จากป่าสู่โต๊ะอาหาร เมื่อ ‘เห็ดถอบ’ เดินผ่านไฟและอคติ บนความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน 

Date:

เรื่อง : ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช

ภาพ : สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, กนกพร จันทร์พลอย

‘เห็ดเผาะ’ (Hygroscopic earthstar ชื่อวิทยาศาสตร์ : Astraeus hygrometricus) หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ ‘เห็ดถอบ’ ของป่าหายากที่ขึ้นตามธรรมชาติในพื้นที่ป่าเต็งรัง แถมยังไม่สามารถทำการเพาะปลูกในระบบเกษตรกรรมได้  ซึ่งจะออกเฉพาะช่วงต้นฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมเท่านั้น ด้วยรสชาติที่โดดเด่นและหายาก ทำให้เห็ดถอบมีราคาสูงและกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่น  มากไปกว่านั้นวาทกรรม ‘เผาป่าหาเห็ด’ มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการเผาทำลายพื้นที่ป่า แต่หากมองความเป็นจริง ชาวบ้านชุมชนท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยใช้วิธีการ ‘ชิงเผา’ วางแผนและกำหนดพื้นที่ใช้ไฟ ถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมายาวนาน ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ และยังรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะกับป่าเต็งรัง ต้องอาศัยไฟเพื่อกระตุ้นการสืบพันธุ์ทุกๆ 2-3 ปี ถ้าหากไม่มีไฟ ป่าเต็งรังจะค่อยๆ เสื่อมโทรมกลายเป็นทุ่งหญ้าในที่สุด

ด้วยความไม่เข้าใจในกระบวนการเช่นกัน ก่อเกิดเป็นอคติที่มองการใช้ไฟหาเห็ดเป็นการทำลายป่า แต่หากมองให้ลึกลงไปก็จะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วไฟถือเป็นสิ่งที่ยังมีความจำเป็นกับป่า เรียกได้ว่า ป่ายังต้องพึ่งไฟ ดังนั้น การใช้ไฟเพื่อกระตุ้นให้เกิดการงอกของเห็ดก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ต่างพึ่งพากัน ทั้งยังเป็นอีกวิธีการที่ชุมชนใช้จัดการป่าอย่างมีระบบ เพียงแต่ว่า เราจะเข้าใจความหมายนี้ได้อย่างไร?

ไฟป่า ฝุ่นควัน และเห็ดถอบ ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกับชีวิตที่พึ่งพาป่า

ภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

วันที่ 25 มิถุนายน 2568 เครือข่ายความเข้าใจและบูรณาการการเรียนรู้ระหว่างภาคีหลักระดับจังหวัดและชุมชน จัดสัมมนา ข้อท้าทายการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการไฟป่าและฝุ่นควันโดยการมีส่วนร่วม ของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากการแลกเปลี่ยนข้อเสนอเชิงนโยบาย ยังมีการนำเสนองานวิจัย เห็ดป่า ณ ชายขอบแห่งเมือง: การพัวพันของวัฒนธรรมการเก็บหาของป่ากับการเมืองหมอกควันในยุคทุนนิยม โดย ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งชี้ให้เห็นความสัมพันธ์เชิงซ้อนระหว่างการใช้ไฟของชุมชนกับระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และอคติของสังคมเมืองที่มีต่อการจัดการไฟในป่า โดยเฉพาะต่อวัฒนธรรม ‘เผาป่าหาเห็ด’ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของไฟป่าและฝุ่นควัน ทั้งที่ในความเป็นจริงกลับเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการทรัพยากรที่มีรากฐานจากภูมิปัญญาท้องถิ่น

ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี (ภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย)

ปิ่นแก้ว สะท้อนแรงบันดาลใจในการศึกษาประเด็นนี้ว่า จุดเริ่มต้นมาจากประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะคนในพื้นที่เมือง ที่ต้องเผชิญปัญหาหมอกควันในทุกฤดูร้อน โดยไม่เข้าใจว่าต้นตอมาจากอะไรกันแน่ ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนก็มักนำเสนอว่าการหาเห็ดถอบ คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเผาป่า ทั้งที่ในความเป็นจริง การใช้ไฟในป่ากับปัญหาหมอกควัน เป็นคนละเรื่องกัน แต่กลับถูกเหมารวม และนำไปสู่การกล่าวหาชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่นโดยขาดความเข้าใจ

ปิ่นแก้วอธิบายต่อว่า เห็ดถอบเป็นเห็ดป่าที่ต้องพึ่งพาระบบนิเวศของป่า เพราะไม่สามารถเพาะปลูกในระบบเกษตรกรรมได้ ในทางกลับกัน คนจำนวนไม่น้อยก็ต้องพึ่งพาเห็ดถอบเช่นกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ภาคเกษตรล้มเหลว เช่น ตำบลแม่หอพระ ที่เลิกปลูกข้าวเพราะขายไม่คุ้ม หรือตำบลบ้านโป่งที่ชาวบ้านต้องเปลี่ยนไปเป็นแรงงานรับจ้างในรีสอร์ต เนื่องจากพื้นที่เกษตรถูกบุกรุกจากการสร้างรีสอร์ต

เชียงใหม่ถือเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดในภาคเหนือ โดยเฉพาะป่าเต็งรังในอำเภออมก๋อย ที่มีมากถึง 271,981.25 ไร่ หรือคิดเป็น 15.47% ของพื้นที่ทั้งหมด จนถูกขนานนามว่า ‘เมืองหลวงของเห็ดถอบ’ เพราะเป็นพื้นที่ที่ยังคงมีป่าเงียบมีลักษณะเงียบสงบและระบบนิเวศที่เหมาะสมสำหรับเห็ดถอบเติบโต

โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ซุกซ่อนในเห็ดถอบ

ภาพ: กนกพร จันทร์พลอย

ปิ่นแก้วยังอธิบายอีกว่า การที่เห็ดเผาะสามารถเดินทางจากป่าสู่โต๊ะอาหารได้นั้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันเป็น ห่วงโซ่ สะท้อนถึงวิกฤตในภาคเกษตรไทย เมื่อเกษตรกรพบว่าการปลูกพืชเพื่อการค้าไม่ได้กำไรเท่าที่ควร การหันไปพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติจึงกลายเป็นทางเลือกที่สำคัญ

“สิ่งที่น่าสนใจคือเห็ดป่ายังไม่ถูกรวมศูนย์หรือผูกขาดโดยบริษัทใหญ่ แม้จะมีความตึงเครียดเกิดขึ้นในบางพื้นที่ เช่น การเผารถหรือเจาะยางเพื่อขัดขวางคู่แข่ง แต่คนชายขอบและคนยากจนยังสามารถเข้าถึงทรัพยากรป่าได้ ทำให้เห็ดป่ายังคงเป็นทรัพยากรที่เป็นของส่วนรวมในระดับหนึ่ง”

จากการพูดคุยกับชาวบ้าน พบว่า วิถีเก็บของป่ายังเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิต ไม่ใช่แค่เพื่ออยู่รอดในยุคก่อนเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันยังคงมีคนจำนวนมากเลือกกลับไปพึ่งพาป่า หลังจากพบว่าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสมัยใหม่ที่ดูมั่นคง กลับไม่มีหลักประกันเท่ากับเศรษฐกิจที่พึ่งพาป่า ซึ่งแม้จะดูดั้งเดิม แต่กลับสร้างความมั่นคงให้ชีวิตได้มากกว่า

สำหรับชาวบ้าน การหาเห็ดจึงไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้ แต่เป็นกิจกรรมที่เต็มไปด้วยความสนุก ได้เที่ยวป่าหลังฝนตก ได้พูดคุยกับเพื่อนฝูง เป็นวิถีชีวิตที่มีอิสรภาพ ทว่าการใช้ไฟในป่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีนี้ กลับถูกกระทบจากนโยบายของรัฐ เมื่อรัฐประกาศนโยบาย ‘Zero Burning’ หรือ ‘ห้ามเผาเป็นศูนย์’ โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ที่ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 รุนแรง รัฐใช้มาตรการเข้มงวด ทั้งลาดตระเวน จับปรับ และตรวจสอบจุดความร้อนผ่านดาวเทียม แต่ปัญหาคือ นโยบายเหล่านี้ไม่ได้ถามหรือเข้าใจวิถีชีวิตของชาวบ้าน ส่งผลให้เกิดการลักลอบเผาในเงามืด ซึ่งยิ่งทำให้ไฟป่ารุนแรงและควบคุมยากยิ่งขึ้น ตรงข้ามกับเจตนารมณ์ของนโยบายที่ต้องการแก้ปัญหาหมอกควัน

ข้อมูลจากนักวนศาสตร์และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ยืนยันตรงกันว่า ‘การใช้ไฟ’ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการป่าที่มีมาช้านาน โดยเฉพาะในป่าเต็งรังที่ต้องพึ่งไฟเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ หากห้ามใช้ไฟโดยสิ้นเชิง ป่าจะเสื่อมโทรม และดินจะเสื่อมสภาพจนไม่สามารถคงอยู่ได้

ท้ายที่สุด ปิ่นแก้วตั้งข้อสังเกตว่า สังคมมักเหมารวมว่า การเผาป่าหาเห็ด คือต้นตอของหมอกควัน ทั้งที่ในความเป็นจริง ทั้งสองเรื่องมีจุดตัดที่ซับซ้อน และควรมองด้วยความเข้าใจมากกว่าการตีตรา “ชาวบ้านมักถูกมองแค่สองแบบ คือ เป็นผู้มีภูมิปัญญา หรือเป็นผู้ทำลายป่า ภาพแบบนี้ทำให้เรามองชุมชนผิด และสร้างอคติที่ยากจะแก้ไข” 

ภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

แม้ภาครัฐจะเริ่มพูดถึงแนวทาง ‘ระบบไฟดี’ หรือแอปพลิเคชัน ‘FireD’ ซึ่งเป็นระบบเก็บข้อมูลของชุมชนโดยศูนย์วิชาการประจำจังหวัด เพื่อช่วยวางแผนและตัดสินใจช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกำจัดเชื้อเพลิง รวมถึงการจัดการไฟอย่างมีระบบ เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายจากไฟป่าและไฟไหม้ในพื้นที่ต่างๆ โดยเน้นการป้องกันเป็นหลัก

แต่แนวทางนี้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง เพราะยังขาดกลไกเชื่อมโยงการทำงานจากหลายระดับ ทั้งในส่วนของชุมชน ท้องถิ่น และหน่วยงานรัฐ

“ที่สำคัญที่สุดคือ เรายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า จะใช้ไฟอย่างไร ที่ไหน และบ่อยแค่ไหน จึงจะรักษาสมดุลของป่าและอากาศได้จริง ทั้งที่ทุกปี เราทุ่มงบประมาณมหาศาลฉีดน้ำสร้างหมอกเทียม แต่ปัญหาฝุ่นควันก็ยังไม่จางหายไปไหน”

ไฟไม่ควรห้าม แต่ควรจัดการ เสียงจากบ้านแม่นาป้าก

ปฐมพงศ์ เจริญมูล (ภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย)

พ่อหลวง ปฐมพงศ์ เจริญมูล ผู้ใหญ่บ้านแม่นาป้าก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เล่าถึงชีวิตของชาวบ้านที่อยู่แนบชิดกับผืนป่ารอบหมู่บ้านว่า อาชีพหลักของคนที่นี่คือเกษตรกรและการใช้แรงงานในโรงงาน แต่ด้วยความที่โรงงานอยู่ไกล และผลผลิตทางการเกษตรมีราคาตกต่ำ แม้ชาวบ้านจะยังทำเกษตรกันอยู่ แต่รายได้ที่มั่นคงกว่ากลับมาจาก ‘ของป่า’ ไม่ว่าจะเป็นเห็ด หน่อไม้ สัตว์ป่า หรือไม้พื้นถิ่น 

“รายได้จากการขายของป่ามากกว่าทำเกษตรหลายเท่า เพราะเป็นสิ่งที่หาได้โดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องใช้ปุ๋ย ไม่ต้องเตรียมพื้นที่ แค่เดินเข้าไปในป่าก็สามารถหาได้ทันที และที่สำคัญคือหาได้ตลอดทั้งปี ต่างจากการทำนาซึ่งทำได้เพียงปีละ 1-2 ครั้ง และหากขาดน้ำก็เหลือแค่ปีละครั้งเท่านั้น เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว แทบไม่เหลือกำไร”

ภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

พ่อหลวงเล่าว่า เมื่อราว 6-7 ปีก่อน รัฐเริ่มจริงจังกับนโยบายควบคุมการเผา เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นควัน นโยบายนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีของชาวบ้าน โดยเฉพาะการหาเห็ด ซึ่งต้องพึ่งพาพื้นที่ป่าราว 2,400 ไร่ รอบหมู่บ้าน ทั้งหมดเป็นพื้นที่หาเห็ด แต่เมื่อถูกห้ามเผาโดยเด็ดขาด ชาวบ้านที่เคยใช้ไฟจัดการพื้นที่อย่างมีจังหวะและควบคุมได้ ก็จำเป็นต้องลักลอบเผา ผลที่ตามมาคือไฟลุกลาม ควบคุมไม่ได้ และกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม

จากปัญหานี้ ชุมชนจึงหันกลับมาคิดและหาทางจัดการกันเอง ผ่านการประชุมระดับตำบลและการวางแผนร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จนเกิดแนวคิด ‘การชิงเผา’ หรือการวางแผนใช้ไฟอย่างเป็นระบบ โดยเผาเฉพาะจุดที่จำเป็น พร้อมทำแนวกันไฟป้องกันการลุกลาม ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ป่าทั้งหมด 2,400 ไร่ของหมู่บ้าน จะมีการเผาเพียง 200-300 ไร่ เท่านั้น และก่อนลงมือ ชาวบ้านจะต้องแจ้งความต้องการไปยังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เทศบาล และ อบต. เพื่อให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

“ถ้าชาวบ้านยังสามารถหาเห็ดได้ในพื้นที่ของตัวเอง ก็ไม่ต้องไปเผาดอยอื่น การควบคุมไฟก็ทำได้ง่ายขึ้น” 

ทั้งนี้ พ่อหลวงมองว่า การห้ามเผาโดยเด็ดขาดไม่ช่วยแก้ปัญหา ตรงกันข้ามกลับทำให้ไฟลุกลาม เพราะควบคุมไม่ได้ พร้อมยังย้ำว่า ชาวบ้านไม่ได้อยู่กับป่าในฐานะผู้บุกรุก แต่เป็นคนที่พึ่งพาและดูแลป่ามาโดยตลอด ของป่าจึงไม่ใช่แค่รายได้เสริม แต่ในหลายกรณีกลายเป็นรายได้หลักของครอบครัวไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น หากรัฐต้องการแก้ปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืน ทางออกจึงไม่ใช่การห้ามอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ต้องเปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้ร่วมคิด ร่วมวางแผน และจัดการไฟอย่างมีระบบร่วมกัน

ทางออกจากการควบคุมสู่การจัดการที่เหมาะสมกับพื้นที่

พ่อหลวงปฐมพรยังสะท้อนปัญหาที่พบในระบบสนับสนุนการจัดการไฟของรัฐบาลว่า รัฐกำหนดให้ทุกพื้นที่ใช้แผนการทำงานแบบเดียวกันหมดในทุกพื้นที่ เช่น จัดงบสำหรับจ้างลาดตระเวนที่เพียงวันละ 100 บาท ในขณะที่ชาวบ้านรับจ้างทั่วไปได้ถึงวันละ 400–500 บาท ทำให้ไม่มีใครอยากเข้าร่วม 

เขาเสนอว่าอยากให้มี ‘แผนแบบโหนด’ หรือแผนการดำเนินงานที่สะท้อนความต้องการเฉพาะพื้นที่ ไม่ใช่แผนจากส่วนกลางที่ใช้รูปแบบเดียวกันทั่วประเทศ แม้ว่ากฎหมายเหมือนจะเปิดช่องให้มีการกระจายอำนาจบ้างแล้ว แต่ในทางปฏิบัติปัญหาใหญ่ยังอยู่ที่ขั้นตอนอนุมัติจากส่วนกลาง 

