ซะป๊ะเพศ เฉดสีล้านนา: ‘พี่หล้า’ ผู้ใหญ่บ้าน ‘ทอม’ เจ้าของรางวัลแหนบทองคำ ในวันที่ความหลากหลายทางเพศไม่ใช่สิ่งผิดและครอบครัวควรวางตัวเป็นสายซัพฯ

เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล

ภาพ: พัชราคำ นพเคราะห์

เดือนมิถุนายนของทุกปีถูกยกให้เป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลองและรำลึกถึงไพรด์ (Pride) หรือความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งเลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล ทรานส์เจนเดอร์ และนอนไบนารี่   โดยมีจุดเริ่มต้นขึ้นภายหลังเหตุการณ์ ‘จลาจลสโตนวอลล์’ (Stonewall Riots) ในปี พ.ศ. 2512 

ปัจจุบัน การเฉลิมฉลองในเดือนไพรด์เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้ 56 ปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือผู้ที่กำลังสำรวจความเป็นตัวเองจำนวนหนึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ ‘ภาคภูมิใจ’  มิหนำซ้ำยังต้องเก็บซ่อน ‘ตัวตนที่แตกต่างหลากหลาย’ เอาไว้ ประหนึ่งว่านั่นคือสิ่งผิดมหันต์

เพื่อร่วมเฉลิมฉลองและส่งแรงใจให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศในวาระเดือนไพรด์ เราขอชวนทุกคนมารู้จักกับ ‘พี่หล้า’ ธนิชา ธนะสาร หรือ ‘ผู้ใหญ่บ้านทอม’ แห่งบ้านพระเจ้านั่งโก๋น หมู่ 10 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เชื่อมั่นในการเป็นตัวของตัวเอง และเชื่อว่าครอบครัวควรเป็นกำแพงพิงที่มั่นคงหนักแน่นให้แก่ลูกหลานผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้พวกเขาได้ ‘เป็น’ และ ‘ภาคภูมิใจ’ ในตัวของตัวเองอย่างถึงที่สุด

แม้จะยังไม่รู้จักเรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่ก็รู้จักตัวเองมากพอที่จะบอกว่า ‘ฉันคือผู้ชาย’

ด้วยความที่เกิดและเติบโตขึ้นนอกสังคมเมือง ชีวิตในวัยเด็กของพี่หล้าจึงวนเวียนอยู่กับการไปโรงเรียน ไปทำไร่ทำนากับพ่อและพี่ชาย และการเล่นสนุกในวันหยุดเสาร์อาทิตย์กับลูกพี่ลูกน้องที่ใต้ถุนบ้าน แต่ถึงอย่างนั้น พี่หล้าก็รับรู้ได้ถึง ‘ตัวตน’ ของตนเอง

“พี่ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กผู้ชายมาตั้งแต่จำความได้เลยนะ เวลาอยู่บ้านก็เอาเสื้อผ้า เอากางเกงของพี่ชายมาใส่ แต่เวลาไปโรงเรียนเราก็ใส่กระโปรงเป็นเด็กผู้หญิงตามปกติ” พี่หล้ากล่าว

พี่หล้ากล่าวว่าในยุคสมัยที่ยังเป็นเด็ก ความหลากหลายทางเพศยังไม่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปรู้จัก รวมถึงตัวของพี่หล้าเองก็ไม่ได้รู้จักสิ่งนี้ ในตอนนั้นรู้เพียงว่าตนเองคือเด็กผู้ชาย ต้องการที่จะแต่งกาย และใช้ชีวิตแบบเด็กผู้ชาย ซึ่งทางครอบครัวของก็ไม่ได้ตำหนิ สั่งห้าม หรือปิดกั้นแต่อย่างใด 

การให้อิสระของครอบครัวทำให้พี่หล้าในวัยเด็กได้ใช้ชีวิตในแบบฉบับของตัวเองอย่างเต็มที่ กระทั่งเติบโตขึ้นสู่วัยประถม ก็มีเหตุการณ์ที่ตอกย้ำให้พี่หล้าได้รู้สึกถึงตัวตนข้างในของตนเองชัดเจนมากขึ้น นั่นคือการไป ‘ฮักเมา’ ผู้สาว

“ตอนนั้นประมาณ ป.2 บ้านจะเป็นที่เล่นของเด็กแถวบ้าน เพราะเป็นบ้านโบราณ มีใต้ถนสูง ซึ่งพี่ก็จะเล่นกับพวกเขาด้วย แต่แล้วจู่ๆ พี่ก็เกิดความรู้สึกดี รู้สึกแอบชอบ คือไปฮักเมาผู้หญิงที่เป็นพี่คนหนึ่ง แต่ก็ด้วยความเป็นเด็กนะ เราก็รู้สึกของเราอยู่คนเดียว แต่ความรู้สึกอันนี้มันก็ยิ่งชัดเจนว่าพี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย” พี่หล้ากล่าว

เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น พี่หล้าเล่าว่าตนเองก็เป็นเหมือนวัยรุ่นทั่วไป คือเริ่มสนใจเรื่องการมีแฟน มีคนรัก และก็ได้มีแฟนคนแรกในช่วง ม.ต้น โดยที่แฟนคนนั้นคือรุ่นพี่ผู้หญิงในโรงเรียน ซึ่งพี่หล้าก็ได้ไปไหนมากับแฟนเช่นเดียวกับคู่รักปกติทั่วไป และความสัมพันธ์ของทั้งสองก็อยู่ในการรับรู้ของทางครอบครัวพี่หล้า ที่ก็ไม่ได้เข้าซักไซ้ไล่ถามจนก่อให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจ เพียงมองดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น

“ตอนนั้นพี่มาเรียนในตัวเมืองเชียงใหม่ มาอยู่ที่บ้านของพี่สาวและพี่เขย แล้วก็มีแฟนคนแรก ซึ่งเราก็ไปเที่ยว ไปกินขนม กันตามปกติเหมือนคนเป็นแฟนกันทั่วไป โดยที่พี่สาวและพี่เขยของพี่ก็รับรู้” พี่หล้ากล่าว

จากทอม NGOs ผู้ทำงานพัฒนาการเกษตรบนที่สูง มุ่งหน้าสู่สนามการเมืองท้องถิ่น

หลังจากเรียนจบ ในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2530  พี่หล้าได้ทำงานแรกคือ การเป็นนักพัฒนา หรือ NGOs ในโครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตรบนพื้นที่สูง ซึ่งเป็นโครงการของ USAID มีหน้าที่หลักๆ คือทำงานสนับสนุนชาวบ้านเรื่องการปลูกข้าว การทำปุ๋ยอินทรีย์ และการหาวิธีอื่นๆ มาใช้ทดแทนการเผาป่า และในระยะนั้นก็เริ่มต้นความสัมพันธ์กับแฟนคนที่ 2 ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานถึง 20 ปี

‘พี่หล้า’ ธนิชา ธนะสาร ถ่ายที่หน้าแปลงเกษตร

“พี่เริ่มทำงานกับ USAID เป็นการพัฒนาการเกษตรบนที่สูง ซึ่งตอนนั้นพี่ได้ไปอยู่ที่แม่แจ่มและก็ได้เจอกับแฟนคนที่สอง ซึ่งกับคนนี้ความสัมพันธ์มันชัดเจนขึ้น จริงจังขึ้น และเราก็ทำงานด้วยกัน ซึ่งพี่ก็ทำงานไป คบกับแฟนไป ไม่ได้ปกปิด” พี่หล้ากล่าว

เมื่อจบโครงการของ USAID ในปี พ.ศ. 2530 พี่หล้าก็ย้ายไปทำงานอีกพื้นที่หนึ่ง คือ กิ่งอำเภอแม่ออน หรือปัจจุบันคืออำเภอสันกำแพง เป็นโครงการของ Net North ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องการทำงานเพื่อสนับสนุนชาวบ้านเรื่องการเกษตรเช่นเดิม แต่ในโครงการนี้จะว่าด้วยการลดใช้สารเคมีในการทำเกษตรเป็นหลัก กระทั่งในปี 2542 ก็ลาออกไปประกอบกิจการค้าขาย

“พอเรียนจบมาก็ไปเป็นนักพัฒนา แบบที่เขาเรียกกันว่า NGOs และพี่ก็ทำไป 2 โครงการ เป็นการเกษตรทั้งคู่ ก่อนจะลาออกมาค้าขาย แต่ด้วยความที่เราชอบทำงานพัฒนา ชอบทำการเกษตร ตอนที่ลาออกมาแล้วพี่ยังทำอะไรไปเรื่อยๆ และก็ได้เริ่มทำกิจกรรมกับเด็กๆ ในชุมชนด้วย ทำไปจนมีคนมาชวนให้ไปสมัครเป็นสมาชิก อบต. ซึ่งพี่ก็ไป” พี่หล้ากล่าว

สำหรับกิจกรรมที่ทำร่วมกับเด็กในชุมชนนั้น พี่หล้าบอกว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากการที่พี่หล้าไปชักชวนเด็กๆ ที่รู้จักกันมาปั่นจักรยานเก็บขยะภายในชุมชน โดยจะนัดกันทำกิจกรรมในทุกๆ วันอาทิตย์ เริ่มแรกก็มีเด็กๆ เข้าร่วมจำนวนหนึ่ง ต่อมาก็มีจำนวเพิ่มมากขึ้นถึง 50 คน และบ่อยครั้งก็มีบรรดาผู้ปกครองของเด็กๆ เข้ามาร่วมด้วย ภายหลังกิจกรรมได้ขยายมาเป็นการทำเกษตร การปรับปรุงทัศนียภาพพื้นที่สุ่มเสี่ยงในชุมชน เช่น บริเวณที่ชาวบ้านเอาขยะมาทิ้ง เป็นต้น 

ในการทำกิจกรรมดังกล่าวนี้ พี่หล้าและเด็กๆ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการ “สุขแท้ด้วยปัญญา” ของพระไพศาล วิสาโล และในช่วงนี้เองที่พี่หล้าเริ่มได้รู้จักกับเด็กๆ ที่มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งทอมและกะเทย พร้อมทั้งได้รับรู้ด้วยว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เพราะถูกล้อเลียน ถูกทำให้แตกต่าง รวมไปถึงการไม่ได้รับความสนับสนุนหรือความเข้าใจจากครอบครัว

“ตอนแรกพี่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ พี่รู้แค่ว่าตัวเป็นหนึ่งในนั้น แต่เมื่อมาเจอเด็กๆ ที่ทำกิจกรรมด้วยกัน แล้วเด็กมาเล่าให้ฟังว่าถูกล้อเลียน ถูกแซว ถูกแกล้ง เพราะว่าเป็นทอม เป็นกะเทย พี่ก็เริ่มหาความรู้ หาอะไรๆ ที่มันพอจะปลอบใจพวกเขาได้ โดยสิ่งที่พี่จะบอกเขาเสมอๆ คือว่า ‘ให้ดูพี่ ให้ดูน้าหล้าเป็นตัวอย่าง น้าหล้าเป็นทอม แต่ใครเข้าจะว่าอะไรน้าหล้าไม่สนใจ เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อตามใจใคร’ ประมาณนี้” พี่หล้ากล่าว

นอกจากเด็กและเยาวชนแล้ว พี่หล้ายังได้รวบรวมเอาเพื่อนๆ ทอมที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันเข้ามาด้วย โดยให้มาเป็นอาสาสมัครในการทำงานเพื่อชุมชนและทำกิจกรรมร่วมกับเด็กๆ และบรรดาผู้ปกครอง รวมไปจนถึงการช่วยงานต่างๆ ที่ชุมชนเป็นผู้จัด ซึ่งการได้ร่วมกันทำกิจกรรมระหว่างผู้มีความหลากหลายทางเพศรุ่นใหญ่และรุ่นเยาวนี้ ได้ก่อให้เกิดบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรื่องราว ความคิด และประสบการณ์การใช้ชีวิตให้แก่กันและกัน

พี่หล้า (คนขวา) และเพื่อนๆ ทอมอาสาสมัครในชุมชน
พี่หล้าขณะทำกิจกรรมการเกษตรร่วมกับเด็กและเยาวชนในชุมชน
พี่หล้าขณะทำกิจกรรมการเกษตรร่วมกับเด็กและเยาวชนในชุมชน

ในปี พ.ศ. 2552 พี่หล้าก้าวเข้าสู่สนามการเมืองครั้งแรก โดยการลงสมัครเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม แต่หลังการเลือกตั้งปรากฏว่าแพ้ให้ผู้ดำรงตำแหน่งคนเก่าไป 19 คะแนน ซึ่งเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมืองนั้น พี่หล้าเผยว่าสืบเนื่องมาจากคำดูถูกที่เคยได้รับเมื่อครั้งเป็นนักพัฒนา

“คือตอนนั้นพี่เป็นนักพัฒนา เป็น NGO คนทั่วไปในยุคนั้นเขาก็มองว่าเป็นพวกขัดขวางความเจริญ พี่ก็เลยคิดว่าถ้าพี่ยังทำงานพัฒนา ทำงานกิจกรรมกับเด็กๆ ต่อไปโดยไม่มีหมวกอะไรสักอย่าง มันก็อาจจะทำได้ไม่นาน ก็เลยลองดู แล้วก็แพ้ แต่พี่ก็ไม่ได้เสียใจอะไร เพราะมันแค่ 19 คะแนน”

พี่หล้าเผยว่าผลการเลือกตั้งสมาชิก อบต. ที่มีคะแนนทิ้งห่างกันเพียง 19 คะแนนนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกเสียใจ แต่กลับทำให้รับรู้ได้ว่ามีคนในชุมชนจำนวนหนึ่งมองเห็นและรับรู้ได้ถึงสิ่งที่พี่หล้าร่วมกันทำกับเด็กๆ ในชุมชน ซึ่งความรู้สึกนี้ก็ได้กลายมาเป็นแรงผลักดันให้พี่หล้าตัดสินใจลงสมัครเป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 10 บ้านพระเจ้านั่งโก๋น ในปี พ.ศ. 2554 และในช่วงนี้เองที่พี่หล้าได้เผชิญกับคำดูถูกจากฝ่ายคู่แข่ง อันเป็นคำดูถูกที่พุ่งเป้ามาในเรื่องของเพศสภาพ

“จำได้ว่าตอนนั้นเป็นเหมือนช่วงหาเสียง ช่วงแนะนำตัวกับชาวบ้าน พี่ก็ไปทำหน้าที่ของพี่คือไปลงพบปะชาวบ้าน แล้วก็มีผู้ชายที่เป็นผู้สนับสนุนของผู้ใหญ่บ้านคนเก่าพูดขึ้นมาดังๆ กับชาวบ้านแถวนั้นว่า ‘สูบ่าอายเขาก้า ถ้าสูจะเลือกเอาบ่าทอมมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน’ ซึ่งที่เขาพูดนั่น เขาก็รู้นะว่าพี่ได้ยิน” พี่หล้ากล่าว

ถึงแม้จะถูกหยิบเอาเรื่องเพศสภาพมามาโจมตีในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน แต่ผลปรากฏว่าพี่หล้าสามารถเอาชนะคู่แข่งได้โดยมีคะแนนทิ้งห่างมากพอควร และนั่นคือจุดเริ่มต้นของบทบาท ‘ผู้ใหญ่บ้านทอม’

พี่หล้า (คนกลาง) ขณะออกปฏิบัติหน้าที่

ผู้ใหญ่บ้านทอม ผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยมรางวัลแหนบทองคำ ปี พ.ศ. 2560

หลังได้รับตำแหน่ง พี่หล้ากล่าวว่าตนก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ ทั้งงานในบทบาทของผู้ใหญ่บ้านและสานต่องานพัฒนาที่ทำร่วมกับเด็กๆ ในชุมชน โดยในระยะแรกก็ยังคงได้ยินเสียงคำดูถูก คำเหยียดหยามเรื่องเพศสภาพแว่วมาอยู่บ้าง แต่ในช่วงหลังเมื่อผลของการทำงานเป็นที่ประจักษ์ เสียงเหล่านั้นก็หายไปแทนที่ด้วยผู้สนับสนุนหน้าใหม่ที่เพิ่มเข้า ซึ่งบางคนนั้นพี่หล้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยแสดงออกมาว่าไม่ต้องการผู้ใหญ่บ้านทอม

“แรกๆ มันก็ยังมีบ้างนะ เสียงที่แบบว่าไม่เอาผู้ใหญ่บ้านทอมอะไรแบบนี้ แต่พอเขาเห็นว่าเราทำงาน ทำจริง เขาเห็นผลงานเรา เสียงมันก็ค่อยๆ เงียบไป แล้วพี่ก็เห็นเลยว่ามีคนที่เขาสนับสนุนพี่เพิ่มมากขึ้น มีหน้าใหม่ๆ เข้ามากขึ้น” พี่หล้ากล่าว

ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนกระทั่งได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน พี่หล้ายืนยันหนักแน่นว่าไม่เคยปกปิดตัวตนของตนเอง ไม่เคยปกปิดเรื่องความสัมพันธ์ของตนเองกับแฟนที่เป็นผู้หญิง เพราะโดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าการปกปิดจะทำให้พ้นไปจากปากของคนนินทาได้ แต่การเปิดเผยต่างหากที่จะช่วยได้ เพราะถ้าแสดงออกทุกอย่างให้โปร่งใส คนเราก็ไม่รู้จะไปขุดคุ้ยอะไรมาให้นินทา

พี่หล้าดำรงสถานะผู้ใหญ่บ้านทอมเรื่อยมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2560 ก็ได้รับแจ้งจากทางอำเภอแม่ริมว่าการทำงานและกิจกรรมที่พี่หล้าทำร่วมกับชุมชนนั้น ‘เข้าตากรรมการ’ และทางอำเภอจะเสนอชื่อพี่หล้าเข้าประกวดชิงรางวัลผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยม แหนบทองคำ ประจำปี พ.ศ. 2560 พร้อมกับส่งให้ไปเข้าอบรมหลักสูตรวิทยาลัยการปกครองที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีด้วย และในที่สุดผลการประกวดก็ประกาศว่าพี่หล้าคือหนึ่งในผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับรางวัลดังกล่าว ซึ่งก็คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าปัจจุบันพี่หล้าไม่ได้เป็นแค่ผู้ใหญ่บ้านทอมอีกต่อไป หากแต่เป็น ‘ผู้ใหญ่บ้านทอมยอดเยี่ยมรางวัลแหนบทองคำ’ ด้วยนั่นเอง

พี่หล้ากับรางวัลผู้ใหญ่บ้านทอมยอดเยี่ยม แหนบทองคำ ประจำปี พ.ศ. 2560

“พี่โชคดีที่มีครอบครัวเป็นกำแพงพิงที่มั่นคงให้ มันทำให้พี่เชื่อมั่นว่าเราต้องเป็นตัวเอง ต้องไม่กลัว ไม่ปกปิด เพราะถ้ายิ่งปกปิดคนจะยิ่งขุดคุ้ยเอามาเหยียบย่ำ ที่สำคัญก็คือมันทำให้พี่เชื่อด้วยว่าเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อความสบายใจของใคร และก็เชื่อไปอีกว่าครอบครัวต้องเป็นกำแพงพิงที่มั่นคงให้ลูกหลาน ต้องทำให้ลูกหลานรู้สึกปลอดภัย ทำให้เขาได้เป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่และภาคภูมิใจ” พี่หล้ากล่าวถึงแนวคิดที่ตกผลึกได้จากทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน และการพบเจอเด็กๆ ผู้มีความหลากหลายทางเพศในชุมชนของตนเอง รวมไปถึงการพบเจอกับบรรดาผู้ปกครองที่บ้างก็เข้าใจ บ้างก็ไม่เข้าใจในตัวตนของลูกหลาน

ในตอนท้าย พี่หล้าได้ฝากถึงเด็กๆ เยาวชน และคนรุ่นใหม่ที่อาจจะมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางเพศมากกว่าคนรุ่นก่อนหน้า แต่อาจจะกำลังแบกรับผลกระทบหรือความกดดันจากสังคมที่ไม่เปิดกว้างมากพอที่จะโอบรับและอนุญาติให้พวกเขาได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ทำให้ต้องปิดกั้นและกดขี่ตัวเองเอาไว้ ว่า

“เป็นตัวของตัวเองให้เต็มที่และทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อในศักยภาพของตัวเอง แล้วสักวันมันจะพาให้เราไปสู้จุดที่มั่นคงของชีวิต”

ปวีณา หมู่อุบล

อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง