จากคะฉิ่นถึงไทย บทเรียนเหมืองแรร์เอิร์ธและผลกระทบข้ามแดนในภูมิภาค

เรื่อง: The Mekong Butterfly

ภาพ: Zung Ting, Seng Li, ธารา บัวคำศรี, Myanmar Now

25 สิงหาคม 2568 เครือข่ายภาคประชาสังคมและนักวิชาการจากหลายองค์กร เช่น ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติเชียงราย ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้พัฒนาถิ่นเชียงใหม่ คลินิกกฎหมายคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง และเพจเชียงรายสนทนา ร่วมจัดเวที ‘จากคะฉิ่นถึงไทย: เหมืองแร่แรร์เอิร์ธกับผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม’ ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย เพื่อถอดบทเรียนผลกระทบจากเหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมาและลาว ตลอดจนเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

Greater Suffering Subregion ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการเมืองจากเหมืองแรร์เอิร์ธ

ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ระบุว่า การปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง เป็นปัญหาซับซ้อนเชื่อมชายแดนไทย–เมียนมา ส่งผลกระทบข้ามประเทศ และสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมถึงปัญหาโลกร้อนจากการใช้แรร์เอิร์ธในพลังงานทดแทน เขาชี้ว่า ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะเชียงรายหรือเมียนมา แต่ครอบคลุมทั้งอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS)

ข้อมูลจากแผนที่ Stimson Center แสดงการกระจายของเหมืองแรร์เอิร์ธในอิรวดี สาละวิน และโขง รวมถึงลาว เวียดนาม และกัมพูชา โดยเฉพาะเมืองป๊อก รัฐฉาน ที่มีแม่น้ำสาขาไหลลงสู่สาละวินและโขง แต่ยังขาดการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ฝั่งลาวตรงข้ามเชียงคานก็ยังไม่มีข้อมูลปนเปื้อน

เหมืองในรัฐฉาน เช่น เมืองเลน ใกล้ท่าขี้เหล็ก 40 กิโลเมตร และเหมืองทองคำที่ไหลลงแม่น้ำสายและโขงโดยตรง รวมถึงเหมืองแรร์เอิร์ธเมืองป๊อก ล้วนก่อความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ลาวก็มีเหมืองแรร์เอิร์ธที่หลวงพระบางและฝั่งตรงข้ามหนองคาย–บึงกาฬ ซึ่งอาจกระทบแม่น้ำโขง แต่ยังขาดการตรวจสอบที่ครอบคลุม สืบสกุลเตือนว่า ลุ่มน้ำโขงกำลังกลายเป็น “Greater Mining Suffering” เพราะผลกระทบจากเหมืองขยายจากเมียนมาและไทยไปถึงลาว เวียดนาม และกัมพูชา

แม้ก่อนหน้านี้ภาคประชาชนเคยยื่นหนังสือเรียกร้องให้ปิดเหมืองและฟื้นฟูลุ่มน้ำตั้งแต่ 5 มิถุนายน 2568 แต่ยังไม่มีแผนงานรูปธรรม การนำเข้าแร่จากเมียนมาผ่านด่านแม่สายยังขาดการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) พบการปนเปื้อนโลหะหนักฝั่งตรงข้ามเชียงราย แต่ยังไม่มีการเก็บข้อมูลครอบคลุม โดยเฉพาะบริเวณหลวงพระบาง

คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เคยตรวจพบโลหะหนักในแม่น้ำโขงฝั่งตรงข้ามเชียงราย แต่ข้อมูลยังไม่ครอบคลุมทั้งลำน้ำ โดยเฉพาะหลวงพระบางที่ผลตรวจไม่พบการปนเปื้อน ขณะเดียวกัน การเจรจาในรัฐฉานซับซ้อน เนื่องจากกองกำลังว้าที่ควบคุมพื้นที่และได้รับผลประโยชน์จากแรร์เอิร์ธ ถูกจีนกดดันให้ลดความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเพื่อยุติการสู้รบ ขณะที่จีนในฐานะผู้ส่งออกแรร์เอิร์ธรายใหญ่ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อมลพิษได้

กระทรวงการต่างประเทศไทยได้นำประเด็นมลพิษจากเหมืองเข้าสู่การหารืออย่างไม่เป็นทางการภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขง (LMC) ที่ยูนนาน และจะมีการหารืออย่างเป็นทางการปลายปีนี้ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เองก็เริ่มเข้าไปเจรจาในรัฐคะฉิ่นเพื่อหาช่องทางลงทุนในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธ สะท้อนการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ

แม้รัฐคะฉิ่นอยู่ห่างจากเชียงราย แต่เหมืองแร่สามารถส่งผลกระทบต่อแม่น้ำอิรวดี สาละวิน และแม่น้ำกกในไทย การแก้ปัญหาจึงต้องอาศัยทั้งกฎหมายไทย ความร่วมมือระหว่างประเทศ การตรวจวัดคุณภาพน้ำและตะกอน การจัดหาน้ำสะอาด การเฝ้าระวังสุขภาพ และการมีส่วนร่วมของประชาชนและความรู้ท้องถิ่นเพื่อการแก้ไขอย่างยั่งยืน

แรร์เอิร์ธคะฉิ่น ทรัพยากรที่แลกด้วยสิ่งแวดล้อมและชีวิต

Zung Ting นักสิ่งแวดล้อมจากรัฐคะฉิ่น ผู้ทำงานปกป้องทรัพยากรธรรมชาติกว่า 20 ปี ระบุว่า รัฐคะฉิ่น ตั้งอยู่ระหว่างจีนและอินเดีย เป็นพื้นที่หลากหลายชาติพันธุ์ ทั้งคะฉิ่น ฉาน ลีซอ และจีน รวม 8 กลุ่ม และอุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะแร่แรร์เอิร์ธ การทำเหมืองเริ่มตั้งแต่ปี 2008–2009 โดยกลุ่ม New Democratic Army Kachin (NDAK) ร่วมกับบริษัทจีน ซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นยูเรเนียม หลังการเซ็นสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลเมียนมา NDAK ได้ขยายกิจการเหมือง ขณะที่ Border Guard Force (BGF) เข้ามาดูแลพื้นที่ การขุดเจาะแรร์เอิร์ธในเมืองชิปวีรุนแรงขึ้นเมื่อจีนห้ามทำเหมืองภายในประเทศ จึงย้ายฐานมาที่คะฉิ่น โดยเฉพาะ heavy rare-earth elements (HREEs) ที่หายาก

หลังรัฐประหารเมียนมา ปี 2564 การขุดเจาะแรร์เอิร์ธทวีความรุนแรง คะฉิ่นกลายเป็นแหล่งผลิตหลักของประเทศ มีเหมืองใหญ่ 370 แห่ง และเหมืองย่อยกว่า 2,700 แห่งในเมืองชิปวีและโม ควบคุมโดยกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) ซึ่งเก็บภาษีและดูแลพื้นที่ส่วนใหญ่ รายได้จากเหมืองช่วยสนับสนุนการสู้รบ และส่วนใหญ่ดำเนินการโดยบริษัทจีน

แรร์เอิร์ธ โดยเฉพาะ HREEs มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอาวุธยุทโธปกรณ์ จีนควบคุมการผลิตกว่า 80% ส่งผลให้สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นพยายามลดการพึ่งพาและเข้าพื้นที่คะฉิ่นเพื่อแสวงหาโอกาส การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวยิ่งเพิ่มความต้องการแรร์เอิร์ธทั่วโลก

Zung Ting ระบุว่า การทำเหมืองแรร์เอิร์ธในคะฉิ่นทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ดินถล่ม และภูเขาเป็นโพรงจากการเจาะ ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารและน้ำ แม้แต่น้ำผึ้งก็ปนเปื้อนสารเคมีจนใช้ไม่ได้ คะฉิ่นเป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำอิรวดีและสาละวิน ซึ่งอาจส่งผลถึงแม่น้ำกกและแม่ฮ่องสอน ชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะผู้นำคริสตจักร ออกมาต่อต้านเหมืองแร่และการปลูกฝิ่นที่มากับนักลงทุนจีน NDAK มีส่วนในปัญหายาเสพติด แต่ชุมชนและคริสตจักรจัดตั้งขบวนการต่อต้านยาเสพติด ตัดต้นฝิ่นทิ้ง สร้างความขัดแย้งกับกลุ่มติดอาวุธ

การขาดธรรมาภิบาลในการทำเหมืองหลังรัฐประหาร 2564 ทำให้ควบคุมผลกระทบไม่ได้ ชาวคะฉิ่นเผชิญความขัดแย้งด้านทรัพยากร KIA และ NDAK สู้รบเพื่อควบคุมพื้นที่เหมือง ส่งผลให้สถานการณ์เลวร้ายลง

ดินถล่ม น้ำพิษ แรงงานไร้เสียง ราคาที่คะฉิ่นต้องแลกกับพลังงานสีเขียว

Seng Li นักวิจัยชาวคะฉิ่นจาก Shaba Foundation เปิดเผยว่า การทำเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นมีมานาน แต่ระหว่างปี 2022–2024 การขุดเจาะเพิ่มขึ้นราว 40% ปัจจุบันองค์กรอิสรภาพคะฉิ่น (KIO/KIA) ควบคุมพื้นที่เกือบทั้งหมด อีกทั้งในเมืองชิปวีและโม ยังมีเหมืองใหญ่ 370 แห่ง และเหมืองย่อยกว่า 5,000 แห่ง สร้างมูลค่าส่งออกกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 8 ปี โดยนักลงทุนหลักมาจากจีน

เหมืองในคะฉิ่นใช้เทคนิค In-Situ Leaching ส่งผลให้ดินและน้ำเสียหาย เกิดน้ำท่วม ดินถล่ม ภูเขาเป็นโพรง ชาวบ้านเผชิญปัญหาความมั่นคงทางอาหารและน้ำ รวมถึงโรคผิวหนัง อาชีพจากเครื่องเทศลดลง และผู้หญิงเสี่ยงถูกละเมิดทางเพศ

แรร์เอิร์ธโดยเฉพาะเทอร์เบียมและดิสโปรเซียม ใช้ผลิตแม่เหล็กสำหรับกังหันลม รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมทหาร คะฉิ่นส่งออกร้อยละ 57 ของแร่ทั้งสองชนิดของโลก ผ่านจีน หนึ่งในห้าส่งไปเยอรมนี การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวเพิ่มความต้องการ ขณะที่จีนควบคุมการผลิตร้อยละ 80 ทำให้สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นพยายามลดการพึ่งพา

จากการลงพื้นที่ ทีมวิจัยของ Seng Li พบว่า KIO ขาดธรรมาภิบาล คนงานไม่ทราบเจ้าของเหมืองหรือปลายทางแร่ การร้องเรียนมักถูกละเลย นักลงทุนจีนไม่ฟื้นฟูพื้นที่หลังขุดเจาะ แต่ KIO อนุญาตให้ NGO และนักวิชาการเข้าถึง แตกต่างจาก BGF ที่จำกัดการเข้าถึง

ชุมชนคะฉิ่นมีทั้งผู้ต่อต้านและยอมรับเหมือง เช่น เมืองบาโมต่อต้านเพราะสัญญาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่เกิดขึ้น ขณะที่บางกลุ่มมองเหมืองเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนการศึกษาของลูกหลาน

Seng Li เสนอว่าองค์กรระหว่างประเทศและรัฐบาลควรยอมรับบทบาทของกองกำลังชาติพันธุ์ เช่น KIA/KIO ในการบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม บริษัทนานาชาติที่ซื้อแรร์เอิร์ธต้องตรวจสอบต้นทางให้เป็นไปตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสนับสนุนภาคประชาสังคมในคะฉิ่นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้กับผลกระทบจากเหมือง

สำหรับไทย เขาระบุว่าการฟื้นฟูระบบนิเวศในคะฉิ่นอาจต้องใช้เวลา 50-100 ปี เขาแนะนำให้ไทยเจรจากับกองกำลังว้า ซึ่งควบคุมพื้นที่เหมืองในรัฐฉาน นอกเหนือจากรัฐบาลเมียนมา การหยุดเหมืองเป็นเรื่องยาก แต่การเจรจาและตรวจสอบแร่ที่นำเข้าจะช่วยลดผลกระทบ

คะฉิ่น–ฉาน–ลาว หัวใจใหม่ของห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธโลก

ธารา บัวคำศรี จาก Climate Connector ชี้ว่า การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพิ่มความต้องการแรร์เอิร์ธหนัก (HREEs) เช่น เทอร์เบียมและดิสโปรเซียม ซึ่งใช้ในแม่เหล็กกังหันลม รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมสำคัญ โดย IEA คาดว่าความต้องการแม่เหล็กจะเพิ่ม 10–50 เท่าใน 10–30 ปีข้างหน้า

เมียนมาร์เป็นผู้ผลิต HREEs หลัก 65% ของโลก โดยเหมืองในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉานส่งผลกระทบต่อแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ขณะที่ลาวมีแนวโน้มบทบาทเพิ่มขึ้น ความขัดแย้งในเมียนมาร์ทำให้ราคาแร่สูง และยากต่อการหยุดเหมือง

จีนยังคงครองส่วนใหญ่ของการแปรรูปแรร์เอิร์ธทั่วโลก ขณะที่ไทยนำเข้าและแปรรูปแร่จากเมียนมาร์และมาเลเซีย เพื่อนำไปลงตลาดสหรัฐฯ–จีน แต่บริษัทยุโรปหลายแห่งไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มา เนื่องจากความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน

แม้การขุดแร่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตพลังงานสะอาด แต่กระทบลุ่มน้ำโขงและระบบนิเวศในคะฉิ่น–ฉาน–ลาว ระดับนานาชาติ เช่น ASEAN, IGF, UN และ OECD สามารถใช้เวทีเหล่านี้ยกระดับนโยบายเกี่ยวกับ critical, transition และ conflict minerals เพื่อให้เกิดการตรวจสอบย้อนกลับ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสร้างความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทาน

กฎหมายระหว่างประเทศกับความท้าทายมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแรร์เอิร์ธในลุ่มน้ำโขง

ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่น รัฐฉาน และลาว ส่งผลต่อสารโลหะหนักข้ามพรมแดนในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ปัญหานี้ซับซ้อนเพราะรัฐบาลกลางเมียนมาร์ไม่สามารถควบคุมพื้นที่ความขัดแย้งได้เต็มที่ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นและมาตรการระหว่างประเทศเป็นเรื่องท้าทาย 

เธอยังอธิบายหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ประกอบด้วย

1.หลัก No Harm: รัฐต้องไม่ดำเนินกิจกรรมใดที่ส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อมของรัฐเพื่อนบ้าน

2.หลักการระวังไว้ก่อน (Precautionary Principle): ป้องกันความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมล่วงหน้า แม้หลักฐานยังไม่ชัดเจน

3.ความร่วมมือระหว่างรัฐ: บริษัทเหมืองและรัฐบาลท้องถิ่นต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบ

4.หลักการปกป้องสิทธิมนุษยชน: คุ้มครองสิทธิพื้นฐาน เช่น น้ำสะอาด สุขภาพ และความมั่นคงทางอาหาร

โดยกลไกที่สามารถนำมาใช้ ได้แก่ อนุสัญญาน้ำของ UN (Water Convention), การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (Transboundary EIA), และกรอบ ASEAN เรื่องมลพิษข้ามพรมแดน ทั้งนี้ การบังคับใช้ยังจำกัดเพราะเมียนมาร์ไม่ใช่ภาคีหลัก และจีนก็ไม่ได้เข้าร่วม

นัทมนแนะนำให้ไทยใช้กฎหมายภายในและเจรจากับรัฐบาลท้องถิ่นในรัฐคะฉิ่น–ฉาน รวมถึงผ่านกลไกพหุภาคี เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) และ กรอบล้านช้าง–แม่โขง (LMC) พร้อมตรวจสอบผู้ลงทุนผ่านกรอบ OECD เพื่อสร้างธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทาน

นอกจากนี้ เธอเสนอให้พิจารณาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และกลไก Business and Human Rights ในการฟ้องร้องบริษัทที่ก่อมลพิษ เช่นเดียวกับการอ้างอิงคดี Trail Smelter และคดีโรงงานกระดาษในอุรุกวัย ซึ่งเน้นการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน แม้ว่าการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศจะยาก แต่การเริ่มสร้างข้อตกลงและความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและสากลเป็นก้าวสำคัญเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตประชาชนในลุ่มน้ำโขง

Polluter Pays หรือ State Pays ความท้าทายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนผ่านแว่นกฎหมายไทย

ดร.สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายมิติทางกฎหมายไทยในการจัดการมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่น รัฐฉาน และลาว ซึ่งส่งผลต่อสารโลหะหนักในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง เขาชี้ว่าปัญหานี้ซับซ้อนเกินกว่าชุมชนจะจัดการได้เพียงลำพัง จำเป็นต้องอาศัยกลไกกฎหมายและความร่วมมือของรัฐเพื่อปกป้องประชาชนและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

สงกรานต์เน้นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ ที่รับรองสิทธิในการใช้ประโยชน์และมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี การปนเปื้อนแม่น้ำกกถือเป็นการละเมิดสิทธิเหล่านี้ รัฐไทยจึงมีหน้าที่ทั้งหยุดยั้งการปล่อยมลพิษ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

หน้าที่ของรัฐแบ่งเป็นสามส่วนหลัก ได้แก่

1.หยุดยั้งการปล่อยมลพิษ: ตรวจสอบปนเปื้อนและระบุแหล่งกำเนิด ใช้กฎหมายภายในและการเจรจาระหว่างประเทศผ่านหน่วยงาน เช่น คณะรัฐมนตรีและกรมควบคุมมลพิษ

2.เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ: จัดหาน้ำสะอาดและชดเชยความเสียหาย เช่นเดียวกับหลักการที่ศาลปกครองใช้ในคดีลำห้วยคลิตี้

3.ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม: ใช้อำนาจจากพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำและพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อม ประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมหรือเขตควบคุมมลพิษ และจัดสรรงบประมาณสำหรับการฟื้นฟู

สงกรานต์ย้ำว่าตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) ผู้ก่อมลพิษ เช่น บริษัทเหมืองในเมียนมาร์ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟู ไม่ใช่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ภาคประชาสังคมควรร่วมมือกับรัฐเพื่อให้กลไกเหล่านี้เกิดผลจริงและปกป้องสิทธิของประชาชน พร้อมฟื้นฟูแม่น้ำกกให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง