ภาพ: khit thit Media
สถานการณ์ที่ ‘เคเคปาร์ค’ (KK Park) ในเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา กำลังปะทุขึ้นอีกครั้งหลังการกวาดล้างครั้งใหญ่โดยกองทัพเมียนมา (Tatmadaw) เมื่อช่วงวันที่ 20-24 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้หลบหนีจำนวนมากไหลทะลักข้ามแม่น้ำเมยเข้าสู่ประเทศไทย ขณะที่นักสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและนานาชาติเข้ามามีบทบาทในการปกป้องเหยื่อการค้ามนุษย์ในวิกฤตนี้อย่างจริงจัง
ศูนย์กลางอาชญากรรมที่เฟื่องฟูภายใต้สภาวะทางการเมืองที่ไม่มั่นคง

เคเคปาร์ค ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์ปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ขนาดใหญ่หลายแห่งตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการค้ามนุษย์ในภูมิภาคนี้ ตามรายงานของ The Guardian ระบุว่า อาณาจักรขนาดมหึมาที่ถูกรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดแห่งนี้ กินพื้นที่ถึง 1300 ไร่ ริมแม่น้ำเมย และมีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลหลังการรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 2564 และการระบาดของโควิด-19 โดยจำนวนศูนย์ปฏิบัติการหลอกลวงในลักษณะนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
อาณาจักรเหล่านี้ดำเนินการโดย กลุ่มผู้มีอิทธิพลชาวจีน และได้รับการอุปถัมภ์จากกองทัพเมียนมาหรือกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธในพื้นที่ชายแดนที่รัฐบาลกลางไม่สามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็น ดินแดนที่ไร้กฎหมาย (lawless area) ที่กลุ่มอาชญากรสามารถทำกำไรได้หลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละปีจากการหลอกลวงผู้คนทั่วโลก
เหยื่อที่ถูกหลอกล่อด้วยข้อเสนองานที่สวยหรู เช่นงานไอที แอดมิน ผ่ายขาย มักถูกลักลอบนำตัวเข้ามาให้ทำงานในรูปแบบการหลอกลวงทางไซเบอร์ที่ซับซ้อน เช่น การหลอกลวงแบบ ‘โรแมนซ์สแกม’ (romance scams) และการเสนอการลงทุนปลอม (bogus investment pitches) รายงานของ India Today อ้างคำบอกเล่าของเหยื่อรายหนึ่งที่เล่าว่า พวกเขาใช้โปรไฟล์ปลอมที่สร้างจาก ปัญญาประดิษฐ์ (AI-generated faces) เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงิน และผู้ที่ไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่กำหนดได้จะถูกลงโทษ ทำร้ายร่างกาย
“ถ้าคุณไม่ถึงเป้า เขาจะขู่ว่าจะเอาคุณไปขายที่อื่น หรือไม่ก็ซ้อม” – เหยื่อชาวอินเดียที่ได้รับการช่วยเหลือให้สัมภาษณ์กับ India Today
การถูกลงโทษด้วยความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ ผู้ที่ไม่ทำตามเป้าจะถูกขู่เข็ญด้วยปืน ถูกซ้อม ทรมาน หรือส่งต่อไปยังศูนย์หลอกลวงอื่นที่มีสภาพเลวร้ายกว่า การหลบหนีแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะพื้นที่ถูกล้อมด้วยกำแพงและมีการลาดตระเวนตลอดเวลา
การกวาดล้างและคลื่นแรงงานผู้หลบหนีการค้ามนุษย์

ในช่วงระหว่างวันที่ 20 ถึง 24 ตุลาคม กองทัพเมียนมาได้เปิดฉากปฏิบัติการครั้งใหญ่เพื่อกวาดล้าง ‘เคเคปาร์ค’ (KK Park) โดยมีการดำเนินการประสานงานกับกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (BGF) ซึ่งเป็นพันธมิตรของกองทัพ เพื่อเข้าควบคุมพื้นที่อย่างเบ็ดเสร็จ
กองกำลังผสมของทหารเมียนมาและ BGF ได้เข้าดำเนินการอย่างเข้มข้น โดยเริ่มจากการประสานทำความเข้าใจกับกลุ่ม BGF ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ จากนั้นจึงเข้าปิดล้อมและตรวจค้นอาคารกว่า 250 หลังภายในคอมเพล็กซ์ ซึ่งผลจากการบุกกวาดล้างนี้ ทางการเมียนมาได้ประกาศว่าสามารถควบคุมตัวบุคคลที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ได้มากถึง 2,198 คน พร้อมทั้งยึดของกลางสำคัญที่เป็นเครื่องมือของอาชญากรข้ามชาติ ได้แก่ อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starlink (สตาร์ลิงค์) จำนวน 30 ชุด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการควบคุมการสื่อสาร

นอกจากปฏิบัติการภาคพื้นดินแล้ว ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันยังมีรายงานว่า เกิดระเบิดขึ้นในพื้นที่ของเคเคปาร์ค ได้ยินไปไกลถึงฝั่งไทย โดยเป็นการระเบิดเพื่อทำลายอาคารที่ผิดกฏหมาย และมีการทำลายอาคารและห้องเก็บเอกสาร ซึ่งเป็นการกระทำของกลุ่ม BGF เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้ทางกองกำลังทหารเมียนมาและคณะจากทางประเทศจีนสามารถเข้าตรวจสอบพื้นที่ได้
แม้จะมีการกวาดล้างครั้งใหญ่ แต่บางฝ่ายได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการดำเนินการของกองทัพเมียนมาอาจเป็นเพียง “ฉากแสดงการปราบปรามพวกสแกมเมอร์” (scammer crackdown show) ที่ทำขึ้นก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน เพื่อลดแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการที่สหรัฐอเมริกาได้วิจารณ์เมียนมาในรายงานการค้ามนุษย์ว่ามีความพยายามในการคุ้มครองเหยื่อและป้องกันอาชญากรรมที่ น้อยมาก และมีท่าทีว่าเวทีโลกพร้อมที่จะคว่ำบาตรเมียนมาหากไม่สามารถแก้ปัญหาศูนย์สแกมใหญ่นี้ให้เสร็จสิ้น
หลังการกวาดล้าง ไทยกลายเป็นประเทศด่านหน้าในการรับมือกับ ‘คลื่นผู้หลบหนีการค้ามนุษย์’ ที่ข้ามแม่น้ำเมยเข้ามา โดยเฉพาะในจังหวัดตาก ซึ่งมีด่านชายแดนสำคัญ เจ้าหน้าที่ไทยได้ควบคุมตัวผู้หลบหนีทั้งหมดเพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบสถานะและคัดกรองเบื้องต้น
พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามรับฟังสถานการณ์ชายแดนจังหวัดตาก เผยตัวเลขรวมผู้อพยพจากเมียวดี 1,233 คน จาก 28 สัญชาติ โดยส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย จีน และเวียดนาม ขณะนี้คัดกรองแล้ว 124 คน พบเหยื่อค้ามนุษย์ 2 คน ซึ่งเข้าสู่กระบวนการคุ้มครอง ส่วนผู้ไม่ใช่เหยื่อจะถูกดำเนินคดีและผลักดันกลับประเทศ อินเดียและจีนแสดงความพร้อมรับตัวกลับภายใน 10 วัน ด้านไทยเร่งคัดกรองวันละร้อยคน และขยายผลสืบสวนขบวนการค้ามนุษย์ที่เกี่ยวข้อง พร้อมย้ำว่าจะไม่ให้แรงงานผิดกฎหมายเหล่านี้อยู่ในประเทศนาน ขณะเดียวกัน ปัญหาการส่งตัวกลับของบางประเทศ เช่น เอธิโอเปีย ยังคงเป็นความท้าทายเพราะขาดสถานทูตในภูมิภาคและงบประมาณสูงในการส่งกลับ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการหลบหนีนี้ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต รายงานบางฉบับระบุว่า มีผู้หลบหนีบางส่วน จมน้ำเสียชีวิต ขณะพยายามว่ายข้ามแม่น้ำเมยที่มีกระแสน้ำเชี่ยวกราก โดยยังไม่สามารถกู้ร่างขึ้นมาได้
องค์กรบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ชายแดนเมียนมาเปิดเผยว่า ขณะนี้มีแรงงานที่พยายามหลบหนีออกจาก เคเคปาร์ค และศูนย์หลอกลวงอื่นในเมียวดี มากกว่า 2,000 คน ซึ่งต้องการที่พักพิง อาหาร และการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม

องค์กรสิทธิมนุษยชนไทยเรียกร้องให้รัฐบาล แยกแยะระหว่าง ‘เหยื่อการค้ามนุษย์’ กับ ‘ผู้ต้องสงสัย’ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนแก่ผู้ที่ถูกบังคับให้ทำงานในระบบสแกม
นักวิชาการจากหลายสถาบัน เช่น ศูนย์วิจัยความมั่นคงมนุษย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเครือข่าย NGOs ด้านแรงงานข้ามชาติ ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยวางยุทธศาสตร์ระดับชาติ เพื่อจัดการกับปัญหาศูนย์อาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนเมียวดี โดยเสนอให้มี 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่
ระบบคัดกรองเหยื่อที่มีประสิทธิภาพ – เพื่อให้ความคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่การจับกุมแบบเหมารวม
ความร่วมมือระดับภูมิภาคที่แท้จริง – ไทยต้องผลักดันให้เกิดความร่วมมือกับจีน เมียนมา และประเทศต้นทางอื่นๆ ในเอเชียใต้
กลไกความรับผิดทางกฎหมาย – เพื่อเอาผิดกับผู้มีอำนาจที่เอื้อประโยชน์ให้กับเครือข่ายสแกม ไม่ว่าจะอยู่ในฝั่งไทยหรือเมียนมา
“นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย แต่มันคือปัญหาการค้ามนุษย์เชิงโครงสร้างที่โยงกับผลประโยชน์ข้ามพรมแดน” – ลี (นามสมมติ) นักสิทธิมนุษยชนชายแดน กล่าว
ทางตันของเหยื่อที่ไร้สถานะ สำหรับผู้ที่สามารถหลบหนีออกมาได้ เส้นทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ส่วนใหญ่ไม่มีเอกสาร ไม่มีเงิน ไม่มีสัญชาติ และไม่รู้ว่าจะถูกส่งกลับประเทศต้นทางหรือไม่ หลายคนกลัวว่าจะถูกส่งกลับไปยังมือแก๊งค์เดิม องค์กรสิทธิมนุษยชนระบุว่า เหยื่อควรได้รับ ความคุ้มครองชั่วคราว (temporary protection) และความช่วยเหลือด้านกฎหมาย ก่อนจะดำเนินกระบวนการส่งกลับประเทศต้นทางอย่างปลอดภัย ไม่ใช่ถูกผลักดันกลับไปเผชิญความเสี่ยงเดิม

วิกฤตที่ต้องการมากกว่าการ ‘กวาดล้าง’ กรณี KK Park สะท้อนให้เห็นว่า การกวาดล้างเพียงครั้งเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน หากไม่มีความร่วมมือระหว่างประเทศ โครงสร้างของอาชญากรรมเหล่านี้ก็พร้อมจะฟื้นตัวได้ทุกเมื่อในพื้นที่ชายแดนที่เปราะบาง ขณะเดียวกัน ประเทศไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและจุดรับผู้หลบหนีจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์จากการควบคุมชายแดนเชิงความมั่นคงเพียงอย่างเดียว มาสู่ ‘ยุทธศาสตร์สิทธิมนุษยชนและความมั่นคงมนุษย์’ ที่ให้ความสำคัญกับชีวิตของเหยื่อการค้ามนุษย์เป็นหลัก
“นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของอาชญากรรมเท่านั้น บางคนรู้สึกว่าแรงงานเหล่านี้สมควรแล้วเพราะเลือกทำงานหลอกลวงผู้อื่น และเห็นแก่ค่าตอบแทนสูง แต่นี่มันคือเรื่องของความเป็นสิทธิมนุษย์ พวกเขามีสิทธิที่จะหลุดพ้นออกจากวงจรการค้ามนุษย์นี้” นักสิทธิมนุษยชนท้องถิ่น กล่าวทิ้งท้าย
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




