#เลือกอนาคตของเฮา จวนหมู่เฮาจาวเหนือไปก๋าประชามติรัฐธรรมนูญใหม่ วันเดียวกับเลือกตั้ง 8 ก.พ. 69

Date:

อย่างตี้ฮู้กั๋นว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดหื้อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นวันเลือกตั้ง แต่วันเดียวกั๋นนี้จะมี ‘ก๋านออกเสียงประชามติ’ ถามคำถามเกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทยว่า ‘ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่’

สำหรับคนเหนือ 17 จังหวัด เรื่องนี้บ่าใจ้เรื่องไกลตัวเพราะภาคเหนือมีประชากร 11,309,894 คน และมี ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 9,412,968 คน เทียบกับทั้งประเทศที่มีผู้มีสิทธิ 53,057,570 คน เต้ากับว่า เสียงคนเหนือกึดเป็น 17.74% ของทั้งประเทศ ซึ่งเป็นก้อนเสียงที่มีน้ำหนักพอจะกำหนดอนาคตของหมู่เฮาจาวเหนือ หากออกมาใช้สิทธิอย่างพร้อมเพรียงกั๋น

แต่แห่มประเด็นตี้ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือเรื่อง ก๋านออกเสียงประชามตินอกเขต โดยเฉพาะ ‘คนบ้านไกล’ ตี้บ่าได้อาศัยอยู่ในเขตบ้านตัวเก่า เนื่องจากจนถึงตอนนี้ยังบ่ามีความชัดเจนว่าประชามติจะเปิดหื้อ ‘ออกเสียงล่วงหน้า’ แบบเดียวกับเลือกตั้งก่อ เพราะถ้าบ่ามีระบบล่วงหน้าอาจเหลือตางเลือกเดียวคือ ก๋านลงทะเบียนและไปออกเสียงแบบนอกเขตในวันแต้ 8 ก.พ. 2569 ซึ่งต้องรอประกาศรายละเอียดจาก กกต. แห่มรอบ ทั้งช่วงเวลาเปิดลงทะเบียน สถานที่ออกเสียง และขั้นตอนปฏิบัติ

คำถามสำคัญคือ ทำไมประเทศไทยต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และทำไมประชามติครั้งนี้ถึงสำคัญกับหมู่เฮา

เหตุผลหนึ่งตี้สำคัญมากเพราะ รัฐธรรมนูญ 2560 วางกติกาที่ทำหื้ออำนาจก๋านตัดสินใจยังคงอยู่ตี้ส่วนกลาง โดยเฉพาะเรื่องก๋านบริหารท้องถิ่นและก๋านจัดก๋านทรัพยากร ส่งผลหื้อหลายปัญหาในภาคเหนือถูกแก้ด้วยกระบวนก๋านที่ ช้า หลายขั้นตอนหลายตอน และติดเงื่อนไข ซึ่งหลายเรื่องจะเป็นปัญหาเฉพาะพื้นที่ตี้ต้องก๋านความรวดเร็วและต้องอาศัยความเข้าใจของคนท้องถิ่นเป็นหลัก

อย่างแรกตี้หันชัดก่อคือ รัฐธรรมนูญ 2560 บ่ามีคำว่า ‘กระจายอำนาจ’ แม้จะมีก๋านเขียนเรื่องก๋านปกครองท้องถิ่นไว้ แต่ก็มีเพดานด้วยคำห้อยท้ายว่าเป็นไป ‘ตามที่กฎหมายบัญญัติ’ ทำหื้อเวลาท้องถิ่นจะพัฒนาอะหยังในพื้นที่ยังต้องรอกรอบกฎหมายและก๋านอนุมัติจากส่วนกลาง ทำหื้อท้องถิ่นมีบทบาทเป็น ‘ผู้ทำตามโครงการ’ มากกว่า ‘ผู้ออกแบบทางออกของพื้นที่’ ทั้งๆ ที่มาจากก๋านเลือกของคนในพื้นที่

ผลกระทบกับภาคเหนือตี้หันได้ชัดตี้มักเป็นเรื่องข้ามจังหวัดและต้องบูรณาก๋านหลายหน่วยงาน เช่น ฝุ่นควัน PM2.5 และไฟป่า น้ำท่วม-น้ำแล้ง ที่ดินทับซ้อนในเขตป่าของรัฐ รวมถึงโครงสร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่เปราะบาง แต่เมื่อระบบยังรวมศูนย์อยู่ตี้ส่วนกลาง ก๋านตัดสินใจและงบประมาณก่อยังอยู่ที่ส่วนกลาง ทำหื้อก๋านแก้ปัญหาบ่ตันสถานการณ์ และบ่สอดคล้องกับความต้องก๋านของคนในพื้นที่

แห่มอย่างตี้เฮาต้องบ่าลืม รัฐธรรมนูญ 60 ยังมีบทบาทในกลไกทางก๋านเมือง ตี้ทำหื้อเจตจำนงของเฮาถูกขัดในช่วงสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ ส.ว. ชุดแต่งตั้งมีบทบาทสูงในโครงสร้างทางก๋านเมือง ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพและทิศทางก๋านเมืองระดับชาติที่ตี้หมู่เฮามักได้ฮับผลกระทบอยู่ซ้ำๆ 

ดังนั้น ประชามติครั้งนี้เลยบ่ใช่แค่ก๋านทำเครื่องหมาย ‘เห็นชอบ/ไม่เห็นชอบ’ แต่คือก๋านตอบคำถามใหญ่ว่า เฮาจะยอมอยู่กับกติกาเก่าตี้ทำหื้อหมู่เฮาอยู่ใต้อำนาจต่อไป หรือจะเปิดตางไปสู่รัฐธรรมนูญใหม่ที่ทำหื้อเสียงประชาชนมีความหมายมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องก๋านกระจายอำนาจ คุณภาพชีวิต และความสามารถของพื้นที่ในก๋านจัดก๋านปัญหาของตัวเอง

ทั้งนี้บ่ว่าจะตัดสินใจตางไหน สิ่งตี้สำคัญตี้สุดคือก๋านติดตามข้อมูลหื้อตัน และออกไปใช้สิทธิหื้อครบถ้วนทั้งเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติ เพราะผลของประชามติบ่าได้กระทบเฉพาะคนตี้เข้าคูหา แต่มันกระทบกับคนทั้งประเทศ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

#เลือกอนาคตของเฮา รวมสีสันศูนย์ประชามติภาคเหนือ หลายจังหวัดเริ่มแล้ว ก่อนกา ‘เห็นชอบ’ 8 ก.พ. 69

ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือเริ่มตั้ง ‘ศูนย์ประชามติ’ ในหลายจังหวัด โดยใช้พื้นที่ของเอกชนและชุมชนเป็นจุดทำงาน เช่น ร้านหนังสือ คาเฟ่...

มองบ้านใหญ่ภาคเหนือในเลือกตั้ง 69: 18 ตระกูลย้ายพรรค–22 ตระกูลปักหลักที่เก่า–อีก 3 ตระกูลก้าวจากท้องถิ่นสู่การเมืองระดับชาติ

‘บ้านใหญ่’ ไม่ได้หมายถึงครอบครัวที่เล่นการเมืองเพียงครอบครัวเดียว แต่หมายถึงเครือข่ายตระกูลการเมืองที่สืบทอดบทบาทและอิทธิพลต่อเนื่องยาวนาน โดยที่สมาชิกในเครือข่ายมักกระจายตัวอยู่ทั้งในสนามการเมืองท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้รับเหมางบประมาณ และภาคธุรกิจ  ในการเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้...

เมืองที่ ‘ทุกคนต้องมีรถ’ ถึงจะใช้ชีวิตได้ ชีวิตคนพิจิตรในวันที่ขนส่งสาธารณะจังหวัดพึ่งพาไม่เคยได้

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: ภูบดี หิรัญวิวัฒน์วงศ์ แม้ในต่างจังหวัด ผู้คนยังคงต้องพึ่งพาขนส่งสาธารณะในชีวิตประจำวัน แต่ระบบที่ควรทำหน้าที่รองรับกลับค่อยๆ หดเล็กลงเรื่อยๆ...

เด็กหนึ่งคนคืออนาคตของหลายสังคม สิทธิการศึกษาเด็กไร้พรมแดนจากเมียนมา ที่ ‘เรียนได้’ แต่ ‘ไปต่อไม่ได้’

เรื่อง: กุลธิดา กระจ่างกุล  ท่ามกลางรอยแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศ ไปจนถึงเส้นแบ่งสถานะทางสังคม ‘การศึกษา’ ถูกยกให้เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างความเสมอภาคแก่ผู้คน แต่สำหรับเด็กข้ามชาติและเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทย การศึกษาอาจ...