64 ปีแอมเนสตี้ จุดเทียนกลางวิกฤตที่ท้าทายของสิทธิมนุษยชน

27 พฤษภาคม 2568 แอมเนสตี้ ประเทศไทย ได้จัดกิจกรรม Amnesty Regional Meet Up 64 ปี แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล “The State of the World’s Human Rights” ณ The Goodcery Space จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 17.00 – 20.30 น. โดยกิจกรรมนี้ เป็นการนำเสนอภาพรวมสถานการณ์สิทธิมนุษยชนใน ประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญและนักเคลื่อน ไหวทางสังคม ไปพร้อมกับการเฉลิมฉลองครบ 64 ปี แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล โดยมี ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยภูมิภาค แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และ บัญชา ลีลาเกื้อกูล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ ประเทศไทย ดำเนินรายการโดย กรรณิกา เพชรแก้ว สื่อมวลชนอิสระ

โลกในวิกฤตสิทธิมนุษยชน

บัญชา ลีลาเกื้อกูล เผยถึงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนโลก ในช่วงปี 2567 จนถึงต้นปี 2568 ว่าโลกกำลังเผชิญวิกฤตของสงคราม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา และการใช้อำนาจนิยม ส่งผลให้ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนพังทลายลง ผู้ลี้ภัยทั่วโลกกว่า 110 ล้านคนต้องอยู่ในสถานะพลัดถิ่น อย่างน้อย 21 ประเทศมีกฎหมายจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก

“เห็นจากรายงานการส่งกลับนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ ที่ออกมาประท้วงหรือเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ลี้ภัยให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบในฉนวนกาซา มีการเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดส่งอาวุธให้กับอิสราเอลและเรียกร้องให้หยุดการใช้อาวุธเพื่อสังหารชาวปาเลสไตน์ เหล่านี้เป็นเหตุผลของผู้ได้รับผลกระทบในฉนวนกาซาที่ไม่ใช่ประชาชนของประเทศสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการถูกส่งกลับ ต้องเผชิญกับการเพิกถอนวีซ่า ถึงแม้ผู้ที่มีสถานะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร (Permanent residence) ก็ถูกเพิกถอนใบอนุญาต อันนี้เป็นปัญหาสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้”

บัญชายังกล่าวถึง การที่รัฐเซียยังคงดำเนินการโจมตียูเครนอย่างต่อเนื่อง  ท่ามกลางสงครามที่ยืดเยื้อโดยไม่มีสัญญาณยุติความขัดแย้ง ขณะเดียวกันความขัดแย้งในทวีฟแอฟริกาโดยเฉพาะในซูดานก็ส่งผลกับพลเรือนนับล้านคน อาทิ ที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน ซึ่งกลไกด้านมนุษยธรรมไม่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ อันเป็นผลมาจากความล้มเหลวด้านโครงสร้างทางการเมือง อีกมุมถือเป็นความล้มเหลวของคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติด้วย เช่นกัน 

ในรายงานของแอมเนสตี้ปี 2567-2568 ระบุว่าประเด็นปราบปรามผู้เห็นต่างที่ใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม โดยการจำกัดสิทธิเสรีภาพในบังคลาเทศ ปากีสถาน ได้เกิดขึ้นรวมถึงการใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมเป็นเครื่องมือกล่าวโทษผู้ชุมนุม มีการสั่งยุบ NGOs โดยใช้ข้อกล่าวหาว่าองค์กร NGOs  หรือพรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเป็นองค์กรผู้ก่อการร้ายที่ก่อการไม่สงบให้กับชาติ รวมไปถึงความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม ประเทศที่มีรายได้น้อยต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยประเทศตัวเอง ต้องยอมรับข้อเสนอกับประเทศมหาอำนาจให้เข้ามาดูแลและจัดการทรัพยากรอันสร้างผลกระทบต่อชุมชนและความเป็นอยู่ของชุมชนรากหญ้า ซึ่งเป็นปัญหาด้านความยุติธรรมที่เกิดขึ้นในกระบวนการปฏิรูปการพัฒนาสิ่งแวดล้อม

“การล่มสลายของสิทธิมนุษยชนไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การรวมตัวของภาคประชาสังคมสามารถแสดงถึงพลังเพื่อสร้างเสริมสิทธิมนุษยชนได้เพื่อส่งเสียงให้ภาครัฐให้ความสนใจกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ”

ขณะเดียวกันชาติตะวันตกหลายประเทศเองก็ทำให้กลไกระหว่างประเทศอ่อนแอ หลายประเทศปราบปรามผู้เห็นต่าง กล่าวหาผู้ชุมนุมว่าเป็นผู้ก่อการร้าย มีการเลือกปฏิบัติผู้ลี้ภัยและการใช้สปายแวร์ (Spyware) สอดแนมทางออนไลน์กับกลุ่มความหลากหลายทางเพศ การกลับมาของรัฐบาลบางประเทศทำให้ตัดงบสนับสนุนด้านสิทธิมนุษยชน

บัญชายังเปิดประเด็นสำคัญว่า พวกเราพร้อมหรือยังที่จะเป็นเสียงหนึ่งในขบวนการขับเคลื่อนครั้งนี้ในฐานะของประชาชนโลก Global Solidarity  หรือยังภายในความมืดบอดนี้ เพื่อสิทธิมนุษยชนที่เห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ความเหมือนที่ไม่แตกต่างของสิทธิมนุษยชนบนลุ่มน้ำโขง

ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ วิเคราะห์สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมียนมา โดยชี้ให้เห็นถึงลักษณะร่วมที่ฝังรากอยู่ในโครงสร้างทางการเมืองและประวัติศาสตร์ของภูมิภาค ทั้งจากยุคล่าอาณานิคม สงครามเย็น ไปจนถึงการปกครองแบบอำนาจนิยม ซึ่งสะท้อนผ่านสองปัญหาหลัก คือ การไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง และแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ละเมิดสิทธิของชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ในกรณีกัมพูชา แม้จะมีการเปลี่ยนผ่านจากสมเด็จฮุน เซน สู่ฮุน มาเนต บุตรชายคนโต แต่ทิศทางด้านสิทธิมนุษยชนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง การควบคุมเสรีภาพการแสดงออกยังดำเนินต่อไป ขณะเดียวกันแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เผยแพร่งานวิจัยเมื่อปี 2566 เกี่ยวกับกรณีการไล่รื้อชุมชนในเขตนครวัดเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยประชาชนที่ถูกขับไล่ต้องย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่ขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานขั้นพื้นฐาน เช่น น้ำสะอาดและสุขาภิบาล และหากมีใครต่อต้านก็จะถูกข่มขู่จนต้องยอมจำนน

สำหรับเวียดนาม แม้จะมีการเปลี่ยนผู้นำ 4 ตำแหน่งสำคัญในปี 2567 ได้แก่ ประธานาธิบดี เลขาธิการพรรค นายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภา แต่แนวทางด้านสิทธิมนุษชนยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เสรีภาพในการแสดงออกยังถูกจำกัด นักเคลื่อนไหวทางสังคมและสิ่งแวดล้อมหลายรายถูกจับกุมภายใต้ข้อหาต่อต้านรัฐ ขณะเดียวกัน ชนกลุ่มน้อยชาวมองตานญาดก็ถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้าย ซึ่งสร้างความกังวลถึงการตีตราความเห็นต่างว่าเป็นภัยความมั่นคง

ลาวเองก็เผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่แตกต่างมากนัก ประเทศยังตกอยู่ภายใต้วิกฤตเสรีภาพทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรง ประชาชนไม่สามารถวิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเปิดเผย แม้จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลเลือกที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการตัดงบประมาณด้านบริการสาธารณะ เช่น สวัสดิการแรงงานและระบบสาธารณสุข ทำให้สถานการณ์ความเป็นอยู่ของประชาชนแย่ลงอย่างต่อเนื่อง

ในเมียนมา สถานการณ์สิทธิมนุษชนย่ำแย่ลงอย่างมากนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564 ประเทศตกอยู่ในภาวะความขัดแย้งทางอาวุธอย่างต่อเนื่อง มีการสังหารพลเรือน การทรมานนักกิจกรรม การโจมตีพื้นที่พลเรือน รวมถึงการใช้โดรนในการสังหารหมู่ชาวโรฮิงญา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปี นอกจากนี้ยังมีการโจมตีและทำลายสถานศึกษา โรงเรียนหลายแห่งถูกปิด เด็กและเยาวชนจำนวนมากเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากปฏิบัติการของกองทัพ

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า ความรุนแรงในเมียนมาควรได้รับการประเมินและจัดการภายใต้กรอบของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศควบคู่กับกฎหมายมนุษยธรรม เนื่องจากมีการละเมิดสิทธิในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การควบคุมตัวผู้เห็นต่างโดยมิชอบ การปราบปรามเสียงของประชาชน ไปจนถึงการทำลายสาธารณูปโภคพื้นฐาน

ในขณะที่กลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐในเมียนมาก็มีพฤติกรรมละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน อีกด้านหนึ่ง ไทยและบริษัทพลังงานไทยมีบทบาทในความขัดแย้ง ผ่านการสนับสนุนทางเศรษฐกิจแก่รัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งยิ่งซ้ำเติมวิกฤตให้ยืดเยื้อและยากต่อการหาทางออก

เรือนจำในเมียนมาเป็นอีกประเด็นสำคัญ นักข่าวและนักกิจกรรมจำนวนมากถูกควบคุมตัวโดยไม่มีการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม และมีรายงานผู้เสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว ซึ่งสะท้อนถึงความรุนแรงของการละเมิดสิทธิในระบบเรือนจำ

ชนาธิปสรุปว่า รัฐบาลในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงมีแนวโน้มปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันในการควบคุมเสรีภาพการชุมนุมและการแสดงออก โดยอาศัยกฎหมายลักษณะเดียวกันเป็นเครื่องมือ และมีการแลกเปลี่ยนแนวทางกันในนามของความมั่นคง แม้รายละเอียดของความร่วมมือเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ เขาเสนอว่า ความร่วมมือระหว่างรัฐในภูมิภาคควรตั้งอยู่บนหลักการของการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่การร่วมมือกันจำกัดหรือปราบปรามสิทธิของประชาชน พร้อมทั้งเรียกร้องให้สังคมไทยจับตาท่าทีของรัฐบาลในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด และร่วมกันส่งเสียงในเชิงสร้างสรรค์เพื่อไม่ให้กลไกความมั่นคงกลายเป็นเครื่องมือปิดปากผู้คน

ชนาธิปยังตั้งข้อสังเกตว่าความเข้าใจของประชาชนไทยต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศเพื่อนบ้านยังอยู่ในระดับต่ำ จึงจำเป็นต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้ที่กว้างขวางและการมีส่วนร่วมที่รู้เท่าทัน ในการปกป้องสิทธิมนุษยชนร่วมกันในระดับภูมิภาค

ชี้ ไทยก้าวหน้าเรื่องสิทธิหลากหลายทางเพศ แต่ยังละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง

บัญชายังเปิดเผยถึงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยช่วงปี 2567–2568 ว่าแม้จะมีความคืบหน้าในด้านนิติบัญญัติ เช่น การผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศที่ 38 ของโลกที่รับรองสิทธิในการสมรสของคู่รักทุกเพศ แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายด้านยังคงดำเนินอยู่และน่ากังวล

รายงานระบุว่า หนึ่งในกรณีสำคัญคือการส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับประเทศต้นทาง ทั้งที่ยังมีความเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง ถือเป็นการละเมิดหลักการไม่ผลักดันกลับ (non-refoulement) ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน การใช้มาตรา 112 เพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกยังดำเนินอยู่ โดยระหว่างปี 2563–2566 มีคดีความเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงความคิดเห็นถึง 1,960 คดี เฉพาะในปี 2567 มีผู้ถูกดำเนินคดีอย่างน้อย 22 คน และถูกควบคุมตัว 33 คน โดยในจำนวนนี้ 30 คนถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 นอกจากนี้ การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เห็นชอบให้ยุบพรรคก้าวไกล ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของการคุกคามนักการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งหากสังคมยังไม่ลุกขึ้นพูด การละเมิดก็จะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

บัญชาได้เสนอแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการปฏิรูปกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิและลดการเลือกปฏิบัติ ทั้งการผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิความหลากหลายทางเพศ การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ และการแก้ไข พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อยกเลิกข้อยกเว้นตามศาสนาและความมั่นคงของชาติ พร้อมเรียกร้องให้ยุติการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจำกัดเสรีภาพ โดยเฉพาะมาตรา 112, 116, 326, 328 พ.ร.บ.การชุมนุม และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงเสนอให้ยกเลิกข้อกล่าวหาและลดการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมอย่างสงบ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้ความรุนแรงและการควบคุมตัวโดยพลการ

นอกจากนี้ บัญชายังเสนอให้ปรับระบบการประกันตัวให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และยุติการคุกคามนักปกป้องสิทธิในโลกดิจิทัล โดยเฉพาะต่อผู้หญิงและกลุ่ม LGBTI พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการใช้สปายแวร์ (spyware) อย่างโปร่งใส ห้ามใช้เทคโนโลยีที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัว และเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจากภาครัฐอย่างเป็นสาธารณะ

ในประเด็นการปกป้องนักสิทธิ บัญชาเสนอให้ออกกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิและต่อต้านการใช้กฎหมายฟ้องปิดปาก (SLAPP) อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเรียกร้องให้รัฐสอบสวนทุกกรณีของการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม และยกเลิกวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด โดยเสนอให้ยกเลิกอายุความในคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง และเยียวยาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบอย่างเป็นธรรม

ในด้านกฎหมายความมั่นคง บัญชาเสนอให้แก้ไข พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก รวมถึงปรับปรุง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมเรียกร้องให้รัฐยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการถูกทรมาน เช่นกรณีชาวอุยกูร์ และยุติการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยโดยพลการ

ส่วนในประเด็นสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง บัญชาย้ำว่า รัฐควรยุติการผลักดันกฎหมายที่ละเมิดสิทธิชุมชนดั้งเดิม และฟังเสียงของชุมชนท้องถิ่นอย่างจริงจัง

ท้ายที่สุด บัญชาเรียกร้องให้ประเทศไทยเดินหน้าฟื้นฟูและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ และรับฟังเสียงของประชาชนจากทุกภูมิภาคของประเทศอย่างแท้จริง เพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคนอย่างแท้จริง

เทียนแห่งความหวัง 64 ปี แอมเนสตี้

ในช่วงท้ายของกิจกรรม ผู้เข้าร่วมได้ร่วมกัน “จุดเทียนแห่งความหวัง” เพื่อส่งพลังใจและยืนหยัดเคียงข้างผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษชนในเมียนมา สะท้อนจุดยืนร่วมของผู้คนที่ไม่ยอมให้ความอยุติธรรมดำรงอยู่ในความเงียบ พร้อมกันนั้น ยังมีการ “ชูแก้วเพื่อเสรีภาพ” ในบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 64 ปีของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งไม่เพียงเป็นวาระสำคัญขององค์กร แต่ยังเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างเครือข่าย แบ่งปันประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนคุณค่าของสิทธิมนุษยชนให้ดังกึกก้องยิ่งขึ้นบนโลกที่กำลังเผชิญความท้าทาย

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง