แมงกานีสข้ามแดน: เบื้องหลังแร่โลหะกับแม่น้ำกกที่กลายเป็นพิษ

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง

ภาพปก: kunmingshipping.com

จากการตรวจพบสารโลหะหนักอย่างตะกั่วและสารหนูในปริมาณเกินมาตรฐานในแม่น้ำกก เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหญ่ การปนเปื้อนในแม่น้ำยังคงมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ เริ่มพบอาการผิดปกติทางสุขภาพ เช่น ผื่นคัน แสบตา และยังต้องเผชิญกับผลกระทบต่อวิถีชีวิตประจำวัน ทั้งการทำเกษตรกรรม การจับปลา และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำที่ไม่สามารถดำเนินได้ตามปกติ

ผลกระทบยังลุกลามไปถึงภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจแพริมน้ำกกที่เริ่มซบเซาหลังมีข่าวสารพิษปนเปื้อน ทำให้รายได้ของชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำกกลดลงอย่างน่าตกใจ เหตุการณ์ครั้งนี้จึงกลายเป็นวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ต่อมาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการขยายตัวของเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth)ของจีนในเมืองสาด รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่เพียง 25 กิโลเมตร เหมืองแห่งนี้ใช้วิธี “ละลายแร่” ด้วยสารเคมีอันตรายอย่างกรดซัลฟิวริกและแอมโมเนีย ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดการปนเปื้อนในดิน น้ำ และอากาศ

สถานการณ์ที่เมืองสาดมีลักษณะคล้ายกับเหมืองแร่ในรัฐคะฉิ่นที่เคยก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างหนักมาก่อน โดยจีนในฐานะผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ธรายใหญ่ของโลก มีบทบาทสำคัญผ่านกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการเหมืองในภูมิภาคนี้ มูลนิธิฯ จึงเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลไทยและเมียนมาร่วมมือกันติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตสิ่งแวดล้อมขยายตัวลุกลามกลายเป็นปัญหาข้ามพรมแดนในระยะยาว

ภาพ แผนที่การทำเหมืองแร่ บริเวณ แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำเลน ในรัฐฉาน จาก ThaiPBS North

‘จ๋ามตอง’ นักวิจัยจาก Shan Human Rights Foundation เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์การทำเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งไหลผ่านจากรัฐฉาน ประเทศเมียนมา สู่จังหวัดเชียงรายของไทย โดยพบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการทำเหมืองแร่กระจุกตัวอยู่จำนวนมาก และอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม รวมถึงปัญหาอุทกภัยในเขตชายแดนไทย โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

โดยหนึ่งในเหมืองแร่ที่น่าจับตามองนั้นคือ การทำ ‘เหมืองแร่แมงกานีส’ ในพื้นที่เมืองโก ต้นน้ำแม่น้ำรวก ที่มีการขุดแร่แมงกานีสอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2017 โดยแร่แมงกานีสที่ได้จะถูกลำเลียงมาสะสมไว้ใกล้เขตชายแดนฝั่งท่าขี้เหล็ก ซึ่งอยู่ตรงข้ามอำเภอแม่สาย เหมืองแห่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนชาติพันธุ์อาข่าและไทยใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ โดยเฉพาะในประเด็นด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม 

แร่แมงกานีสจากรัฐฉาน เส้นทางจากภูเขาสู่พรมแดนไทย

ข้อมูลจากด่านศุลกากรแม่สาย จังหวัดเชียงราย ระบุว่า ปี 2560 – 2567 ประเทศไทยมีการนำเข้าแร่แมงกานีสจากเมียนมาติดอันดับ 1 ใน 10 สินค้านำเข้าที่มีมุลค่าสูงสุด ณ ด่านศุลกากรแม่สาย โดยเฉพาะในปี 2562 มีการนำเข้าแร่แมงกานีสในปริมาณสูงถึง 118.43 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 172.47 ล้านบาท แม้ว่าในช่วงปี 2564–2567 ปริมาณการนำเข้าจะลดลงบ้าง แต่แร่แมงกานีสก็ยังคงเป็นหนึ่งในสินค้านำเข้าหลักของด่านแม่สาย และถือว่ามีสัดส่วนที่สูงอยู่

แม้จะทราบข้อมูลปริมาณการนำเข้าแร่แมงกานีส แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า แร่เหล่านี้ถูกนำเข้าโดยบริษัทใดบ้าง และมีการจัดการแร่โลหะนี้อย่างไร

“หลักการง่ายๆ คือ การทำธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน”

สืบสกุล กิจนุกร เสนอให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบที่มาของแร่แมงกานีสดังกล่าว โดยตั้งคำถามว่า แร่เหล่านี้มาจากเหมืองใด อยู่ในลุ่มน้ำสายใด และมีการปล่อยสารโลหะหนักลงลำน้ำหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมาถึงประเทศไทย พร้อมเปิดเผยว่า ตนเคยเสนอให้หน่วยงานด้านความมั่นคงตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของแร่ชนิดนี้ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2568 แต่ยังไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ การที่รัฐบาลยังไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับที่มาของแร่แมงกานีสได้

เสียงเรียกร้องล่าสุดจึงไม่ได้จำกัดแค่เรื่องตัวเลขการค้า แต่สะท้อนถึงความจำเป็นในการติดตามและตรวจสอบเส้นทางของแร่จากต้นน้ำในรัฐฉานถึงปลายทางในอุตสาหกรรมไทยอย่างโปร่งใสและรับผิดชอบ

แร่แมงกานีสคืออะไร ไทยใช้ประโยชน์ยังไงบ้าง

แร่แมงกานีส (Manganese) เป็นธาตุโลหะที่มีคุณสมบัติแข็ง เปราะ และมีสีขาวเงิน พบในเปลือกโลกประมาณร้อยละ 0.1 โดยจัดเป็นธาตุที่มีปริมาณมากเป็นอันดับที่ 12 ของโลก ประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ได้แก่ ออสเตรเลีย บราซิล กาบอง อินเดีย เม็กซิโก แอฟริกาใต้ และยูเครน โดยทั่วไป แร่แมงกานีสแบ่งออกเป็น 3 เกรดหลัก ได้แก่ เกรดโลหกรรม เกรดแบตเตอรี่ และเกรดเคมี ซึ่งมีการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลากหลายด้านในประเทศไทย ดังนี้

1.อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ใช้แมงกานีสเป็นวัตถุดิบสำคัญในการถลุงแร่และแยกโลหะ เพื่อใช้เป็นส่วนผสมเพิ่มคุณสมบัติของเหล็กกล้า โดยเฉพาะการเพิ่มความแข็งแรงและความทนทาน ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ใช้แมงกานีสคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 85–90 ของการใช้ทั้งหมด

2.การผลิตโลหะผสม (Alloys) เช่น ทองบรอนซ์และทองเหลืองแมงกานีส ซึ่งประกอบด้วยแมงกานีส ทองแดง ดีบุก และสังกะสี ใช้ในงานวิศวกรรมและการผลิตเครื่องจักรกล

3.การลดออกซิเจนและกำมะถัน ใช้แมงกานีสในกระบวนการกำจัดสิ่งเจือปนจากเหล็ก ช่วยปรับปรุงคุณภาพเหล็กกล้า

4.อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ โดยเฉพาะถ่านไฟฉายแบบเซลล์แห้ง ซึ่งใช้แมงกานีสไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบสำคัญ

5.การผลิตแม่เหล็กแรงสูง ซึ่งใช้แมงกานีสร่วมกับอะลูมิเนียม พลวง และทองแดง

6.อุตสาหกรรมเซรามิกและวัสดุก่อสร้าง ใช้แมงกานีสในการผลิตอิฐ กระเบื้อง และวัสดุเคลือบ

7.การผลิตสีและน้ำมันเคลือบเงา ใช้แมงกานีสไดออกไซด์เป็นสารตัวเติม เพื่อช่วยให้สีแห้งเร็ว และลดสีเขียวที่เกิดจากธาตุเหล็กในกระบวนการผลิตแก้ว

8.อุตสาหกรรมเคมีและฟอกขาว ใช้แมงกานีสเพอร์แมงกาเนตเป็นตัวเติมออกซิเจน

9.อุตสาหกรรมปุ๋ยและสี ใช้สารประกอบอื่นๆ ของแมงกานีสเป็นองค์ประกอบเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ภาพ แร่แมงกานีสชนิดต่าง ๆ จาก กรมทรัพยากรธรณี
ภาพ แร่แมงกานีสชนิดต่าง ๆ จาก กรมทรัพยากรธรณี
ภาพ แร่แมงกานีสชนิดต่าง ๆ จาก กรมทรัพยากรธรณี

ความเป็นพิษและอันตรายจากแร่แมงกานีส

แร่แมงกานีส ถือเป็นธาตุโลหะที่มีความเป็นพิษ โดยเฉพาะในแง่ของผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม หากได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณสูงหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดพิษเรื้อรังต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งมีลักษณะอาการคล้ายกับโรคพาร์กินสัน เช่น กล้ามเนื้อกระตุก เดินลำบาก สีหน้าเฉื่อยชา พูดไม่ชัด หรือแม้แต่อาการทางจิตเวชอย่างโรคจิตเภท โดยช่องทางสำคัญของการรับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่ ทางการหายใจ การกิน และการดูดซึมทางผิวหนัง

ข้อมูลจากกรมอนามัยระบุว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2537–2546 พบผู้ป่วยจากพิษแมงกานีสร่วมกับโลหะหนักอื่นๆ เช่น ปรอทและสารหนู รวมระหว่าง 14–63 รายต่อปี โดยพบมากในกลุ่มแรงงานเกษตรและรับจ้างทั่วไป ซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงจากการสัมผัสแร่แมงกานีสในสิ่งแวดล้อมหรือกระบวนการผลิต

ในด้านสิ่งแวดล้อม แร่แมงกานีสที่สะสมในน้ำหรือดินเกินระดับมาตรฐาน อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงกำหนดค่าความเข้มข้นสูงสุดของแมงกานีสที่ยอมรับได้ ทั้งในน้ำดื่ม น้ำใช้ และดิน เช่น มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) และกรมอนามัยของไทย เพื่อป้องกันการสะสมของโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

แม้แร่แมงกานีสจะมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูง แต่หากขาดการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในการทำงานอย่างเคร่งครัด ก็อาจสร้างปัญหาด้านสุขภาพและความยั่งยืนในระยะยาวได้เช่นกัน

รายการอ้างอิง

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง