หลังจากนี้คือยุคสมัยหลัง นิธิ เอียวศรีวงศ์ “ประวัติศาสตร์(…)สามัญชน: หน้าถัดไป”

Date:

เรียบเรียง: นลินี ค้ากำยาน

ปาฐกถาในหัวข้อเรื่อง “ประวัติศาสตร์(…)สามัญชน: หน้าถัดไป” โดย ศ.กิตติคุณ ดร.ธงชัย วินิจจะกูล มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน (University of Wisconsin-Madison) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเสวนาในโครงการอ่านเปิดโลก (ครั้งที่ 4) “หมุนเข็มนาฬิกากลับกี่ครั้ง เข็มก็เดินหน้าเสมอ: ‘ชีวิตสังคมไทย’ ผ่านงานนิธิ เอียวศรีวงศ์” ณ ห้องประชุม Main Conference อาคารศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร เมื่อวันที่ 4-5 กันยายน 2566 โดยคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว

ในขณะที่หน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์สามัญชนจบลงเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อนักประวัติศาสตร์สามัญชนคนสำคัญจากเราไป ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้น ประวัติศาสตร์สามัญชนหน้าถัดไปของสังคมไทยก็เริ่มต้นขึ้นนับจากผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ซึ่งจะนำไปสู่คำถามใหม่ ๆ แก่การศึกษาประวัติศาสตร์ยุคหลัง นิธิ เอียวศรีวงศ์

ขอออกตัวอย่างเป็นงานเป็นการว่าผมไม่เคยเป็นลูกศิษย์อาจารย์นิธิ ไม่เคยเรียนกับแกแม้แต่ครั้งเดียว ผมคุยกับอาจารย์นิธินับนิ้วนับครั้งได้ ไม่ถึงหนึ่งมือ หมายถึงคุยมากคุยน้อยประมาณ 4-5 ครั้ง ที่ได้พบปะคุยกัน

แต่ผมก็เหมือนคนในสังคมไทยอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ล้วนแต่เป็นนักเรียนของอาจารย์นิธิโดยอ้อม พูดง่าย ๆ ว่าถ้าอาจารย์นิธิยอมที่เราจะถืออาจารย์เป็นครู เราเป็นร้อยเป็นพันก็คงจะบอกได้อย่างเต็มปากว่าขอเป็นนักเรียน แต่ว่าเราไม่ได้อยู่ในฐานะอย่างนั้น และผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปเคลมอย่างนั้นด้วย เราก็เป็นนักเรียนอย่างเงียบ ๆ เพราะเราก็เคารพในสิ่งที่ท่านได้สร้างคุณูปการแก่วงวิชาการและวงการทางปัญญาของสังคมไทย ในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา

ในแง่วิชาชีพ เราเป็นมิตรร่วมวิชาชีพที่มีความคิดทางการเมืองในทำนองเดียวกัน พูดแบบนี้เหมือนจะดูห่างเหิน ไม่มีความใกล้ชิดกันแบบส่วนตัว แต่สำหรับผม ผมคุ้นเคยกับความสัมพันธ์แบบนี้ อาจจะเพราะไปอยู่เมืองนอกมานาน และผมอยู่ในวงวิชาการที่ความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ ผู้น้อย อุปถัมภ์กันในโลกตะวันตกไม่ค่อยมี มันมีด้านดีด้านเสีย แต่บอกเลยว่าผมคุ้นเคยแบบนั้น และผมมีเหตุผลที่เชื่อว่าเผลอ ๆ อาจารย์นิธิอาจจะพอใจกับความสัมพันธ์แบบนี้ก็ได้ ในขณะที่หลายคนอาจจะเห็นว่านี่เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เคารพ ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าความเคารพกันในฐานะมิตรร่วมวิชาชีพ ในฐานะเราเด็กกว่าตามค่านิยมสังคมไทยมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่มันไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา ให้คนอื่น ๆ เห็น เพราะเหตุผลนี้ผมเลยไม่เคยใกล้ชิด ความเคารพเป็นความเคารพในฐานะคนที่นับถือกันอย่างมาก ผมนับถือแกอย่างมาก อยู่ห่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องเป็นนักเรียนโดยตรง เอาเข้าจริงก็มีข้อดี ผมรับที่จะมาพูดวันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะตรงนี้แหละ ผมคิดว่าผมอยากจะมาพูดถึงอาจารย์นิธิจากจุดยืนที่ความสัมพันธ์เป็นแบบนี้ ไม่ใช่จากจุดที่เพราะผมเป็นลูกศิษย์หรือความใกล้ชิดใด ๆ ทั้งสิ้น พูดง่าย ๆ คือไม่เคลม เราจะพูดยังไงก็จากจุดตรงนั้น จะถูกจะผิดก็จากจุดตรงนั้น

ผลงานและบทบาทของนิธิ นับว่าเป็นหน้าสำคัญหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ โดยสามัญชน ของสามัญชน และเพื่อสามัญชน และคำหลายคำที่คุณสามารถใส่ลงไปในวงเล็บระหว่างคำว่าประวัติศาสตร์กับคำว่าสามัญชน คำว่าสามัญชนในที่นี้ผมยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นคำที่เหมาะ การพูดวันนี้ผมมีหลายประเด็นที่ทิ้งไว้ ผมมีคำอธิบาย คำตอบกลับสารพัด ผมมีอยู่บ้าง และผมมีคำถามอยู่เยอะ ผมจะบอกไปพลาง ๆ ระหว่างการพูดว่าเป็นคำถาม เพื่อให้เราคิด

คำถามประการแรกโผล่มา ‘ประวัติศาสตร์สามัญชน’ ผมคิดคำนี้อยู่นาน ผมตัดสินใจใช้คำนี้แหละ ทั้งที่ผมคิดว่าอาจารย์นิธิคงไม่ใช้คำนี้ ผมคิดว่าอาจารย์นิธิจะใช้คำว่าชาวบ้าน สามัญชนกับชาวบ้านต่างกันยังไง มีความหมายไม่ชัดเจนพอ ๆ กันยังไง ไม่ชัดเจนเหมือนกันแต่คนละอย่าง ทำไมผมจึงเชื่อว่าอาจารย์นิธิจะใช้คำว่าชาวบ้าน มากกว่าคำว่าสามัญชน แต่คุณลองไปอ่านงานเขา แกจะเขียนคำว่าชาวบ้าน แกไม่ค่อยใช้คำว่าสามัญชน อาจจะเป็นเพราะว่ามันง่ายที่จะเข้าใจคำว่าชาวบ้าน คำว่าสามัญชนมันดูห่าง มันดูเป็นนามธรรม สำหรับคนที่พอจะคิดอะไรแบบนามธรรมสักหน่อย อย่างผมก็เป็นไปได้ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นความชอบส่วนตัว หรือไม่นัยยะมากกว่านั้น ลองคิดดีกว่า ถ้าคุณคิด คุณจะได้คำตอบ ก็จะเรียนรู้อาจารย์นิธิมากขึ้น

นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นนักประวัติศาสตร์แบบธรรมดา ๆ ที่วิเศษที่สุดคนหนึ่งที่สังคมไทยเคยผลิตได้ อาจารย์สามารถผลิตงานที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมหลายชิ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายของนักประวัติศาสตร์ เพราะต้องลงแรง ค้นคว้า คิดกับมันเป็นเวลานานจนตกผลึก มันเป็นงานที่ทำให้เราคิดต่างออกจากเรื่องที่มีอยู่ในสังคมไทย ในสภาวะของสังคม ในสภาวะของแวดวงวิชาการ ซึ่งไม่เหมาะเลยกับการเติบโตทางปัญญา อาจารย์นิธิกลับสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ รวมทั้งท้าทายความคิดความเชื่อในสังคมด้วย แถมยังเป็นปัญญาชนสาธารณะ ทั้ง ๆ ที่งานวิชาการของอาจารย์นิธิแสนจะอยู่บนหอคอยงาช้าง และเป็นหอคอยงาช้างที่สูงกว่าหลายคนด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาจารย์นิธิจะผลิตผลงานคุณภาพยอดเยี่ยมออกมาเป็นจำนวนมากและเป็นประจำสม่ำเสมอ แต่กลับไม่ได้มี school หรือสำนักคิดเป็นของตัวเอง เพราะเขาไม่เคยนำเสนอความคิดและใช้วิธีวิทยาที่เป็นระบบชุดหนึ่งชุดใดมาอธิบายสังคมอย่างชัดเจน ไม่เคยเสนอแนวคิดหรือทฤษฎีใหม่ เพราะสิ่งที่อาจารย์นิธิทำเป็นประวัติศาสตร์แบบธรรมดาสามัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนก็น่าจะทำได้เหมือนกัน เพียงแต่น้อยคนที่จะทำได้ สิ่งที่เขาทำมันธรรมดา แต่สามารถจับจุด เล็งประเด็น และวิเคราะห์เปิดหูเปิดตาเราได้อย่างแหลมคม

อาจารย์นิธิจะคิดและพยายามอธิบายไม่ว่าเรื่องอะไร ไม่ว่าจะงานวิชาการหรืองานบทความจำนวนมากที่อาจารย์เขียนขึ้นมา จะดูความสัมพันธ์ทางสังคมของสิ่งนั้น ๆ กับสถาบันทางสังคมอื่น ๆ โดยคำว่าสถาบันนั้นเป็นคำทางสังคมวิทยา ที่ไม่ได้หมายถึงแค่องค์กร หรือตึกรามอาคารราชการ แต่ยังหมายถึงบรรทัดฐาน ค่านิยม ธรรมเนียมประเพณี รวมถึงแบบแผนความสัมพันธ์อำนาจที่ดำรงอยู่ในขณะหนึ่ง ๆ ซึ่งนักประวัติศาสตร์เรียกว่า ‘บริบท’

หลายคนมักเข้าใจคำว่าบริบท ว่าหมายถึงการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ในแต่ละช่วงเวลา แต่ที่จริงแล้วบริบทที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์ของสิ่งนั้นกับสถาบันสังคมที่แวดล้อมของสิ่งที่เราศึกษา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเหตุการณ์ คน ความคิด ธรรมเนียม พฤติกรรมใด ๆ ก็ตาม ก็ล้วนดำเนินอยู่ได้ด้วยบริบท ซึ่งนี่เป็นปกติของนักประวัติศาสตร์ เพียงแต่ว่านิธิสามารถจับกระบวนการวิทยาตรงนี้ได้แม่นยำ ทำอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งถูกมุม และเล็งไปถูกจุด ขณะที่นักประวัติศาสตร์หลายคนอาจหลงทิศผิดทาง เลือกจับแค่ประเด็นเล็ก ๆ 

การเป็นนักประวัติศาสตร์แบบธรรมดาที่วิเศษได้นี้ต้องเป็นคนที่เรียกว่า ‘มนุษย์เรเนซองส์’ ซึ่งมี 3 ลักษณะ ได้แก่

1.อาจารย์นิธิมีความรู้ดีรู้รอบในหลายสาขา โดยเฉพาะในสาขาวิชาที่เรียกรวมๆ ได้ว่า ความรู้คลาสสิก (classical knowledge) ทั้งวรรณคดีไทย พุทธศาสนา (พระพุทธศาสนาแบบชาวบ้าน) และประวัติศาสตร์โบราณ ซึ่งคนที่มีพื้นภูมิความรู้แบบนี้มีน้อยมาก และมีไม่กี่คนที่มาเป็นนักวิเคราะห์วิจารณ์ที่อยู่ฝั่งชาวบ้านเหมือนอาจารย์นิธิ โดยจะเห็นว่านิธิสามารถดึงเอาพื้นความรู้เหล่านี้มาใช้เป็นองค์รวมที่ทำความเข้าใจสังคมไทยลึกลงไปถึงระดับจารีต ขณะที่คนจำนวนมากมักอธิบายด้วยหลักเชิงเหตุผลนิยมสมัยใหม่ที่วิเคราะห์ด้วยหลักเศรษฐศาสตร์การเมือง แต่ไม่เข้าใจรากฐานทางประวัติศาสตร์และจารีตของสังคมไทย เพราะขาดความรู้ในเรื่องพื้นฐานเหล่านั้น

2.อาจารย์นิธิมีความคิดเชิงวิพากษ์ (critical) โดยนิธิไม่ใช่แค่รับรู้เรื่องราวทางสังคมจารีตต่าง ๆ แล้วเชื่อตาม แต่สามารถตั้งข้อสงสัยและนำไปใช้อธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะที่บางคนก็อาจมีความรู้คลาสสิก เพียงแต่ยังวิจารณ์ไม่พอหรืออาจมีความอนุรักษนิยมมากเกินไป นอกจากนี้นิธิยังมีความรู้เกี่ยวกับสังคมอื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทยอีกอย่างน้อย 1-2 สังคม ซึ่งนิธิสามารถนำมาใช้เปรียบเทียบกับสังคมไทยอยู่ตลอดเวลา และการเปรียบเทียบนั้นก็ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าทำไมแต่ละสังคมถึงไม่เหมือนกัน ส่งผลให้สามารถเข้าใจสังคมไทยได้ดีขึ้น

3.อาจารย์นิธิมีพรสวรรค์ในการเขียน ที่นอกจากจะเป็นการสื่อให้คนอื่นเข้าใจได้ ยังสะท้อนความสามารถของคนในการย่อยองค์ความรู้ให้กลายเป็นของตัวเอง จนกระทั่งเขียนออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและด้วยภาษาที่ง่าย

ความเป็นมนุษย์เรเนซองส์นี้เองที่เป็นฐานและเครื่องมือในการคิดของนิธิ ทั้งในแง่การเป็นนักวิชาการและปัญญาชนสาธารณะ

สิ่งที่ทำให้นิธิมีความพิเศษคือ ‘การเมืองของนิธิ’ เอง สะท้อนได้ผ่านผลงานและความรู้ที่นิธิผลิต ซึ่งถือเป็นนักวิชาการผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์สังคมการเมืองไทยยุคสมัยใหม่ตลอดเวลาราว 5 ทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เห็นได้ชัดว่าผลงาน ‘ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา’ ของอาจารย์นิธิสร้างความตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง เพราะผลงานนี้ทำให้พงศาวดารที่เราใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาตลอดกลับกลายเป็นบทประพันธ์ทางการเมืองชิ้นหนึ่ง และวงศ์อวตารก็ไม่ได้เป็นอะไรนอกจาก political animal หรือสัตว์การเมือง เหมือนเรา ๆ และท่าน ๆ ทั้งหลาย แต่การที่นิธิให้มุมมองแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเขาต่อต้านเจ้า แต่เป็นเพราะเป็นจุดยืนแบบชาวบ้านสามัญชนที่มองว่าทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน และสถาบันต่าง ๆ ก็ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ เกินกว่าที่จะถูกศึกษาหรือสอดส่องเฝ้าดู

นิธิสามารถทำให้ชนชั้นนำต้นรัตนโกสินทร์เป็นพ่อค้า หากำไร รักษาผลประโยชน์ เอาเปรียบ ผูกขาด และผลักดันการเปลี่ยนแปลง เหมือนพ่อค้าสามัญทั่วไป และนิธิยังทำให้ลูกเจ๊กคนหนึ่งที่กลายเป็นพระมหากษัตริย์กลับสู่พื้นดินในความเป็นลูกเจ๊กอีกครั้งหนึ่ง ในงานเรื่อง ‘การเมืองไทยในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี’ ซึ่งทั้งหมดไม่ได้ต้องการเชิดชูยกย่องพระเจ้ากรุงธนบุรีเท่ากับจะบอกว่า “พระเจ้ากรุงธนบุรีก็เป็นลูกเจ๊กเหมือนกูนี่ล่ะ” โดยไม่ได้มีการต่อต้าน ดูถูกดูแคลน ด้อยค่าใด ๆ ทั้งสิ้น และยังเป็นการพูดแบบเคารพ ยกย่องอย่างสามัญชนที่เคารพยกย่องให้แก่กันได้ การที่นิธิให้มุมมองแบบนี้ไม่ได้แปลว่านิธิล้มเจ้า แต่เป็นเพราะเป็นจุดยืนแบบชาวบ้านสามัญชนที่มองว่าทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน 

หัวข้องานเขียนของนิธิอาจเรียกได้ว่าอยู่บน ‘หอคอยงาช้าง’ แถมยังเป็นหอคอยงาช้างที่สูง เพราะไม่อาจนำไปใช้ทำเป็นนโยบายสาธารณะได้ หรือไม่อาจมีประโยชน์ใช้สอยเป็นรูปธรรมได้ แต่ต้องขอค้านอย่างหัวชนฝา เพราะอันที่จริงต้องขอตั้งสมมติฐานแบบสบประมาทไว้ว่า งานที่ขึ้นหิ้งและไม่ได้ใช้ประโยชน์ในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นงานประยุกต์ เช่น งานที่สำรวจหมู่บ้านหนึ่งหมู่บ้าน ตำบลหนึ่งตำบล หน่วยงานราชการหนึ่งหน่วยงาน หรือการประพฤติปฏิบัติในหน่วยงานราชการหนึ่งที่ แล้วมีข้อเสนอแนะว่าจะปรับปรุงอย่างไร ซึ่งไม่มีประโยชน์ เพราะร้อยชิ้นเขียนเหมือนกัน สร้างความรู้ไปต่อยอดไม่ได้ และงานประเภทนี้มักจะตายทันทีที่ทำเสร็จสิ้นลง เพราะหน่วยงานนั้น การกระทำนั้น หรือสังคมนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปจากงานวิจัยแล้ว

อย่างไรก็ตาม งานที่ขึ้นหิ้งแท้จริงจึงไม่ใช่งานบนหอคอยงาช้าง แต่ปัญหาสังคมไทยคืองานวิจัยบนหอคอยงาช้างแบบที่นิธิทำมีน้อย อ่อนแอเกินไป ไม่เคยแข็งแกร่ง เพราะเรามองข้ามความรู้คลาสสิกเชิงวิพากษ์วิจารณ์ และไม่ได้นำมาใช้เป็นฐานในการทำความเข้าใจสังคมไทยในปัจจุบันเพื่อจะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างที่นิธิทำ โดยรากของปัญหานี้มีที่มาจากการวิจัยและอุดมศึกษาไทยที่มีฐานมาจากยุคกึ่งอาณานิคม ซึ่งมีการเร่งผลิตความรู้ประยุกต์โดยไม่มีฐานรากและไม่มีการพัฒนาต่อยอดจากฐานรากความรู้จารีตอย่างต่อเนื่อง

ด้วยจุดยืนแบบนี้ ทำให้นิธิเรียกได้ว่าเป็น ‘นักมนุษยนิยมธรรมดา’ ที่คงเส้นคงวา สังคมที่นิธิปรารถนาไม่ได้เป็นสังคมที่วิเศษพิสดารและไม่ได้สุดโต่ง แต่นิธิมีอุดมคติถึงชาติที่เป็นของคนธรรมดาทั่วไป โดยคาดว่าสอดคล้องกับแนวคิดรัฐประชาชาติแบบแอนเดอร์โซเนียน (Andersonian Nation-State) ตามแนวคิดของเบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน (Benedict Anderson)

การที่นิธิให้มุมมองแบบนี้ไม่ได้แปลว่านิธิล้มเจ้า แต่เป็นเพราะเป็นจุดยืนแบบชาวบ้านสามัญชนที่มองว่าทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพราะโดยทั่วไป ชาวบ้านต่างก็วิจารณ์เจ้าทุกมื้ออาหารและมีมาแต่ยุคชาดก ต่อให้จะเป็นคนที่รักเจ้าและไล่ฟ้องคนอื่นก็ตาม ซึ่งการวิจารณ์นั้นไม่ได้แปลว่าต้องวิจารณ์ทางลบอย่างเดียว แต่เป็นได้ทั้งการวิจารณ์ว่าชอบหรือไม่ชอบการกระทำแบบใด

‘ความกล้าหาญทางการเมือง’ เป็นทรัพย์สมบัติที่เป็นสิ่งที่หาได้ยากในหมู่ปัญญาชนและนักวิชาการประเทศไทย รัฐและฝ่ายบริหารในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไม่แต่เพียงชอบแทรกแซง ยังชอบกำหนดกฏเกณฑ์ บังคับสารพัดวิธีการ เพื่อควบคุมนักวิชาการ ภายใต้ ‘รัฐปรสิต’ ซึ่งถือเป็นสภาวะที่ไม่เอื้อกับการเติบโตทางปัญญาในแวดวงวิชาการเลยแม้แต่น้อย หลายคนจึงไม่สามารถเติบโตได้ 

ความเป็นรัฐปรสิตของไทยนั้นมีองค์ประกอบอยู่ 3 อย่าง อย่างแรกคืออำนาจที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ซึ่งแทรกแซงการเมืองการปกครองอยู่เรื่อยมา อย่างที่สองคือระบบทหาร ซึ่งอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ เรียกว่า รัฐเสนานุภาพ โดยทหารไม่ได้มีหน้าที่จำกัดอยู่แค่ในกองทัพ แต่เข้าไปแทรกซึมในอณูต่าง ๆ ของสังคมเต็มไปหมด และได้เข้าไปทำลายความคิดสร้างสรรค์ จำกัดการเติบโตของคนที่มีศักยภาพที่จะเติบโต และอย่างที่สามคือระบบรวมศูนย์ซึ่งแสนจะไม่เป็นเหตุเป็นผล องค์ประกอบ 3 อย่างนี้คือปรสิตของไทยที่ทำให้สารพัดวงการเติบโตยาก รวมไปถึงวงการวิชาการ

รัฐปรสิตของไทยได้สั่นสะเทือนครั้งใหญ่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจากผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ตลอด 50 ที่ผ่านมานับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในแง่ความสัมพันธ์ทางอำนาจ ได้เกิดแนวโน้มใหญ่อยู่สองแนวโน้ม ด้านหนึ่งคืออำนาจทยอยเข้าสู่สถาบันกษัตริย์อย่างเป็นลำดับขั้นตอนเข้าสู่สถาบันกษัตริย์ จนกระทั่งเราเรียกได้ว่าปัจจุบันเป็นสถาบันกษัตริย์สมัยใหม่ แต่ในแง่ความสัมพันธ์ทางอำนาจกลับไปมีความสัมพันธ์กับสถาบันอื่น ๆ ในสังคมไทยในแบบที่เป็นศักดินามากกว่ายุคใดนับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา โดยอาศัยความสัมพันธ์เชิงบุคคลมากกว่ายุคอื่น เรียกได้ว่าสถาบันทิศทางไทยถูกต้องแล้วที่เรียกระบอบการปกครองในปัจจุบันว่า ‘รัฐราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ’

ในอีกด้านหนึ่ง ประชาธิปไตยของประชาชนก็เติบโตขึ้น แม้จะมีขึ้นมีลง แต่ถ้ามองแนวโน้มระยะยาวตลอด 50 ปีจะเห็นว่าขยายตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ เห็นได้จากสองตัวชี้วัด ตัวชี้วัดแรกคือการเติบโตของปริมณฑลสาธารณะ (public sphere) ไม่ว่าจะในแง่สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุโทรทัศน์ มาจนถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ กำลังเติบโตขึ้นอย่างไม่มีทางถอยหลังกลับ และตัวชี้วัดที่สองคือการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในระบบการเมือง ไม่ว่าจะบนท้องถนน หรือในระบบรัฐสภา รวมทั้งมีกลุ่มภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ อยู่จนถึงทุกวันนี้อย่างไม่มีทางตาย และยังมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ  โดยปรากฏการณ์ชัยชนะของพรรคก้าวไกลที่เกิดขึ้นถือเป็นยอดภูเขาน้ำแข็งของความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นตลอด 50 ปี

แนวโน้มทั้งสองด้านนี้ดำเนินไปพร้อมกัน สู้กัน ปะทะกัน ต่อรองกัน และร่วมมือกันเป็นครั้งคราว ทั้งอย่างเปิดเผยและไม่เปิดเผยหรืออาจไม่ได้สังเกต โดยปัจจุบันนี้สองกระแสนี้กำลังดำเนินไปอย่างแยกห่างจากกันมากขึ้นทุกที ซึ่งนิธิได้เตือนไว้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปหนีไม่พ้นที่จะเกิดความรุนแรง ในโลกนี้ เราย่อมเรียกร้องให้สถาบันทางการเมืองที่มีอำนาจปรับตัว แต่รัฐปรสิตของไทยกำลังพยายามหยุดเข็มนาฬิกา ซึ่งเข็มนาฬิกาที่หมายถึงอำนาจประชาชนกำลังเดินหน้าไปเรื่อย ๆ

‘รัฐปรสิต’ ทำให้หลายคนไม่สามารถเติบโตได้และไม่อาจทลายกรอบได้พ้น แต่นิธิสามารถทลายกรอบนั้นได้ แถมยังช่วยสร้างคุณูปการในการติดอาวุธให้พวกเราสามารถเรียนรู้ เก็บเกี่ยวความคิด และเติบโตขึ้น โดยหวังว่าเราจะสามารถทลายกรอบความคับแคบของรัฐปรสิตนั้นไปได้ด้วย

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับหน้าถัดไปของประวัติศาสตร์ประชาชนนี้ได้เผอิญมาเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการเสียชีวิตของนิธิ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทในบริบทการเมืองช่วง 50 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่หลัง 14 ตุลาคม 2516 จนถึง 14 พฤษภาคม 2566 สำหรับแวดวงปัญญาชนและคนที่มีวิชาชีพเป็นนักวิชาการ โดยเฉพาะนักวิชาการที่อยากเป็นปัญญาชนสาธารณะหรือนักวิชาการเชิงวิพากษ์อย่างที่นิธิได้ทำมา เราต้องตั้งคำถามกันต่อไปว่าเราจะทำบทบาทนั้นในขั้นต่อไปภายใต้ประวัติศาสตร์หน้าใหม่นี้อย่างไร เช่น เราต้องกล้าท้าทายมากกว่านี้ไหม ไปให้สุดกว่านี้ไหม หรือว่าเราควรจะค่อย ๆ เก็บเกี่ยวไปทีละคำโดยไม่รุนแรงเกินไป ผมเชื่อว่าคำตอบคงมีหลายอย่างและเราไม่จำเป็นต้องหาคำตอบเดียว นอกจากนี้การที่เราจะเห็นคำตอบได้ เราก็ต้องเข้าใจสิ่งที่นิธิทำมาให้มากกว่านี้ด้วย และสุดท้าย ผมบอกได้แค่ว่าบทบาทท่าทีของปัญญาชนนั้นแยกไม่ขาดจากความสัมพันธ์กับสถาบันทางสังคมอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นบริบทที่กำลังจะเดินไปข้างหน้าต่อไป

ในวันที่นิธิเสีย ผมรู้สึกหวิวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้ง ๆ ไม่ได้เป็นอะไรกับผมเลยและผมก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมรู้สึกหวิวขึ้นมา ผมสามารถรู้สึกได้ถึงช่องว่างหรือหลุมขนาดใหญ่ที่หายแวบลงไป สำหรับผมอาจารย์นิธิไม่ได้ทำให้ร้องไห้หรือเสียน้ำตา แต่ทำให้ผมรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันเรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตทางปัญญาที่เราอยู่กันมาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ผมเป็นคนหนึ่งที่โตมาในภาวะที่มีนิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันทางสังคมที่ผมเองมีชีวิตเป็นปัญญาชนนักวิชาการอยู่ และวันนี้สิ่งนั้นได้หายไปแล้ว 

เราเสียบางอย่างที่ยิ่งใหญ่…

นักศึกษาวารสาร ผู้ชื่นชอบการเขียน การหาข้อมูลและการถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม สนใจประเด็นทางสังคม โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และศิลปะวัฒนธรรมในชุมชน

นลินี ค้ากำยาน
นลินี ค้ากำยาน
นักศึกษาวารสาร ผู้ชื่นชอบการเขียน การหาข้อมูลและการถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม สนใจประเด็นทางสังคม โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และศิลปะวัฒนธรรมในชุมชน

More like this
Related

นักกิจกรรมเชียงใหม่จัด Run2Free ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ’ ร้องหยุดจองจำผู้เห็นต่าง ไม่ลืมเพื่อนในเรือนจำ

25 ตุลาคม 2568 กลุ่มเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ จัดกิจกรรม ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ X ยืนหยุดขัง Run2Free’...

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...

แรงงานภาคเหนือ ยื่นข้อเสนอถึงกระทรวงแรงงาน ‘Decent Work’ เรียกร้องยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

24 ตุลาคม 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอ Decent Work หรือ งานที่มีคุณค่า...

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...