28 พฤษภาคม 2568 คณะอนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค และเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) แถลงผลการทดสอบสารพิษตกค้างจากการสุ่มตรวจผัก-ผลไม้นำเข้าจากด่านเชียงของ จังหวัดเชียงราย เมื่อ 3 เมษายน 2568 โดยระบุว่าพบ 7 ใน 10 ของกลุ่มตัวอย่าง มีสารพิษเกินมาตรฐาน
ผลการทดสอบพบว่ามีสารเคมีตกค้างถึง 37 ชนิด โดยเฉพาะ ‘สารคลอร์ไพริฟอส’ ตกค้างถึง 0.78 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งสารชนิดนี้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ที่ไทยห้ามใช้ เนื่องจากอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ ทั้งก่อมะเร็ง รบกวนฮอร์โมน เป็นพิษต่อประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบภูมิคุ้มกัน
ทั้งนี้ มีเพียงกะหล่ำปลีเท่านั้นที่ไม่พบสารตกค้าง ผักกาดขาวและหัวไชเท้าพบสารพิษในปริมาณที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ส่วนผักที่เหลือพบสารพิษเกินมาตรฐานทั้งหมด
ด้าน สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ระบุว่า ผู้บริโภคอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัย โดยเสนอให้ปรับปรุงระบบ 6 ประเด็น คือ
1.การเพิ่มงบประมาณและกำลังคน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาต้องการทรัพยากรเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการตรวจสอบอาหารนำเข้าได้อย่างเพียงพอ
2.การสร้างระบบการรับรอง ใช้ระบบการรับรองจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล
3.การพัฒนาระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือน จัดตั้งระบบเฝ้าระวังที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเพื่อการแจ้งเตือนอาหารไม่ปลอดภัย
4.การกำหนดบทลงโทษ จัดทำมาตรการลงโทษที่เข้มงวดสำหรับผู้นำเข้าสินค้าไม่ปลอดภัย
5.การตรวจสอบต้นทาง ดำเนินการตรวจสอบแหล่งผลิตอาหารก่อนการนำเข้า
6.การดำเนินการเรียกคืนสินค้าที่ไม่ปลอดภัย จัดให้มีระบบเรียกคืนสินค้าปัญหาที่อยู่ในตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ปรกชล อู๋ทรัพย์ อนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ เปิดเผยว่า หน้าด่านยังขาดเครื่องมือที่ทันสมัยและระบบจัดการเบ็ดเสร็จ ทำให้ผักผลไม้มีสารพิษหลุดเข้าตลาด โดยเสนอให้เร่งตั้งระบบ “แจ้งเตือน-เรียกคืน” สินค้าไม่ปลอดภัย กำหนดให้สินค้านำเข้ามีฉลากภาษาไทยชัดเจน
“คนที่ตรวจเจอสารพิษตั้งแต่หน้าด่าน ควรมีอำนาจปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ หากสินค้าหลุดเข้าตลาดแล้ว ต้องมีระบบติดตามและเรียกคืนจากผู้บริโภคได้ทันที”
เช่นเดียวกับ นิฟาริด ระเด่นอาหมัด ประธานคณะอนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค ที่เสนอให้ผลักดันระบบตรวจสอบย้อนกลับต้นทาง ลงพื้นที่ตรวจฟาร์มผู้ผลิตโดยตรง เพื่อควบคุมคุณภาพแบบ One Stop เพิ่มบุคลากรและศักยภาพตรวจสอบ ส่งเสริมการผลิตพืชผักทดแทนในประเทศ และสร้างรายได้เกษตรกรไทย
“การบริหารจัดการอย่างสมดุลระหว่างความปลอดภัยผู้บริโภคกับความสะดวกการค้าขาย จะเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งระบบ”
นอกจากนี้ยังเสนอให้ปรับปรุงพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ที่ใช้มา 46 ปี ให้สอดรับบริบทอาหารยุคใหม่ สร้างสมดุลระบบการค้าชายแดนด้วยมาตรฐานเดียวกันทั้งฝั่งนำเข้าและส่งออก
ผักจีนทะลักเข้าไทย แต่เกษตรกรไทยกลับต้องปล่อยผลผลิตทิ้ง
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยเส้นทางการนำเข้าผักและผลไม้จากจีนที่ผ่านด่านศุลกากรเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยระบุว่า เส้นทางหลักที่ใช้ในการขนส่งคือ เส้นทางสายไหม (R3A) ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างเมืองคุนหมิงของจีนผ่านสปป.ลาว มายังด่านเชียงของ จากนั้นจะกระจายสินค้าไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย โดยมีเส้นทางกระจาย ดังนี้
ตลาดค้าส่งในภาคกลาง ถูกขนส่งไปยังตลาดขนส่งขนาดใหญ่ของภาคกลาง เช่น ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง และตลาดไอยรา ซึ่งมีการลงทุนจากผู้ค้าชาวจีนในการเช่าพื้นที่และสร้างห้องเย็นเพื่อเก็บรักษาสินค้า
การกระจายสู่ภูมิภาคอื่นๆ จากตลาดค้าส่งหลัก สินค้าจะถูกกระจายต่อไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศผ่านพ่อค้าคนกลาง รถเร่ หรือรถพุ่มพวง ทำให้ผักและผลไม้จากจีนเข้าถึงผู้บริโภคในทุกภูมิภาคของไทย
ข้อมูลจาก PPTV online ระบุว่า จากการสำรวจตลาดสดแม่กิมเฮง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 พบการนำเข้าผักและผลไม้จากจีนอย่างคึกคัก โดยสาเหตุที่ทำให้ผลไม้จากจีนได้รับความนิยมในตลาดแห่งนี้ คือราคาที่ถูกกว่า และมีรูปลักษณ์หรือสีสันที่สวยงามมากกว่าสินค้าไทย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การค้าเกษตรในประเทศกลับน่าเป็นห่วง โดยรายงานจากสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า ในเดือน เมษายน 2568 ประเทศไทยนำเข้าสินค้าเกษตรโดยเฉพาะผักและผลไม้มากถึง 36,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 870 ล้านบาท ถือว่าเป็นการนำเข้าในระดับที่สูงมาก
ในขณะเดียวกัน เกษตรกรไร่พริกในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ กลับต้องเผชิญปัญหาราคาพริกตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี จากพริกยำขาวที่เคยขายได้กิโลกรัมละ 20-30 บาท ร่วงเหลือเพียง 5-6 บาทในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2568 ทำให้หลายครัวเรือนไม่คุ้มทุนเก็บเกี่ยว ต้องปล่อยผลผลิตเน่าคาแปลง หรือถอนต้นพริกทิ้งกลางไร่ ส่งผลให้เกิดหนี้สินซ้ำซ้อน โดยยังไม่มีหน่วยงานรัฐใดเข้ามาช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม
เช่นเดียวกับ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียมในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ประสบปัญหาราคากระเทียมตกต่ำอย่างรุนแรงและไม่มีพ่อค้ามารับซื้อ จนต้องออกมายื่นหนังสือเรียกร้องต่อผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ศาลากลาง และต่อ ส.ส.ในพื้นที่ เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งแก้ไข โดยเฉพาะการเรียกร้องให้ “ชะลอการนำเข้ากระเทียมจากต่างประเทศ” และ “พยุงราคากระเทียมไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 50 บาท” เมื่อ 22 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนความเหลื่อมล้ำในระบบการค้าเกษตรของไทย ที่แม้การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเกษตรกรในประเทศที่ขาดการดูแลอย่างทั่วถึงจากภาครัฐ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...