‘แจกเงินหมื่น’ พายุหมุนหรือลมพัดผ่าน ฟังเสียงสะท้อนฐานราก ร้านค้าและคนเหนือคิดยังไง?

Date:

โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต’ หรือที่เราอาจรู้จักกันในนาม ‘โครงการดิจิทัลวอลเล็ต’ หรือ ‘โครงการแจกเงินดิจิทัล’ (Digital Wallet) ถือเป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงด้านเศรษฐกิจหลักของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งตั้งเป้าหมายแจกเงิน 10,000 บาท ให้แก่ประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปที่เข้าเงื่อนไข เพื่อให้นำไปใช้จ่ายยัง ‘ร้านค้าขนาดเล็ก’ ภายในอำเภอตามทะเบียนบ้าน สำหรับการซื้อของอุปโภคบริโภคเท่านั้น

ขณะเดียวกัน วันนี้ (25 กันยายน 2567) ถือเป็นวันแรกที่มีการเปิดตัว Kick Off การโอนเงิน 10,000 บาท ให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรคนพิการ หรือ ‘กลุ่มเปราะบาง’ เป็นกลุ่มแรกกว่า 14.55 ล้านคน ส่งผลให้วันนี้มีประชาชนจำนวนมากในหลายพื้นที่ได้ทยอยกันไปถอนเงินสดจากธนาคารออกมา ทำให้บรรยากาศในวันนี้ทั้งในพื้นที่ต่าง ๆ และในโซเชียลมีเดียคึกคักตลอดวัน ทั้งนี้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังได้เน้นย้ำถึงการเดินหน้าโครงการ ‘Digital Wallet’ ต่อ เพื่อสร้างโอกาส สร้างความหวัง ให้ประชาชนมีกิน มีใช้ต่อไป

อย่างไรก็ดี การเปิดโอกาสให้ร้านสะดวกซื้อเข้าร่วมโครงการอย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามไปว่า สิ่งนี้เป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่หรือไม่ ตัวโครงการจะสามารถสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้ไหม และร้านค้ารวมทั้งประชาชนรู้สึกอย่างไรต่อโครงการนี้?

เส้นทางเงินดิจิทัลวอลเล็ต: วงเงินมหาศาลกระจายไปยังจุดไหนในภาคเหนือบ้าง

คำถามถัดมาคือ วงเงินมหาศาลกว่า 4.5 แสนล้านบาทเหล่านี้ จะถูกแบ่งกระจายไปยังจุดไหนในภาคเหนือบ้าง?

ที่มา: SCB EIC

จากการสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้มีสิทธิจากนโยบาย Digital wallet ปี 2567 โดย SCB EIC พบว่า สินค้าในกลุ่ม ‘Grocery’ เป็นสินค้าหลักที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมากที่สุด โดยผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้จ่ายเงินโครงการในกลุ่มสินค้า Grocery เกือบ 40% ตามมาด้วยหมวดสุขภาพและร้านอาหาร ขณะที่ ‘ร้านค้าท้องถิ่น’ และ ‘ร้านสะดวกซื้อ’ คาดว่าจะเป็นธุรกิจหลักที่ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้

ทั้งนี้ หากเมื่อสังเกตจำนวนของร้านต่าง ๆ จะเห็นได้ว่า ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่อย่าง 7-11 Lotus’s go fresh Big C Mini CJ More และ Tops ในภาคเหนือ มีจำนวนรวมกันมากถึง 2,044 สาขา โดยแบ่งเป็น 7-11 ที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในภาคเหนือ 1,630 สาขา Lotus’s go fresh 217 สาขา Big C Mini 147 สาขา CJ MORE 28 สาขา และ Tops 22 สาขา ซึ่งสามารถจำแนกเป็นรายจังหวัดได้ดังนี้

จังหวัดเชียงใหม่ 421 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 297 Lotus’s go fresh 70 Big C Mini 44 Tops 10

จังหวัดเชียงราย 224 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 190 Lotus’s go fresh 18 Big C Mini 15 Tops 1

จังหวัดนครสวรรค์ 194 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 149 Lotus’s go fresh 15 Big C Mini 4 CJ MORE 21 Tops 5

