เรื่อง: วรรณวิษา พะเลียง ภาพ: พิมลวรรณ ปานทุ่ง
23 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิทำทาง ร่วมกับสองสถานบริการทำแท้งปลอดภัยในจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ คลินิกเวชกรรมสมาคมเเผนครอบครัว (สวท.) เเละคลินิกเวชกรรมชุมชน สมาคมพัฒนาประชากรเเละชุมชน (PDA) เชียงใหม่ เปิดวงสนทนา Chiang Mai Abortion Access ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อเเลกเปลี่ยนประเด็นการทำแท้งในเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมเชียงใหม่ ณ ศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สิทธิที่กว้างขึ้นในกฎหมายยุติการตั้งครรภ์ 2564

พัชราภรณ์ ลีปรีชา ตัวเเทนจาก สวท. เเละ เนติมา สำราญ จาก PDA อธิบายวิธีการยุติการตั้งครรภ์ในปัจจุบันที่สถานบริการดำเนินอยู่หลักๆ ได้แก่ การดูดสุญญากาศ (Manual Vacuum Aspiration – MVA) ซึ่งปลอดภัยเเละมีประสิทธิภาพมากกว่าการขูดมดลูกแบบเดิม เเละการใช้ยา สำหรับอายุครรภ์ไม่เกิน 10 – 12 สัปดาห์ โดยขึ้นอยู่กับการประเมินของเเพทย์ผู้รักษา ซึ่งเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูงเเละมีประสิทธิภาพ มีอัตราเเท้งสมบูรณ์ถึง 98% แต่ยังมีข้อควรระวังในกรณีผู้ที่เคยผ่าคลอด หรือมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ รวมถึงโอกาสผิดพลาดตามธรรมชาติของยาหรือยาออกฤทธิ์ไม่สมบูรณ์ 2-5%
ดังนั้นเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อบริการยุติการตั้งครรภ์ วงสนทนานี้ได้เชื่อมโยงข้อมูลทางการแพทย์กับกรอบทางกฎหมายที่เปิดกว้างมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะหลังการปรับแก้กฎหมายทำแท้ง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเข้าถึงบริการอย่างปลอดภัยและลดการตีตราทางสังคม สาระสำคัญของกฎหมายทำแท้งฉบับแก้ไขใหม่ พ.ศ. 2564 กล่าวสรุปได้ว่า มาตรา 301 ยกเลิกความผิดทางอาญาทุกกรณีแก่ผู้ยุติการตั้งครรภ์ในอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ และมาตรา 305 ขยายเงื่อนไขการรับบริการที่ถูกกฎหมายโดยแพทย์ให้ครอบคลุมทั้ง 1) กรณีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ สามารถเข้าถึงบริการได้ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม, 2) อายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ สามารถรับบริการได้หลังรับคำปรึกษาทางเลือก, 3) หากถูกข่มขืน ล่วงละเมิด/ ตัวอ่อนพิการ/ หรือการตั้งครรภ์ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย-ใจ สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อยุติการตั้งครรภ์ได้โดยไม่มีเพดานบังคับเรื่องอายุครรภ์
สิทธิ สปสช. – ประกันสังคม กฎหมายเปิด เเต่การใช้สิทธิยังติดขัด

สุพีชา เบาทิพย์ จากมูลนิธิทำทางกล่าวถึง สิทธิการรักษาที่เกี่ยวข้องกับบริการยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัยว่า ปัจจุบันมีหน่วยงานรัฐที่เข้ามาช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้ประชาชนรับบริการฟรีถึง 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และประกันสังคม โดย สปสช. รับหน้าที่ดูแลค่ายุติการตั้งครรภ์สำหรับคนไทยทุกคน ทุกสิทธิรักษา ในอัตราครั้งละ 3,000 บาทภายใต้งบประมาณสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P: Protection and Prevention) ซึ่ง สปสช. ตีความว่าการรับบริการทำแท้งปลอดภัยเป็นการป้องกันอันตราย (ป้องกันการเจ็บป่วย) จากการทำแท้งเถื่อนนั่นเอง
โดยทั่วไป งบประมาณ P&P ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าครอบคลุมถึงการยุติการตั้งครรภ์ในอายุครรภ์เท่าไหร่บ้าง แต่ในทางปฏิบัติ ค่าใช้จ่ายนี้มักครอบคลุมถึงการยุติการตั้งครรภ์เพียงกรณี 12 สัปดาห์ ทำให้
ในกรณีที่อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ อาจมีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติมที่ P&P ไม่ครอบคลุมที่ประชาชนต้องกลับไปใช้สิทธิรักษาตามปกติของตัวเอง (ได้แก่ บัตรทอง หรือประกันสังคม หรือข้าราชการ) เช่น ค่าแอดมิดโรงพยาบาล ซึ่งในกรณีของผู้มีประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมได้ออกประกาศแล้วว่า โรงพยาบาลประกันสังคมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนเกินให้ โดยให้คนไข้ที่ต้องการใช้สิทธิสามารถขอรับบริการที่โรงพยาบาลประกันสังคมภายใต้สิทธิรักษาพยาบาลทั่วไปตามปกติ
แม้จะมีหน่วยงานรัฐที่เข้ามารองรับค่าใช้จ่าย แต่ในทางปฏิบัติยังพบปัญหาหลายประการ เช่น ขั้นตอนการดำเนินการที่ล่าช้า การถูกปฏิเสธการรักษาจากโรงพยาบาลเเละไม่ออกใบส่งตัวให้ไปรับบริการที่อื่น การถูกเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มโดยสถานพยาบาลอ้างว่าสิทธิประกันสังคมไม่ครอบคลุมการทำเเท้ง รวมถึงปัญหาความกังวลใจของคนไข้บางรายเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้เลือกปฏิเสธการใช้สิทธิ ด้านสถานบริการเอกชนที่ไม่เข้าร่วมสิทธิ สปสช. ก็แสดงความกังวลเรื่องปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายย้อนหลังจากกระบวนการทำงานที่ซับซ้อน
อคติของสังคม อุปสรรคใหญ่เเม้กฎหมายจะเปิด
ในวงสนทนายังระบุว่า ทัศนคติว่าด้วยการยุติการตั้งครรภ์ ยังเป็นกำแพงใหญ่ที่สุด ทั้งในกลุ่มบุคลากรทางการเเพทย์เเละสาธารณชน เเม้กฎหมายจะเปิดกว้าง แต่ยังคงให้อำนาจแพทย์มีสิทธิชี้ขาดว่าจะให้บริการหรือไม่ ทำให้ผู้รับบริการจำนวนมากถูกปฏิเสธ และแม้ข้อบังคับแพทยสภาจะกำหนดว่าแพทย์ที่ไม่พร้อมให้บริการจะต้องส่งตัวคนไข้ไปยังสถานพยาบาลอื่นโดยไม่ล่าช้า แต่ในความเป็นจริงยังพบว่าแพทย์บางรายไม่ได้แนะนำสถานพยาบาลอื่นให้ ส่วนหนึ่งเพราะไม่ทราบว่าจะแนะนำไปที่ไหนบ้างที่ให้บริการ เนื่องจากสถานพยาบาลที่ให้บริการเองก็เผชิญกับอคติเรื่องการทำแท้งจนไม่กล้าประชาสัมพันธ์ และส่วนหนึ่งเพราะไม่เห็นด้วยกับบริการยุติการตั้งครรภ์ ทำให้ขั้นตอนการให้คำปรึกษา-ส่งต่อที่ควรเป็นไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นขั้นตอนที่ทำให้ผู้รับบริการถูกตำหนิตีตราหรือหน่วงบริการ
ตัวอย่างกรณีผู้ป่วยที่ถูกปฏิเสธสิทธิการยุติการตั้งครรภ์จากสถานบริการของรัฐ ในกรณีผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุจนติดเตียงไม่รู้สึกตัว และถูกล่วงละเมิดทางเพศ ครอบครัวไม่พร้อมแจ้งความ ซึ่งพบได้มากในกลุ่มผู้ถูกล่วงละเมิดที่เกิดความกังวลใจจนไม่ต้องการเผชิญอุปสรรคเพิ่มเติมจากกระบวนการทางกฎหมาย ส่งผลให้โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งปฏิเสธการให้บริการยุติการตั้งครรภ์ แม้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นการตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืน และกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องมีใบแจ้งความเพื่อเข้าถึงบริการทำแท้งในกรณีถูกล่วงละเมิดก็ตาม
นอกจากนี้ยังพบปัญหาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คนไข้ที่ถูกปฏิเสธการรักษาจากที่หนึ่ง ได้รับการส่งตัวไปยังสถานพยาบาลอีกที่หนึ่งล่าช้าจนอายุครรภ์เกินกว่าที่สถานพยาบาลปลายทางจะให้บริการได้ ทำให้ท้ายที่สุดไม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ ปัญหาค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูง ข้อจำกัดในการให้บริการของเเต่ละที่ ทั้งการจำกัดอายุครรภ์ที่ต่างกัน เครื่องมือเเละบริการในการรักษา ความกังวล ความทุกข์ใจของคนไข้ ความไม่มั่นใจของผู้ให้บริการ รวมถึงการเข้าร่วมสิทธิประกันสังคม และ สปสช. ที่ยังไม่ครอบคลุมทุกสถานบริการ
“ทำไมหลายสถานบริการยังไม่กล้าพูดชัดเจนว่ามีบริการทำแท้ง แม้กฎหมายจะอนุญาตแล้ว?”

พุธิตา ชัยอนันต์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ตั้งคำถามสำคัญ เเละคำตอบวนกลับมาที่ต้นเหตุเดิม คือ ทัศนคติของสังคม สถานบริการจำนวนมากไม่กล้าสื่อสารเพราะกังวลต่อภาพลักษณ์เมื่อเผชิญกับอคติเเละการตีตรา ส่งผลให้ประชาชนไม่รู้ว่ามีบริการอยู่จริง เเละเข้าถึงได้ไม่ทันเวลา
ทำให้สิทธิกลายเป็นจริงไม่ใช่เเค่ในกฎหมาย
จากวงสนทนาครั้งนี้ได้เสนอ 3 เเนวทางหลักๆ ร่วมกันเพื่อผลักดันให้สิทธิในการยุติการตั้งครรภ์ กลายเป็นความจริงของสังคมไม่ใช่เเค่ในกฎหมาย โดยมีข้อเสนอดังนี้
- เสนอให้สถานศึกษา มหาวิทยาลัยมีส่วนร่วมในการให้ความรู้ประเด็นการยุติการตั้งครรภ์ ทางเลือกสถานพยาบาล เพื่อรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นของนักศึกษา
- สื่อควรมีบทบาทในการสร้างความเข้าใจ ลดอคติ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในวันที่กฏหมายผ่านเเล้ว
- การผสานความร่วมมือของนักการเมืองเเละท้องถิ่น เพื่อสร้างเวทีการพูดคุย สร้างความเข้าใจในสังคม และเกิดการขยายบริการจริงในระดับท้องถิ่น
“ตอนนี้สังคมบีบให้เป็นภาระของผู้หญิง ทำอย่างไรจะปลดล็อก เเละชี้ใช้เห็นว่าไม่ใช่ปัญหาปัจเจกบุคคล เเต่เป็นปัญหาร่วมกันในสังคม”

ผศ. ดร.ไพบูลย์ เฮงสุวรรณ อาจารย์จากภาควิชาสตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มช. ทิ้งโจทย์สำคัญว่า “จะทำอย่างไรให้ผู้หญิงและสังคมตระหนักว่าร่างกายคือสิทธิของตนเอง” ซึ่งยังคงเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนประเด็นนี้ในสังคมไทย
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




