เกิดอะไรขึ้นบ้างที่ ‘เวียงหนองหล่ม’ เมื่อความเห็นของรัฐและคนไม่ลงรอยกัน

Date:

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

ภาพ: พงศธร นาใจ

18 กันยายน 2568 กรมชลประทาน โดยโครงการชลประทานเชียงราย ชี้แจงถึงโครงการฟื้นฟูแก้มลิงเวียงหนองหล่ม พื้นที่ตั้งอยู่ในตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ครอบคลุมกว่า 14,000 ไร่ เดิมเป็นหนองน้ำธรรมชาติที่ตื้นเขินและเต็มไปด้วยวัชพืช ทำให้ไม่สามารถเก็บกักน้ำได้เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ชุมชนรอบพื้นที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ

ภาพ: กรมชลประทาน

ปัญหานี้ถูกสะท้อนโดยนายกเทศมนตรีตำบลจันจว้าและผู้นำชุมชนต่อหน่วยงานรัฐ จนกระทั่งวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบกรอบแผนพัฒนาและฟื้นฟูเวียงหนองหล่ม พร้อมมอบหมายให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนพัฒนาพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ของประชาชน

จากการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น พบว่าโครงการไม่ได้อยู่ในเขตป่าสงวนหรือพื้นที่คุ้มครองพิเศษ และไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในลักษณะที่รุนแรง นอกจากนี้ยังมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนก่อนเริ่มดำเนินงาน เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน

พื้นที่โครงการแบ่งออกเป็นสองโซนหลัก คือ

โซนอนุรักษ์ พื้นที่ที่ชาวบ้านขอให้คงไว้ เช่น ป่าโกงกางน้ำจืด เพื่อรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

โซนพัฒนาแหล่งน้ำ พื้นที่สำหรับขุดลอกตะกอน ก่อสร้างอาคารระบายน้ำ ฝายทดน้ำ และระบบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำ

กรมชลประทานยืนยันว่าโครงการนี้เป็นการ พัฒนาและอนุรักษ์แหล่งน้ำควบคู่กัน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อให้การเก็บกักน้ำและการใช้ประโยชน์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่กระทบต่อระบบนิเวศ

7 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง เกิดอะไรขึ้นบ้างที่เวียงหนองหล่ม

ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง
Timeline
1 ส.ค. 2543 ครม. มีมติประกาศให้เวียงหนองหล่ม เป็น ‘พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับชาติ’ 
30 ต.ค. 2562 รัฐบาลเห็นชอบนโยบาย ‘การพัฒนาเวียงหนองหล่ม’ โดยบูรณาการหลายหน่วยงาน ภายใต้มาตรการแก้น้ำท่วมและภัยแล้งลุ่มน้ำกก-โขงตอนบน
23 ธ.ค. 2563 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สั่งจัดทำแผนฟื้นฟูเวียงหนองหล่ม ระยะ 4 ปี (2564–2568) เพื่อเพิ่มศักยภาพกักเก็บน้ำ สร้างรายได้ชุมชน และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
28 ธ.ค. 2565 คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อนุมัติ ‘แผนพัฒนาและฟื้นฟูเวียงหนองหล่ม 2566–2570’ ครอบคลุม 65 โครงการ วงเงิน 3,880 ล้านบาท ใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ พื้นที่ น้ำ โครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว-โบราณคดี และอาชีพ
ปี 2566 ชุมชนปางควายและกลุ่มชาวประมง–หาของป่าเริ่มออกมาแสดงความกังวลต่อโครงการ
5 มี.ค. 2567 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงร่วมกับเทศบาลจันจว้าจัดกิจกรรม “ฟื้นใจเวียงหนองด้วยศรัทธาสืบชะตาป่าต้นอั้น” ประกาศสถานะบุคคลทางวัฒนธรรมให้เวียงหนองหล่ม และยืนยันการปกป้องสิทธิทางวัฒนธรรม
8 เม.ย. 2567 ศิลปิน 14 คน จัด Performance Art “หล่มแล้ว หล่มอีก หล่มต่อ / Collapse Time and Time Again” ณ เวียงหนองหล่ม เพื่อสะท้อนการฟื้นฟูชุมชน ระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตในพื้นที่
27 ก.พ. 2568 สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยและเครือข่ายสิ่งแวดล้อมแถลงว่า กระบวนการมีส่วนร่วมเวียงหนองหล่มไม่โปร่งใส การประชาคมมีแต่ผู้สูงอายุซึ่งไม่เข้าใจรายละเอียด จึงถูกมองว่า ‘ถูกหลอกทั้งกระบวนการ’
18 ก.ย. 2568 กรมชลประทานยืนยัน โครงการแก้มลิงเวียงหนองหล่มพัฒนาน้ำอย่างยั่งยืน ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน

‘เวียงหนองหล่ม’ ตั้งอยู่ในแอ่งเชียงแสน ครอบคลุมพื้นที่อำเภอแม่จันและอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ประมาณ 14,000–14,457 ไร่ เป็นแหล่งอาศัยของนกอพยพและฐานทรัพยากรอาหารสำคัญของชุมชนเหนือสุดของประเทศ 

โดยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 คณะรัฐมนตรีมีมติให้เวียงหนองหล่มเป็น ‘พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ’ แม้พื้นที่นี้จะไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็น Ramsar Site โดยตรง แต่ตั้งอยู่ในแอ่งเดียวกับหนองบงคาย (Chiang Saen Lake) เขตห้ามล่าสัตว์ป่าที่ได้รับการประกาศเป็น Ramsar Site ลำดับที่ 1101 การจัดการเชิงอนุรักษ์จึงต้องเชื่อมโยงทั้งระบบ

รัฐบาลสมัย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มผลักดันการพัฒนาเวียงหนองหล่มตั้งแต่ปี 2562 โดยวันที่ 30 ตุลาคม คณะรัฐมนตรีมีมติให้บูรณาการหลายหน่วยงานเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งในลุ่มน้ำกก-โขงตอนบน 

ต่อมาในวันที่ 23 ธันวาคม 2563 พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และสั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและจังหวัดเชียงรายจัดทำ แผนฟื้นฟูระยะ 4 ปี (2564–2568) เพื่อเพิ่มศักยภาพการกักเก็บน้ำ ส่งเสริมรายได้ชุมชน และพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ 

โดย ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ในขณะนั้น มองว่า เวียงหนองหล่มประสบปัญหาตื้นเขินจากตะกอนดินที่สะสมเป็นเวลานาน กรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงร่วมพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับอุปโภคบริโภคและเกษตรกรรมชุมชนโดยรอบ

ต่อมาในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติอนุมัติ “แผนพัฒนาและฟื้นฟูเวียงหนองหล่ม พ.ศ. 2566–2570” ครอบคลุม 65 โครงการ งบประมาณรวม 3,880 ล้านบาท แบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่ การจัดการพื้นที่ การจัดการน้ำ โครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว–โบราณคดี และการส่งเสริมอาชีพ คาดว่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จ เวียงหนองหล่มจะเพิ่มความจุกักเก็บน้ำกว่า 24 ล้านลูกบาศก์เมตร ปกป้องพื้นที่เกษตรเกือบ 50,000 ไร่ และรองรับชุมชนกว่า 14,000 ครอบครัว พร้อมเป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศและแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

ระหว่างปี 2565–2567 กรมชลประทานตั้งเป้าเพิ่มความจุกักเก็บน้ำจาก 8 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 20 ล้านลูกบาศก์เมตร รองรับเมือง เกษตร และภัยพิบัติ พร้อมเชื่อมโยงโซนท่องเที่ยว–อนุรักษ์ เช่น หอชมนกและเส้นทางเรียนรู้ ควบคู่กิจการพลเมืองน้ำในพื้นที่ริมหนอง การปรับพื้นที่และสร้างคันดินจะช่วยกักเก็บน้ำฝนและน้ำหลากไว้ในช่วงฤดูฝน ก่อนปล่อยคืนสู่ชุมชนในหน้าแล้ง ลดน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มด้านใต้ของหนอง

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลยืนยันว่าโครงการฟื้นฟูเวียงหนองหล่มจะไม่กระทบต่อระบบนิเวศ และชี้ว่าทุกอย่างออกแบบอย่างรอบคอบด้วยข้อมูลวิชาการ เสียงคัดค้านจากชุมชนและนักอนุรักษ์กลับดังขึ้นเรื่อยๆ 

เสียงเตือนจากชุมชนและนักอนุรักษ์ ในวันที่ความหลากหลายกำลังสูญหาย

เสียงคัดค้านจากชุมชนปางควายและกลุ่มชาวประมง–หาของป่าเริ่มดังขึ้นต่อเนื่อง โดยชุมชนมองว่า การขุดลึกและคันดินที่เกินกว่าที่ตกลงไว้ ส่งผลให้แหล่งน้ำ–หญ้าน้ำเปลี่ยนแปลง ควายบางส่วนไม่สามารถลงกินน้ำได้ และทางน้ำเดิมถูกปิดกั้น, การเลี้ยงควายกว่า 2,000 ตัวในเวียงหนองหล่มซึ่งเคยพึ่งพาทุ่งหญ้าและหนองตื้นกำลังถูกบีบพื้นที่ ทำให้ต้นทุนอาหารสูงขึ้นและเอกลักษณ์ปางควายล้านนาเสี่ยงสูญหาย และการหากินของนกอพยพ–นกหายากที่เคยพึ่งกอหญ้าและหนองตื้นอาจลดลงหากภูมิทัศน์เปลี่ยนไป

เสียงสะท้อนดังกล่าวไม่หยุดอยู่ที่ชุมชนเท่านั้น วันที่ 5 มีนาคม 2567 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงร่วมกับเทศบาลตำบลจันจว้าได้จัดกิจกรรม ‘ฟื้นใจเวียงหนองด้วยศรัทธาสืบชะตาป่าต้นอั้น’ พร้อมประกาศให้เวียงหนองหล่มมีสถานะ ‘บุคคลทางวัฒนธรรม’ เพื่อยืนยันสิทธิทางวัฒนธรรมของพื้นที่ 

ต่อมาเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์วิจารณ์กระบวนการมีส่วนร่วม โดยชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับข้อมูลครบถ้วนและถูกละเลยในกระบวนการตัดสินใจ

องค์กรอนุรักษ์อย่างมูลนิธิสืบนาคะเสถียรจึงเรียกร้องให้รัฐทบทวนแบบงานดิน จัดโซนนิเวศสำหรับทุ่งน้ำตื้น กอหญ้า นก ควาย และปลาน้ำจืด พร้อมเปิดเผยระบบติดตามผลกระทบเชิงนิเวศเพื่ออุดช่องว่างการกำกับดูแล 

ขณะเดียวกัน Save Gurney Pitta ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวเมื่อ 9 กันยายน 2568 ว่า แม้โครงการฟื้นฟูเวียงหนองหล่มใช้งบกว่า 3,880 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2564–2568 แต่การขุดลอกแก้มลิงกว่า 2,500 ไร่กลับสร้างผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตชุมชน ทำให้สิ่งที่ชาวบ้านเคยภาคภูมิใจ พื้นที่ชุ่มน้ำกว้างใหญ่ ดอกบัวตามฤดูกาล และนกอพยพจากไซบีเรีย กำลังเลือนหาย ความเปลี่ยนแปลงทำให้ทั้งชุมชนปางควาย เกษตรกร และชาวหาปลาสูญเสียแหล่งทำกิน ทั้งยังเตือนว่า หากรัฐยังคงเพิกเฉย ประเทศไทยอาจสูญเสียทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ดำรงอยู่กับเวียงหนองหล่มมานานกว่าร้อยปี

“โครงการนี้ขาดการสำรวจข้อมูลทางนิเวศวิทยาอย่างรอบด้านและการปรึกษาชุมชนอย่างไม่น่าให้อภัย เหมือนคิดเองเออเองบนหอคอยงาช้าง แล้วสั่งการลงไปโดยไม่ได้ติดตามตรวจสอบ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศที่พิเศษ จึงทำให้เกิดการทำลายธรรมชาติอย่างถาวร ด้วยภาษีประชาชน”

เสียงสะท้อนเหล่านี้ชี้ชัดว่า หากรัฐไม่ตื่นตัวและไม่แก้ไข ประเทศไทยอาจสูญเสียทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิมอย่างถาวร โดยเฉพาะเวียงหนองหล่มที่มีความสำคัญทั้งระดับชาติและนานาชาติ

เมื่อ ‘ภูมิทัศน์เปลี่ยน’ ระบบนิเวศและความหลากหลายก็เปลี่ยนตาม

ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 ทีมข่าวไทยพีบีเอสลงพื้นที่เวียงหนองหล่ม ร่วมกับสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต เพื่อสำรวจผลกระทบของโครงการขุดลอกแก้มลิงกักเก็บน้ำที่กำลังเปลี่ยนโฉมระบบนิเวศสำคัญแห่งนี้ พร้อมพูดคุยกับชาวบ้านและนักอนุรักษ์ที่ติดตามสถานการณ์ด้วยความกังวล

หนึ่งในเสียงสำคัญคือ อ.นพ.รังสฤษฏ์ กาญจนะวณิชย์ อาจารย์แพทย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประธานชมรมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนา อธิบายว่า พื้นที่นี้มีความสำคัญทางนิเวศมากกว่าทะเลสาบเชียงแสน แม้ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำโลก (Ramsar Site) แต่กลับมีเอกลักษณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่น เช่น ‘ต้นอั้น’ พืชน้ำที่ทนท่วมได้ยาวนาน รวมถึงดินนุ่มคล้ายเยลลี่ที่กักเก็บชั้นน้ำและพืชน้ำสะสมมาหลายชั่วอายุ

“เห็นชัดเลยว่าช่วงสองปีที่ผ่านมาที่เริ่มมีการขุดลอกทำลายระบบนิเวศ เหยี่ยวทุ่งที่เคยมีหลายร้อยตัว ปัจจุบันลดลงไม่ถึงร้อย” 

เขากล่าว พร้อมยกตัวอย่างว่านกหายากอย่าง ‘นกแสกทุ่งหญ้า’ เคยถูกค้นพบที่นี่เป็นครั้งแรกในไทย และฝูงเหยี่ยวทุ่งที่เคยรวมตัวหนาแน่นจนดึงดูดนักดูนกจากต่างประเทศ บัดนี้ลดลงจนแทบไม่เหลือ สะท้อนว่าระบบนิเวศที่ถูกแตะเพียงเล็กน้อยก็สั่นคลอนทั้งห่วงโซ่ชีวิต

รังสฤษฏ์ยังตั้งคำถามถึงเหตุผลของการขุดลอกใหญ่ โดยชี้ว่าน้ำท่วมเวียงหนองหล่มไม่ใช่ภัยพิบัติ แต่เป็น ‘น้ำท่วมทุ่ง’ ที่หล่อเลี้ยงความอุดมสมบูรณ์และเป็นวิถีที่ชาวบ้านอยู่ร่วมมาหลายชั่วคน หากจำเป็นจริง อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในหมู่บ้านอาจตอบโจทย์ได้มากกว่า และไม่ทำลายคุณค่าความหลากหลายทางชีวภาพที่ไม่อาจหาทดแทน

เขายังเล่าด้วยว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติบางรายถึงขั้นตั้งชื่อพื้นที่ขุดลอกใน Google Map ว่า ‘Hell Scape’ หรือ ‘ดินแดนนรก’ เพราะสิ่งที่เห็นมีเพียงดินเปล่า ไร้ต้นไม้ ไร้พืช ไร้ชีวิต ซึ่งตรงข้ามกับภาพเวียงหนองหล่มที่เคยเป็นแหล่งดูนกสำคัญของภูมิภาค

“มรดกทางวัฒนธรรมเราเห็นได้ แต่มรดกทางธรรมชาติพอสูญไป มันเศร้ามาก” 

เขากล่าวทิ้งท้าย พร้อมเรียกร้องให้รัฐเลิกทำประชาพิจารณ์แบบลวกๆ และต้องเปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญและชุมชนมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

เสียงสะท้อนนี้ยังสอดคล้องกับความเห็นของ สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ที่ชี้ว่าเวียงหนองหล่มเป็นลุ่มน้ำท่วมถึงพิเศษ มีพืชน้ำและปลามากกว่า 30 ชนิด ระบบนิเวศขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำขึ้นลงจากแม่น้ำกก–แม่น้ำโขง หากขุดลอกจนเสียสมดุล พืชน้ำดั้งเดิมและแหล่งวางไข่ของปลากว่า 40 ชนิดจะหายไป เสี่ยงถูกแทนที่ด้วยพืชต่างถิ่น เช่น ไมยราบยักษ์

“เมื่อพื้นที่ถูกปรับเปลี่ยนสภาพพันธุ์ไม้น้ำที่เคยมีอยู่จะหายไป จะมีผลกระทบตามมาแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาในฤดูวางไข่ จะไม่มีที่สำหรับวางไข่โดยธรรมชาติที่มีลักษณะหลากหลายชนิดประมาณ 40 ชนิดที่มีอยู่ อนาคตระยะยาวต้องดูว่าอาจจะกลายเป็นพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยพืชต่างถิ่นเช่น ไมยลาภยักษ์เข้ามาแทนที่พืชเดิมในที่ดินที่ขุดขึ้นมา”

ผลกระทบไม่ได้หยุดแค่ระบบนิเวศ แต่ยังลามไปถึงวิถีชาวบ้าน กองคำ จินาคำ ชาวบ้านป่าสักหลวง เล่าว่าการเลี้ยงวัวควายได้รับผลกระทบหนัก พื้นที่หญ้าถูกกลบและกลายเป็นไมยราบยักษ์ จากที่เคยมีควายกว่า 4,000 ตัว เหลือเพียงราว 1,000 ตัว เพราะไม่มีหญ้าเพียงพอ

“คนขายวัวควาย จากที่เคยมีมากกว่า 4,000 ตัว ตอนนี้ลดเหลือประมาณ 1,000 กว่าตัว สาเหตุหลักเพราะไม่มีหญ้าให้สัตว์กิน” กองคำกล่าว

ด้าน นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ ซึ่งติดตามการเปลี่ยนแปลงมานานกว่า 10 ปี ก็ชี้ว่าโครงการนี้ทำลายระบบนิเวศจนแทบหมดสิ้น สิ่งที่รัฐเรียกว่า ‘ฟื้นฟู’ กลับกลายเป็นการเร่งให้พื้นที่สูญเสียคุณค่าทั้งทางนิเวศ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

“ตอนนี้เวียงหนองหล่มล่มหมดแล้ว สิ่งที่เสียไปไม่มีทางได้กลับคืน ระบบนิเวศที่เคยซับซ้อนเชื่อมโยงกันถูกตัดขาด และสิ่งที่ได้จากการกักเก็บน้ำไม่คุ้มกับสิ่งที่สูญเสียเลย” 

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าเวียงหนองหล่มไม่ได้เป็นเพียงบาดแผลของการพัฒนา แต่คือบทเรียนใหญ่ที่ชี้ให้เห็นถึงการมองข้ามคุณค่าระบบนิเวศ และการตัดสินใจที่ขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจากผู้เชี่ยวชาญและชุมชน

รายการอ้างอิง

พล.อ.ประวิตรฯ เร่งขับเคลื่อนงานพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติเวียงหนองหล่ม จ.เชียงราย

ข้อกังวลและห่วงใยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองหล่ม จังหวัดเชียงราย

Save Gurney Pitta’s post

ชป.มั่นใจ โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำเวียงหนองหล่ม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

สำรวจเวียงหนองหล่ม หลังกรมชลประทาน ยืนยันไม่กระทบระบบนิเวศ

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

Share post:

spot_imgspot_img

Popular

More like this
Related

‘ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะพร้อมเป็นแม่’ เมื่อสิทธิการยุติการตั้งครรภ์ในภาคเหนือยังท้าทาย

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง ทุกวันที่ 28 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดเป็น วันยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยสากล...

6 ปีของการปกป้องบ้านเกิดจากเหมืองแร่ ชัยชนะที่ยังไม่หยุดนิ่งของ ‘กะเบอะดิน’ ดินแดนมหัศจรรย์

เรื่อง: พรชิตา ฟ้าประทานไพร และ สุทธิกานต์ วงศ์ไชย บ้านกะเบอะดิน คือชุมชนเล็กๆ ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปว์ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผืนป่าและทิวเขา...

หุ้มเกราะเสียก็สิ้นเรื่อง: การนิยามและพัฒนาการการใช้ถุงยางอนามัยในสังคมไทย

เรื่อง: ศศิธร ศรีโคตร การคุมกำเนิด หรือ การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญต่อการวางแผนครอบครัว รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในสภาวะการตั้งครรภ์ไม่พร้อม  ในอดีตสังคมไทยเองก็มีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ผ่านการใช้ยาแผนโบราณเช่นกัน เช่น ในสมัยอยุธยาที่พยายามบำบัดรักษากามโรคด้วยภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม...

เครือข่ายพลังงานยื่น กมธ. เรียกร้องเปิดเวทีประชาชนร่วมร่างแผนไฟฟ้า PDP ใหม่​

25 กันยายน 2568 กลุ่มภาคประชาสังคมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม JustPow ร่วมกับ กรีนพีซ ประเทศไทย เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ...