เรื่องและภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
เย็นวันที่ 27 มิถุนายน 2568 หน้าคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลายเป็นพื้นที่เปิดสำหรับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่มารวมตัวกันในกิจกรรม ‘Myanmar Film Tour 2025’ จุดหมายสุดท้ายของการเดินทางทัวร์ปีนี้ ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในโอกาส วันผู้ลี้ภัยสากล ภายใต้ความร่วมมือของ เสมสิกขาลัย, เพื่อนไร้พรมแดน, แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และเครือข่าย
กิจกรรมในค่ำคืนนี้ไม่เพียงเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้ชมหนังสั้น 7 เรื่องที่สะท้อนมุมมองหลากหลายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย แต่ยังเป็นพื้นที่ให้ร่วมกันยืนหยัด สนับสนุน และทำความเข้าใจเรื่องราวการหลบหนีที่ซับซ้อนยิ่งกว่าที่หลายคนเคยรับรู้ ทั้งจากสงคราม การกดปราบโดยเผด็จการทหาร ภัยธรรมชาติ และอคติที่ฝังรากลึกในสังคม





ภายในงานยังมีอาหารหลากหลายเชื้อชาติจากเมียนมาให้เลือกชิม พร้อมเสียงเพลงจากศิลปิน ชวด สุดสะแนน ที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้คนผ่านบทเพลง และเวทีสนทนาส่งท้ายของทัวร์หนังในประเด็น ‘Mixed Migration, Mixed Emotion, and the Future of Myanmar Refugees in Thailand?’ ที่ชวนตั้งคำถามและร่วมกันมองอนาคตของผู้ลี้ภัยในสังคมไทย โดย ดร.ศิรดา เขมานิฏฐาไท อาจารย์ประจำสำนักวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, Nan Chon Chon Kyaw Core Member of Burma Students’ Association – CMU และ Andrew Wai Phyo Kyaw ผู้ดำเนินรายการ
แรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย กับกำแพงอคติในสังคมไทย
ศิรดา ได้พูดถึงปัญหาความเกลียดชังและอคติต่อผู้ลี้ภัยจากเมียนมาในสังคมไทยว่า ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์เท่านั้น ส่วนหนึ่งของอคติเหล่านี้มีความเชื่อมโยงมาจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง ทำให้หลายคนรู้สึกว่าทรัพยากรและโอกาสไม่เพียงพอ ความกังวลเรื่องปากท้องและความกดดันของคนไทยเอง ส่งผลให้มีแนวโน้มจะมองเพื่อนบ้านหรือแรงงานข้ามชาติเป็นตัวปัญหา หรือ แพะรับบาป โดยไม่รู้ตัว
ขณะเดียวกัน กระแสชาตินิยมที่ฝังแน่นในสังคมไทย รวมถึงข้อมูลบิดเบือนและคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ที่เผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ ยิ่งเป็นส่วนซ้ำเติมปัญหา เนื่องจากความสะดวกและรวดเร็วในการส่งต่อข้อมูล ทำให้ในบางครั้งก็มักจะมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือคลาดเคลื่อนจากความจริง ทำให้คนจำนวนไม่น้อยไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริง อะไรเป็นความเข้าใจผิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อทัศนคติของคนไทยที่มีต่อชาวเมียนมา และยิ่งทำให้ความพยายามในการแก้ไขปัญหาหรือผลักดันนโยบายด้านสิทธิของแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยเป็นไปอย่างยากลำบาก
“สิ่งที่เกิดขึ้นในไทย ไม่ได้ต่างจากหลายประเทศทั่วโลก ที่แนวคิดต่อต้านผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ซึ่งยังยึดติดอยู่กับกรอบคิดเก่า เช่น ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับเมียนมา หรือความกังวลเรื่องการแย่งงาน”
ศิรดา ยังอธิบายอีกว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ แม้แต่คนที่ดูเหมือนจะก้าวหน้า หรือมีตำแหน่งหน้าที่ในระดับนโยบาย หลายคนยังมีอคติหรือทัศนคติเหมารวมอยู่ไม่น้อย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการแก้ปัญหาของผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติในระดับโครงสร้าง
“สิ่งแรกที่ทุกคนทำได้ คือการสื่อสารเชิงบวกกับคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่อาจยังไม่เข้าใจ หรือมีทัศนคติเป็นกลาง การโน้มน้าวคนเหล่านี้จะช่วยลดช่องว่างและลดอคติในสังคมได้มากกว่าการพยายามเปลี่ยนความคิดของคนที่ต่อต้านอย่างสุดโต่ง นอกจากนี้ สื่อมวลชน องค์กรภาคประชาสังคม และกลุ่มนักกิจกรรมยังมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดข้อมูลข้อเท็จจริง และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกัน”
อีกเรื่องที่ควรมองให้รอบด้าน คือ ไม่ใช่ทุกคนที่เดินทางออกจากเมียนมาจะเป็นผู้ลี้ภัยจากสงครามโดยตรง หลายคนออกมาเพราะไม่มีโอกาสในการใช้ชีวิตที่ปลอดภัยในประเทศตัวเอง ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ และระบบรัฐที่ล้มเหลว ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องออกมาเป็นแรงงานข้ามชาติ ไม่ว่าจะในรูปแบบที่ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายก็ตาม
“แต่ปัญหาที่ซ้อนอยู่คือ ระบบรองรับแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยของไทยยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะกรณีของผู้ลี้ภัยที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายรองรับ ทำให้คนกลุ่มนี้ตกอยู่ในความเสี่ยง ถูกเอาเปรียบ และไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิด้านแรงงาน หรือการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ”
สุดท้าย ศิรดา เน้นว่า หากต้องการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายจริงๆ สิ่งสำคัญคือการผลักดันให้คนที่มีอำนาจตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือผู้กำหนดนโยบาย เข้าใจปัญหาและเห็นความสำคัญของสิทธิผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติ ไม่ใช่แค่ทำให้เป็นกระแสเพียงช่วงสั้นๆ แต่ต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
เสียงจากเพื่อนบ้าน ความฝันที่ถูกบังคับให้เปลี่ยน
ด้าน Nan Chon Chon Kyaw นักศึกษาแลกเปลี่ยนจากเมียนมา เล่าประสบการณ์ของเธอด้วยน้ำเสียงจริงใจ เธอเคยมีความฝันเรียบง่าย อยากเรียนจบ อยากทำงานดีๆ อยากมีครอบครัวกับคนที่ตัวเองรัก แต่ความไม่มั่นคงในบ้านเกิดทำให้เธอต้องออกจากประเทศเพื่อหาชีวิตที่ปลอดภัยและมีโอกาส แม้จะต้องเสียใจที่ต้องจากครอบครัวมา แต่นั่นคือทางเลือกเดียว
เมื่อออกมาอยู่ข้างนอก จากแค่ฝันเล็กๆ ส่วนตัว กลายเป็นฝันที่อยากสร้างอะไรบางอย่างที่มีผลกระทบเชิงบวกให้กับประเทศตัวเองให้ได้มากขึ้น
เธอยังสะท้อนปัญหาช่องว่างด้านกฎหมาย โดยมองว่า ตัวเองโชคดีที่มาไทยในฐานะนักเรียน จึงได้รับวีซ่าและสถานะที่ชัดเจน แต่ผู้ลี้ภัยอีกจำนวนมากที่เข้ามาทำงานหรือเรียนในไทย กลับไม่ได้รับสิทธิพื้นฐาน เช่น ประกันสังคมหรือสวัสดิการใดๆ ซึ่งเปิดช่องให้ถูกนายจ้างเอาเปรียบ เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ควรเร่งหาทางแก้ไข
ในส่วนของ Performance Art ศิลปะแสดงสด “Silent Shadows” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้ลี้ภัยผ่านศิลปะการแสดงและเสียงดนตรี ว่าด้วยการหลบหนีที่ไม่ได้มีเพียงแค่จากสงคราม แต่ยังรวมถึงภัยจากธรรมชาติและอคติที่ไล่ล่าความเป็นมนุษย์ กำกับการแสดงโดย ซันโว – ธันรัตน์ ชีพนุรัตน์ แสดงโดย ประภัสสร คอนเมือง และบรรเลงดนตรีโดย วิศรุต ตาวินโน และ Mononoke Miyazaki
แม้ว่าค่ำคืนแห่งภาพยนตร์ เสียงเพลง และบทสนทนาในเชียงใหม่ครั้งนี้ อาจไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ทันที แต่การได้ยิน ได้เห็น และได้ร่วมกันตั้งคำถาม ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความเปลี่ยนแปลง ที่จะส่งเสียงไปถึงผู้มีอำนาจ และเตือนให้สังคมไทยไม่ลืมว่า ผู้ลี้ภัยไม่ใช่ตัวปัญหา แต่คือเพื่อนมนุษย์ ที่มีความหวัง ความฝัน และศักดิ์ศรีไม่ต่างจากเรา

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร