เรื่อง ปวีณา หมู่อุบล / ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง
‘ตุ๊เจ้า ตุ๊ลุง’ ต่างเป็นคำเรียกขานพระสงฆ์ที่คนเหนือใช้กันติดปากมานานหลายรุ่นหลายสมัย และในยุคหลังมานี้ก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับคำเรียกดังกล่าว จากตุ๊เจ้า ตุ๊ลุง ก็กลายเป็น ‘ตุ๊เจ๊ ตุ๊แม่’ ซึ่งเป็นคำเรียกที่สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมของพระสงฆ์และสามเณรจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นชายตามแบบอุดมคติ หรือค่อนไปทาง ‘ออกสาว’
การมีอยู่ของพระออกสาว พระกะเทย ตุ๊เจ๊ ตุ๊แม่ หรืออะไรก็ตามแต่ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตคำนิยามนี้ ไม่ถือเป็นของแปลกใหม่ในสังคมล้านนา หากแต่เป็นสิ่งที่มีให้เห็นได้อยู่เนืองๆ ตามพื้นที่สาธารณะ ทั้งที่เป็นพระสงฆ์และสามเณร หรือในบางครั้งถ้าได้มีโอกาสไปร่วมงานบุญ งานปอยต่างๆ เราก็อาจจะได้เห็นตุ๊เจ๊ ตุ๊แม่ ทำหน้าที่เป็นผู้จัดดอกไม้ จัดผ้า ประดับประดาสถานที่จัดงานให้มีความน่าอภิรมย์อยู่บ้าง
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็เชื่อว่าคงมีหลายคน (โดยเฉพาะคนในภาคอื่นๆ ) ที่อดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วบุคคลที่เพศกำเนิดเป็นชาย แต่ไม่ได้เป็นชายตามแบบอุดมคติเหล่านั้น สามารถบวชได้หรือไม่?
หากว่ากันตามพระไตรปิฎกแล้ว มีการบัญญัติไว้ถึงข้อห้ามมิให้มีการบรรพชาแก่ ‘บัณเฑาะก์’ (ที่มาจากคำว่า ปณฺฑก) เนื่องจากครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยอนุญาตให้บัณเฑาะก์ได้บวชเข้ามาเป็นภิกษุแล้ว แต่บัณเฑาะก์นั้นได้ไปมีเพศสัมพันธ์ สร้างความเสื่อมเสียแก่หมู่สงฆ์ในคณะศากยวงศ์ หรือแก่บรรดาสาวกของพระพุทธเจ้า จึงได้มีการออกข้อห้ามมิให้บัณเฑาะก์มาบวชในพุทธศาสนา
ซึ่งบัณเฑาะก์ที่มีข้อห้ามตามพระไตรปิฎกนั้นมีอยู่ด้วยกัน 5 ประเภท ได้แก่
1. นปุงสกบัณเฑาะก์ หมายถึง ผู้ที่ไม่ปรากฏเพศ กล่าวคือ มีรูปร่างลักษณะสัณฐานเป็นชาย แต่ไม่มีอวัยวะเพศ มีเพียงแต่ช่องปัสสาวะเท่านั้น อีกทั้งไม่สามารถประกอบกิจได้ดั่งบุรุษเพศโดยทั่วไป
2. อาสิตตกะบัณเฑาะก์ หมายถึง ผู้ที่เมื่อมีความกระวนกระวายด้วยอำนาจกามราคะขึ้นแล้ว กระทำโอษฐ์กามกับบุรุษอื่น ครั้นดูดกินซึ่งน้ำอสุจินั้นแล้ว จึงระงับความกระวนกระวายลงได้
3. อุสสูยบัณเฑาะก์ หมายถึง ผู้ที่เมื่อได้โอกาสก็จะแอบดูบุรุษและสตรีร่วมเสพกามรสกัน
4. โอปักกะมิกะบัณเฑาะก์ หมายถึง ผู้ที่ถูกตอน เพื่อไม่ให้เกิดความกำหนัดยินดี เช่น ขันทีในสมัยโบราณ
5. ปักขะบัณเฑาะก์ หมายถึง ผู้ที่เมื่อเวลาข้างแรม (กาฬปักษ์) มาถึง มักเกิดความยินดีและกระวนกระวายในกามด้วยอำนาจอกุศลกรรม
ทั้งนี้ ยังเคยมีผู้อธิบายไว้ว่า บัณเฑาะก์ ในทางพุทธศาสนานั้นถือว่า เป็น ‘อภัพบุคคล’ คือ บุคคลผู้ไม่สมควรอุปสมบทเป็นภิกษุ ถูกห้ามบวช ยกเว้นในประเภทที่ 2 และ 3 ซึ่งสามารถบวชได้แต่เฉพาะสามเณรเท่านั้น
บัณเฑาะก์ เท่ากับ กะเทย?
ในประเด็นที่ว่า ‘บัณเฑาะก์’ และ ‘กะเทย’ มีนิยามความหมายอย่างเดียวกันหรือไม่ ธนพล เดชอุปากร ผู้ศึกษาเรื่อง กุฏิสีชมพู: อัตลักษณ์พระกะเทยใต้ร่มเงามหาเถรสมาคม อธิบายไว้ทำนองว่า บัณเฑาะก์ ซึ่งเป็นคำที่อยู่ในพระไตรปิฎกนั้นหมายถึง บุคคลใดก็ตามซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีเครื่องเพศ หรือมีแต่เครื่องเพศไม่สมบูรณ์แบบ คือจะเป็นชายหรือหญิงแต่หากมีเครื่องเพศไม่สมบูรณ์ก็ถือเป็นบัณเฑาะก์นั่นเอง ส่วนคำว่า กะเทย ในอดีตมีความหมายถึงบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่นอกเหนือจากความเป็นชายและหญิง (น่าจะเทียบได้กับคำว่า เควียร์ – Queer ที่คนนิยมใช้กันในปัจจุบัน) แต่ในปัจจุบัน มีความหมายไปในเชิงการใช้เรียกผู้ชายที่ไม่ได้มีความเป็นชายตามแบบฉบับที่สังคมกำหนดไว้เป็นบรรทัดฐานมากกว่า
กล่าวคือ ถ้ามองจากนิยามความหมายของคำว่า บัณเฑาะก์ และ กะเทย โดยตัวของคำเอง ก็จะเห็นได้ว่าต่างกัน ทั้งในแง่ความหมาย และในแง่ของการใช้งาน ทั้งยังมีผู้อธิบายไว้อีกว่า กะเทยมิได้เป็นสิ่งต้องห้ามในพุทธศาสนา ไม่ว่าจะในพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์อื่น ถือได้ว่าเป็นสภาวะสุญญากาศแห่งพระธรรมวินัย ดังนั้น การทำให้ บัณเฑาะก์เท่ากับกะเทย จึงอาจเป็นการนิยามคำว่าบัณเฑาะก์ที่ผิดแผกไป จากเดิมที่เคยหมายถึงผู้ที่มีความบกพร่องในเครื่องเพศ กลับกลายมาเป็นผู้ที่มีเพศวิถีตรงข้ามกับเครื่องเพศของตน
ที่จริงแล้ว การตีความว่าบัณเฑาะก์เท่ากับกะเทยนั้น เริ่มต้นมาจากความเคลื่อนไหวในคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่จากสยาม โดยบุคคลแรกๆ ที่เริ่มต้นทำอรรถาธิบายเกี่ยวกับประเด็นนี้คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โดยได้ให้คำนิยามไว้ในหนังสือ วินัยมุข ที่กล่าวว่า
“บัณเฑาะก์นั้น ได้แก่ชายมีราคะกล้าประพฤตินอกรีดในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น 1 ชายผู้ถูกตอนแล้ว 1 กะเทยโดยกำเนิด 1 กะเทยชนิดนี้ หนังหุ้มปุริสภาวะก็มี ครั้นตัดหนังนั้นออกเสียก็เป็นชายโดยปกติไม่ห้าม การที่ห้ามนั้น เพราะเป็นที่รังเกียจของคนอื่นในการเล่นสวาทฯ”
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าลองย้อนไปดูเอกสารทางประวัติศาสตร์ของฝั่งสยามให้ไกลกว่านั้น เช่น กฎหมายตราสามดวงในสมัยรัชกาลที่ 1 ก็จะพบว่า มีการแบ่งแยกบัณเฑาะก์และกะเทยเอาไว้ชัดเจน โดยไม่ถือว่าทั้งสองนี้เป็นอย่างเดียวกัน
ทว่า คำนิยามโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กลับมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการสงฆ์ และได้นำมาซึ่งความพยายามกีดกัน ปิดกั้น มิให้กะเทยได้ก้าวเข้าไปสู่ร่วมกาสาวพัสตร์
เป็นต้นว่า มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองกรณ์สูงสุดในด้านการจัดการ บริหาร การปกครอง และควบคุมคณะสงฆ์ ก็ได้รับอิทธิพลดังกล่าวมา แล้วใช้เป็นพิมพ์เขียวในการวางแนวทางที่เกี่ยวเนื่องกับพระกะเทย โดยเน้นไปที่การออกหนังสือคำสั่งให้พระอุปัชฌาย์งดเว้นการบวชให้แก่บุคคลที่ถูกห้ามอุปสมบท ซึ่งก็มีคำว่าบัณเฑาะก์ (ในความหมายเดียวกันกับคำว่ากะเทย) รวมเข้าไปด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 ภายหลังมีการเผยแพร่ข่าวพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมออกสาว มีพฤติกรรมที่สื่อใช้คำว่าเบี่ยงเบนทางเพศ ทางเจ้าคณะกรุงเทพฯ ได้มีหนังสือเน้นย้ำให้เจ้าคณะเขตและเจ้าอาวาสผู้ปกครองดำเนินการกำกับ ควบคุม ดูแลพระภิกษุและสามเณรในสังกัด หากไม่เชื่อฟังสามารถใช้อำนาจที่มีอยู่ตามกฎมหาเถรสมาคมเข้าไป และในปี พ.ศ. 2560 ฝ่ายเจ้าคณะหนกลางก็ได้มีการอกคำสั่งให้พระสังฆาธิการในเขตการปกครองได้ตรวจสอบพฤติกรรม และลงโทษพระภิกษุหรือสามเณรในเขตการปกครองที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในสมณสารูป ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนติเตียนได้
ปัจจัยที่ (อาจ) ทำให้พระออกสาว พระกะเทย ตุ๊เจ๊ ตุ๊แม่เปิดเผยตนเองได้ในล้านนา
เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ในส่วนกลางไม่ค่อยจะยินดีต่อการมีอยู่ของพระออกสาว พระกะเทย ตุ๊เจ๊ ตุ๊แม่ มากเท่าไหร่นัก ซึ่งนั่นต่างไปจากบรรยากาศของภาคเหนือ เพราะ ณ ที่ดินแดนล้านนานี้ บรรดาพระออกสาว พระกะเทย ตุ๊เจ๊ ตุ๊แม่ สามารถที่จะเปิดเผยตัวตนได้ในระดับหนึ่ง
ในการศึกษาของ ธนพล เดชอุปากร ได้อธิบายถึงประเด็นนี้ไว้ว่า เพราะสังคมสงฆ์ในภาคเหนือรับอิทธิพลจากฝ่ายมหายานมากกว่าเถรวาท (ส่วนฝ่ายสยามจะเน้นหนักไปที่เถรวาท) ซึ่งมีกฎระเบียบที่ยืดหยุ่นมากกว่า ประกอบกับความเป็นตัวตนของคนในภาคเหนือนั้นส่วนมากจะเคารพนับถือในวัตรการปฏิบัติของพระสงฆ์แต่ละรูปมากกว่า หากพระรูปใดสามารถเข้าไปถึงในวิถีชีวิตของชาวบ้านได้ ก็ยิ่งจะเป็นผู้ที่ได้รับความยอมรับและการเคารพนับถือจากชาวบ้าน ซึ่งพระกะเทยโดยมากก็มักเป็นผู้ที่มีความสามารถดังกล่าว นั่นอาจเพราะเป็นผู้ที่มีบทบาทหน้าที่หรือได้รับมอบหมายกิจการต่างๆ ภายในวัด ทำให้มีความใกล้ชิดกับชาวบ้านที่มาช่วยงาน
ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2552 พระณรงค์ฤทธิ์ ขตฺติโย (ตุ๊เอ๋) พระนักพัฒนาจากวัดศรีสุพรรณ ในชุมชนเขตเทศบาลเชียงใหม่ เคยให้ความเห็นในประเด็นนี้เอาไว้ทำนองว่า พระออกสาว พระกะเทย ตุ๊เจ๊ ตุ๊แม่ เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่ามีอยู่จริงในสังคมสงฆ์เชียงใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มสามเณรที่บวชเข้ามาเพื่อเรียนหนังสือ แต่ถึงอย่างนั้นก็พบว่ามักจะมีพฤติกรรมที่สำรวมกันเสียส่วนใหญ่ และโดยมากของพระหรือสามเณรในลักษณะเช่นนี้ ก็มักที่จะสร้างคุณประโยชน์ให้กับวัดกับวาได้ เช่นจัดสถานที่ในวัดให้น่าอยู่น่ารื่นรมย์ เป็นต้น
ด้าน ภิกษุณีธัมมนันทา แห่งวัดทรงธรรมกัลยาณี ก็เคยแสดงความเห็นไว้เช่นกัน ทำนองว่า ต้องแยกให้ออกระหว่างประเด็นการพัฒนาวัด กับการประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลของพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นกะเทย กล่าวคือ บุคคลที่เมื่อเข้ามาบวชแล้วสามารถละทิ้งความพึงพอใจในเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้ามได้ และสามารถที่จะละวางตัวตน ละวางอัตตา แล้วมุ่งเน้นการสืบต่อพระพุทธศาสนา ต่อให้จะเป็นกะเทยหรือเกย์ ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา
ดังนั้นแล้ว ต่อให้พระออกสาว พระกะเทย ตุ๊เจ๊ ตุ๊แม่ จะกลายเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งที่คนภาคอื่นมักนึกถึงในบริบทของการกล่าวถึงพระสงฆ์และสามเณรในทางภาคเหนือ แต่หากพระสงฆ์และสามเณรเหล่านั้นสามารถครองตนตามวัตรปฏิบัติในพระธรรมวินัยได้ ไม่มีการแสดงออกที่ผิดแผกไปจนถึงขั้นบัดสีบัดเถลิง ก็เห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ เพราะการบวชพระและสามเณรในภาคเหนือ มิได้มีเหตุเพื่อการสืบสานพระศาสนาประการเดียว หากแต่ยังเป็นหนทางในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของด้วยในอีกแง่หนึ่ง ซึ่งในประเด็นนี้ก็ได้เคยถูกพูดถึงมามากแล้วว่า การเข้าสู่ร่มกาวสาวพัสตร์ถือเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสในการเลื่อนชั้นและขยับสถานภาพทางสังคมของผู้ชายชาวเหนือ โดยเฉพาะผู้ที่มาจากครอบครัวซึ่งมีสถานภาพทางเศรษฐกิจไม่ได้ดีมากนัก
รายการอ้างอิง
ตุ๊เจ้ (า) …ใต้เงาสลัวของร่มกาสาวพัสตร์
ธนพล เดชอุปากร. กุฏิสีชมพู: อัตลักษณ์พระกะเทยใต้ร่มเงามหาเถรสมาคม. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2566.

ปวีณา หมู่อุบล
อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน