ภาพ: สวท.เชียงราย กรมประชาสัมพันธ์
31 พฤษภาคม 2568 ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำและอาหารในพื้นที่เสี่ยง ลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ณ ห้องประชุมศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยยืนยันว่า “น้ำประปา – ผัก – ปลา” ปลอดภัย ไม่พบการปนเปื้อนสารหนู
ชรินทร์กล่าวว่า ข้อมูลบางส่วนที่เผยแพร่ผ่านสื่ออาจคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะผลจากชุดทดสอบเบื้องต้น (Test Kit) ซึ่งไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้ เนื่องจากชุดทดสอบเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น ควรยึดผลจากห้องแล็บที่ได้มาตรฐานและรับรองตามหลักวิชาการ พร้อมย้ำให้ประชาชนเชื่อมั่นในผลตรวจจากหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญอย่างศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่มีเครื่องมือทันสมัยและน่าเชื่อถือ รวมถึงมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจวิเคราะห์สารพิษตามหลักวิชาการอย่างถูกต้อง
ด้าน นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก็ได้ชี้แจงกรณีข่าวการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก โดยระบุว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านและอาหารที่สัมผัสกับแหล่งน้ำดังกล่าวมาตรวจสอบ
ผลการเก็บตัวอย่างจาก 6 อำเภอในเชียงราย เมื่อ 8 เมษายน 2568 พบว่าน้ำประปาหมู่บ้านมีสารหนูในระดับต่ำกว่า 0.001 – 0.009 มก./ลิตร ซึ่งไม่เกินค่ามาตรฐาน เช่นเดียวกับโลหะอื่นๆ อาทิ แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก และแมงกานีส ที่อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ต่อมาเมื่อ 2 พ.ค. 2568 ได้เก็บตัวอย่างในพื้นที่ใกล้แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกอีก 6 จุด ผลตรวจสารหนูยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 0.001 มก./ลิตร
ทั้งนี้ยังระบุอีกว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้วางแผนตรวจสอบเชิงรุกต่อเนื่องตั้งแต่เดือน พฤษภาคม-สิงหาคม 2568 โดยจะเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก และปลา รวมอย่างน้อย 76 ตัวอย่างตลอดทั้ง 4 รอบ เพื่อส่งตรวจด้วยเทคนิคมาตรฐานสากล AAS และ ICP-MS ภายใต้ระบบคุณภาพ ISO/IEC 17025:2017
นพ.วัชรพงษ์อธิบายว่า จากกรณีที่ประชาชนในแม่สายมีอาการผื่นแดงเมื่อใช้น้ำบ่อในครัวเรือน เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างตรวจเบื้องต้น 3 จุด ไม่พบสารหนู และดำเนินการตรวจสอบเชิงลึกเพิ่มเติม พร้อมทั้งย้ำว่า การตรวจสอบทั้งหมดใช้วิธีมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก มีความถูกต้อง แม่นยำ และเชื่อถือได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่
นพ.เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยังคงเดินหน้ามาตรการเฝ้าระวังสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในชุมชนที่อยู่ใกล้แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก พร้อมขอความร่วมมือประชาชนให้ใช้น้ำเฉพาะที่ผ่านการกรองหรือการปรับปรุงคุณภาพจากหน่วยงานที่รับผิดชอบเท่านั้น
นพ.เอกชัย ยังแนะนำประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ หากพบอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน อ่อนเพลีย ปัสสาวะเปลี่ยนสี หรืออาการรุนแรง เช่น ชัก หรือหมดสติ ควรรีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลใกล้บ้านทันที
ทั้งนี้ สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายยังย้ำอีกว่า สถานการณ์ล่าสุดยังไม่พบข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพของประชาชนจากสารหนูในแม่น้ำต่างๆ ในจังหวัด พร้อมทั้งย้ำว่า ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้น และประชาชนไม่ควรตื่นตระหนก แต่ขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการ และปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพอย่างเคร่งครัด
ช่วงท้ายของการแถลงข่าว ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ยังได้ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในข้อมูลจากภาครัฐ โดยทิ้งท้ายว่าแม้ยังไม่สามารถแก้ไขต้นเหตุของปัญหาได้ในทันที แต่ทางจังหวัดจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยสูงสุด พร้อมยืนยันเดินหน้ามาตรการเฝ้าระวังและรายงานผลตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เพื่อความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนในพื้นที่
เสียงสะท้อนจากคนเชียงราย-นักวิชาการ คำแถลงของรัฐยังไม่น่าเชื่อถือ กระบวนการต้องโปร่งใสกว่านี้

“มึงมีมาตรฐานอ่ะยอมรับ แล้วมึงให้อำนาจใครไปตรวจบ้างล่ะ ใครไปร่วมตรวจกับมึงบ้างล่ะ ตอนเก็บตัวอย่างมันวิธีการเยอะแยะ สถิติมันฟ้องได้หมดไง”
ด้าน นายโป๊ะ ชายวัย 36 ปี พ่อค้าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ได้ออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างผ่าน Lanner โดยตั้งคำถามต่อความโปร่งใสของกระบวนการตรวจสอบจากภาครัฐ พร้อมชี้ว่าการแถลงข่าวฝ่ายเดียวจากรัฐไม่เพียงพอในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
“การจะมาบอกว่าปลอดภัยได้ มันควรมีนักวิทยาศาสตร์หรือสถาบันวิชาการอื่นๆ เข้ามาร่วมแถลง ไม่ใช่มีแค่เจ้าหน้าที่รัฐ แล้วก็พูดว่าปลอดภัย แต่ไม่เปิดเผยข้อมูลเบื้องหลังให้ประชาชนรู้เลยว่า ‘ปลอดภัย’ หมายถึงอะไร” นายโป๊ะกล่าว
เขายังตั้งข้อสังเกตว่า หน่วยงานรัฐมักใช้วิธีการที่ทำให้สถิติดูดี แต่ไม่สะท้อนข้อเท็จจริง เช่น การรายงานสถิติอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ที่ดูเหมือนลดลง แต่ในความเป็นจริง ผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตอาจเกิดขึ้นภายหลังจากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ไม่ใช่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ทำให้สถิติเหล่านั้นถูกควบคุมได้ด้วยอำนาจรัฐ
“เราเห็นวิธีการจัดการของราชการที่ไม่น่าเชื่อถือมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เขากล่าว พร้อมย้ำว่าหากต้องการความน่าเชื่อถือในการตรวจสอบสารปนเปื้อน ต้องมีการเปิดเผยเครื่องมือและมาตรฐานที่ใช้ในการตรวจสอบ รวมถึงเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เช่น ม.แม่ฟ้าหลวง ม.เชียงใหม่ หรือ ม.พะเยา เข้าร่วมในกระบวนการตรวจสอบด้วย
นายโป๊ะเสนอว่า รัฐควรเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ หรือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ มาร่วมพูดคุยและนำเสนอข้อมูลร่วมกันอย่างโปร่งใสมากกว่านี้ พร้อมย้ำว่า ความโปร่งใสในการตรวจสอบ คือสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
ด้าน สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการอิสระด้านการพัฒนาเมืองและสิ่งแวดล้อม ได้แสดงความเห็นต่อคำแถลงของภาครัฐกรณีปัญหาสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Kidnukorn Suebsakun โดยชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือหน่วยงานรัฐหลายแห่ง ไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือที่ใช้ตรวจวัดสารโลหะหนัก แต่คือแนวคิดแบบ “อำนาจรวมศูนย์เชิงพื้นที่” (spatial command and control) และวัฒนธรรมระบบราชการไทยที่ขาดความโปร่งใส และไม่เปิดให้สังคมมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
“ต่อให้ท่านมีเครื่องมือวัดที่ดีเลิศแค่ไหน ประชาชนขาด trust อยู่ดี ต่อให้ท่านแถลงข่าวทุกวัน ปชช.ก็ตั้งคำถามอยู่ดี ต่อให้ท่านเรียกนักข่าวไป “ตำหนิ” พวกเขาก็เงียบและรอท่านย้ายตำแหน่ง…ไม่ช้าก็เร็ว…”
สืบสกุลเสนอแนวทางแก้ไขเชิงโครงสร้าง 2 ข้อ คือ
1.เปิดให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบสารโลหะหนัก ไม่ควรผูกขาดการตรวจไว้ที่หน่วยงานรัฐเพียงอย่างเดียว
2.จัดทำระบบเปิดสำหรับผลการตรวจสอบสารพิษ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างโปร่งใส
เขาทิ้งท้ายว่า หากภาครัฐสามารถดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวได้ จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน และลดความเคลือบแคลงต่อบทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมครั้งนี้
นักวิชาการเตือนรัฐเร่งสื่อสารปัญหาสารปนเปื้อน หลังพบแพร่เข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร
ในเวทีเสวนา “ทวงคืนสายน้ำกกของคนปลายน้ำ” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำโขง บ้านสบกก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ผศ.ดร.เสถียร จันทะ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยผลการตรวจคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงว่า พบสารหนูในหลายจุด ซึ่งบ่งชี้ว่าสารพิษได้เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารแล้ว โดยเฉพาะในปลากินเนื้อที่ตรวจพบสารปรอทสะสม แม้ไม่เกินค่ามาตรฐานแต่มีแนวโน้มสะสมในร่างกายมนุษย์จนเกิดโรคได้ในระยะยาว
“สารหนูมองไม่เห็น แต่ผลสะสมจะเกิดในร่างกายทีละน้อย ชาวบ้านควรรู้ข้อมูลเพื่อป้องกันตัวเอง รัฐไม่ควรปกปิดหรือสื่อสารอย่างคลุมเครือ” เขากล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐเร่งออกมาเตือนประชาชนอย่างจริงจัง
ขณะเดียวกัน ว่าที่ร้อยตรีนพพล คำเขียว จากสำนักงานเกษตรอำเภอเชียงแสน ก็ได้เปิดเผยว่า พื้นที่เกษตรกรรมที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกรวมกว่า 8,215 ไร่ เสี่ยงได้รับผลกระทบจากสารปนเปื้อน โดยเฉพาะนาข้าว พืชผักส่งออก และการเลี้ยงไหม ซึ่งอ่อนไหวต่อสารเคมีมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลตรวจวิเคราะห์ดิน น้ำ และพืชจากแล็บ
ด้าน ตัวแทนสำนักงานประมงเชียงแสนเผยว่า ได้เก็บตัวอย่างปลาจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ พบสารปรอทในปลาแข้ ปลาค้าว และปลากดเหลือง ซึ่งแม้ยังไม่เกินมาตรฐาน แต่หากบริโภคบ่อยครั้งก็เสี่ยงสะสมในร่างกาย จึงแนะนำให้ลดการบริโภคปลาในช่วงนี้
ภาณุวัฒน์ ศรีสุข หรือ “พ่อหลวงแดง” อดีตผู้ใหญ่บ้านในอำเภอเชียงแสน ได้กล่าวในเวทีว่า ได้เข้าร่วมหลายเวทีที่ผ่านมา และพบว่าการสื่อสารของหน่วยงานรัฐยังไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและข้อมูลของนักวิชาการและภาคประชาชน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า แม้ต้นตอของมลพิษจะอยู่ต่างประเทศ แต่ผลกระทบต่อทรัพยากรนั้นเกิดกับทุกคนที่ใช้แม่น้ำร่วมกัน ซึ่งไม่ควรถูกมองเป็นเพียงปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น
ถึงเวลาก้าวออกมาเพื่อแม่น้ำ รวมกิจกรรม 1-5 มิ.ย. นี้ ที่เชียงราย
โดยตั้งแต่วันที่ 1-5 มิถุนายน 2568 นี้ เครือข่ายภาคประชาชนหลายภาคส่วนได้จัดกิจกรรมเพื่อแสดงออกถึงการปกป้องลุ่มน้ำกก ประกอบด้วย
1.ดนตรีปื้นขัว: ผู้คน ดนตรี และเรื่องเล่าแห่งสายน้ำ ณ ใต้ขัวพญาเม็งรายฝั่งบ้านใหม่ วันที่ 1 – 4 มิ.ย. เวลา 18.00 – 20.30 น.
2.Jazz for the ‘Dying River’ ณ Analog Cocktails & Records วันที่ 1 มิถุนายน เวลา 19.00-20.30 น.
3.ทางอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย จะมีการจัดกิจกรรม ‘เสียงคนเจียงแสนหยุดเหมืองแร่พม่า’ เพื่อแสดงพลังของชาวเชียงแสนในการเรียกร้องการแก้ปัญหา พร้อมสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...