝันอยากเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็พังลง เพราะข้อกำหนดผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทย เพื่อนอีกจำนวนมากเลือกหยุดฝันและออกไปทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยแรงกดดันเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่ายหลัง ม.3 ที่เพิ่มขึ้น และความรู้สึกว่า ‘เรียนไปก็ยังติดบัตร ติดสัญชาติอยู่ดี’ วงจรแรงงานราคาถูกจึงถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
“ถ้าเราไม่มีการศึกษา เราก็ไม่มีโอกาสทำงานที่อยากทำ และมักได้ค่าแรงต่ำมาก… แต่ถ้ามีวุฒิ ค่าแรงขั้นต่ำก็จะอยู่ที่ราว 300–350 บาทต่อวัน” แอน แค้โปโปอ่อง อายุ 20 ปี กล่าว

5 ข้อเสนอ เปลี่ยน ‘ความเมตตา’ ให้เป็น ‘กลไกยั่งยืน’
จากบทเรียนชีวิตของเด็กจำนวนมาก สู่ทางออกเชิงระบบที่ทำให้ การเรียนไม่ใช่ปลายทาง แต่เป็นเส้นทางไปต่อได้จริง
- เชื่อมฐานข้อมูลรหัส G สู่มหาดไทย
ให้เด็กมีตัวตนในระบบราชการตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน ลดภาระพิสูจน์สิทธิซ้ำซ้อน - โรงเรียนเป็น One-Stop Service ด้านเอกสาร
ยกระดับสถานศึกษาให้รับรองสถานะเด็กเบื้องต้นได้จริง เพื่อใช้ขออนุญาตเดินทางเพื่อการศึกษา/สอบแข่งขัน ลดต้นทุนเดินทางและเวลา - สนับสนุนภาษาไทยใน MLC และกลไกเทียบโอนวุฒิ
สนับสนุนงบครูภาษาไทย และทำระบบเทียบโอนยืดหยุ่น เพื่อไม่ให้เด็กต้อง “เริ่มใหม่จากศูนย์” - ปลดล็อกทุนการศึกษาและสายอาชีพ
ขยายสิทธิทุน (เช่น กยศ. หรือทุนสายอาชีพ) ให้ครอบคลุมเด็กไร้สัญชาติ สร้างแรงจูงใจสู่ตลาดแรงงานฝีมือ - เสรีภาพการเดินทางเพื่อพัฒนาตนเอง
ให้นักเรียนที่มีหนังสือรับรองจากสถาบันการศึกษาเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อสอบ ฝึกงาน หรือทัศนศึกษาได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง
ศิราพรย้ำว่า การลงทุนด้านการศึกษาต้องมองไกลกว่าการเมืองระยะสั้น เพราะหากเด็กถูกกันออกจากระบบ ความเสี่ยงทางสังคมจะยิ่งสูงขึ้น และต้นทุนแก้ปัญหาภายหลัง ‘แพงกว่า’ การลงทุนตั้งแต่ต้น
เธอยกตัวอย่างว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเพื่อให้เด็กหนึ่งคนเข้าถึงการศึกษาอยู่ราว 20,000–30,000 บาทต่อปี ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเสียหายทางสังคมที่อาจเกิดขึ้น หากเด็กต้องหลุดไปอยู่ในความเสี่ยงของอาชญากรรม การค้ามนุษย์ และแรงงานเด็ก
เพราะในท้ายที่สุด เด็กหนึ่งคนไม่ใช่อนาคตของครอบครัวเดียว แต่คืออนาคตของหลายสังคมที่อยู่ร่วมกันบนแผ่นดินเดียวกัน
รายงานนี้ได้รับการสนับสนุนโดย กองบรรณาธิการ “โครงการห้องทดลองพัฒนาระบบนิเวศเครือข่ายการสื่อสารสาธารณะเพื่อสันติภาพ”
Lanner, Louder, The Isaan Record, The Motive, Sound Isan, Wartani, ประชาไท, สำนักข่าวชายขอบ,ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