“ความต้องการของชุมชนจริงๆ ยังไม่ได้รับการตอบสนอง ส่วนกลางอาจเห็นด้วยในบางเรื่อง แต่ก็ไม่สะท้อนเสียงของทุกหมู่บ้าน เพราะการเก็บข้อมูลมักเกิดจากบางจุด แล้วสรุปแทนว่าคือความต้องการของทุกคน ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง สุดท้ายแล้วถึงพ่อหลวง หรืออบต. จะเขียนแผนขึ้นไป แต่ถ้าข้างบนไม่อนุมัติก็จบ”

เสียงของผู้ใหญ่บ้านแม่นาป้ากจึงสะท้อนให้เห็นชัดว่า การอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่าไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หากรัฐยอมฟัง ยอมเชื่อ และเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านได้บริหารจัดการวิถีชีวิตของตนเองด้วยความรู้ที่สั่งสมมา การจัดการไฟก็อาจไม่ใช่ปัญหา แต่คือทางออกที่คนในพื้นที่คิดไว้แล้ว เพียงแต่ต้องมีคนรับฟัง

ปัญหาหมอกควันจะสิ้นสุดลงได้หรือไม่ คำตอบอาจไม่อยู่ที่เครื่องฉีดหมอกน้ำหรือการห้ามเผาอย่างเบ็ดเสร็จ แต่อยู่ที่การเปิดใจฟังเสียงของคนที่อยู่กับป่ามาช้านาน และเชื่อใจให้พวกเขาจัดการวิถีชีวิตของตนเองด้วยภูมิปัญญาที่สั่งสมมาหลายชั่ว อายุคน

ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช

นักศึกษาฝึกงาน Lanner จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มฟล. ผู้หลงรักซีรีส์วาย สนุกกับการถ่ายติ๊กต็อก และมีความฝันอยากเป็นไอดอลที่ได้เต้นบนเวที แต่ในช่วงเวลานี้ ขอเรียนจบให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช
ศรีนิธิรินทร์ ชื่นวณิช
นักศึกษาฝึกงาน Lanner จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มฟล. ผู้หลงรักซีรีส์วาย สนุกกับการถ่ายติ๊กต็อก และมีความฝันอยากเป็นไอดอลที่ได้เต้นบนเวที แต่ในช่วงเวลานี้ ขอเรียนจบให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

More like this
Related

ชาวกะเบอะดินจัดงาน ‘ครบรอบ 6 ปี คัดค้านเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย’ ยืนยันจะปกป้องผืนดินด้วยชีวิต

ภาพ: วชิรญาณ์ วิรัชบุญญากร เสียงตะโกน “เหมืองแร่ออกไป! เหมืองแร่ออกไป!” ดังก้องไปทั่วผืนนา บ้านกะเบอะดิน อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่  11...

1.4 พันล้านบาท สรุปมูลค่าความเสียหายริมแม่น้ำกก-สาย-รวก จากวิกฤตสารพิษเหมืองแร่

แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก เป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ที่กำลังเผชิญกับวิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ความกังวลเรื่องคุณภาพน้ำและความปลอดภัยในการใช้ประโยชน์เพิ่มสูงขึ้น พร้อมขยายผลกระทบไปยังโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาแม่น้ำเหล่านี้ Lanner ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤติการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก...

เมื่อ ‘เมืองน่าอยู่’ ยังไม่พอให้ใจได้พัก เด็กเชียงใหม่กับพื้นที่สร้างสรรค์ที่ยังหายไป 

เรื่องและภาพ: ธัญรดา หยุมปัญญา, ภีมราฎา เชื้อคำฟู, จตุรวิชญ์ แก้ววงค์วาน และอิทธิกร อรุณรัตน์ เชียงใหม่มักถูกพูดถึงเสมอว่าเป็น...

‘สุชาติ’ ลงพื้นที่แม่น้ำกก เร่งคลี่คลายพิษเหมืองแร่ปนเปื้อนด่วน คนริมกกสะท้อนรัฐเร่งเยียวยา ‘กัณวีร์’ แนะใช้กติกาโลกล้อมเมียนมา

ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ฝั่งเมียนมาที่ไหลปนเปื้อนลงแม่น้ำกกกำลังกลายเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสังคมในพื้นที่ภาคเหนือของไทย สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า 9 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...