จังหวัดพิษณุโลก 184 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 148 Lotus’s go fresh 23 Big C Mini 12 Tops 1

จังหวัดเพชรบูรณ์ 138 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 114 Lotus’s go fresh 14 Big C Mini 10

จังหวัดลำปาง 129 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 101 Lotus’s go fresh 12 Big C Mini 15 Tops 1

จังหวัดตาก 96 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 80 Lotus’s go fresh 8 Big C Mini 7 Tops 1

จังหวัดกำแพงเพชร 96 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 82 Lotus’s go fresh 6 Big C Mini 7 Tops 1

จังหวัดพิจิตร 84 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 73 Lotus’s go fresh 7 Big C Mini 3 Tops 1

จังหวัดลำพูน 81 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 67 Lotus’s go fresh 6 Big C Mini 8

จังหวัดสุโขทัย 72 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 62 Lotus’s go fresh 7 Big C Mini 3

จังหวัดพะเยา 67 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 57 Lotus’s go fresh 5 Big C Mini 4 Tops 1

จังหวัดแพร่ 58 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 47 Lotus’s go fresh 9 Big C Mini 2

จังหวัดน่าน 58 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 49 Lotus’s go fresh 5 Big C Mini 4

จังหวัดอุตรดิตถ์ 58 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 49 Lotus’s go fresh 4 Big C Mini 5

จังหวัดอุทัยธานี 47 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 37 Lotus’s go fresh 2 Big C Mini 1 CJ MORE 7

จังหวัดแม่ฮ่องสอน 37 แห่ง ประกอบด้วย 7-11 28 Lotus’s go fresh 6 Big C Mini 3

จากข้อมูลข้างต้นจะสังเกตได้ว่า ร้านสะดวกซื้อในภาคเหนือส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในจังหวัดขนาดใหญ่ในภูมิภาคอย่าง เชียงใหม่ โดยมีจำนวนสาขารวมของร้านสะดวกซื้อทุกแบรนด์มากที่สุดถึง 421 แห่ง คิดเป็นสัดส่วน 20.6% เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ ทั้งหมด ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ที่มีจำนวนร้านสะดวกซื้อมากตามมา 5 ลำดับ ได้แก่ เชียงราย 224 (10.96%) แห่ง นครสวรรค์ 194 แห่ง (9.49%) พิษณุโลก 184 แห่ง (8.99%) เพชรบูรณ์ 138 แห่ง (6.75%) และลำปาง 129 แห่ง (6.3%)

ทั้งนี้ หากเจาะลึกลงมาที่ร้านสะดวกซื้อแต่ละแบรนด์ พบว่า ร้าน 7-11 มีความกระจุกตัวอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีมากถึง 297 แห่ง เชียงราย 190 แห่ง นครสวรรค์ 149 แห่ง พิษณุโลก 148 แห่ง และเพชรบูรณ์ 114 แห่ง โดยในทั้ง 5 จังหวัดนี้ มีสาขาของ 7-11 รวมกว่า 898 แห่งจากทั้งหมด 1,630 แห่งในภูมิภาค หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 55.15% และยังมีจำนวนสาขามากกว่าแบรนด์อื่น ๆ ในทุกจังหวัดอีกด้วย

อย่างไรก็ดี การที่ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ สามารถเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ นั่นหมายความว่า ประชาชนสามารถที่จะใช้เงินหมื่นกับร้านสะดวกซื้อได้ ทำให้เกิดคำถามว่า ‘รัฐบาลกำลังเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนใหญ่หรือไม่?’

ดิจิทัลวอลเล็ตสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจหรือเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่าน?

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ‘โครงการดิจิทัลวอลเล็ต’ หรือ ‘โครงการแจกเงินดิจิทัล’ ถือเป็นนโยบายแห่งความหวังที่จะกระจายเม็ดเงินและรายได้สู่ประชาชนในทุกอำเภอทั่วประเทศ เพื่อสร้าง ‘พายุหมุนทางเศรษฐกิจ’ 4 ลูกใหญ่ ซัดเงินเข้ากระเป๋าคนไทย อัดกระแทกเม็ดเงินกระตุกให้เศรษฐกิจฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง  แต่คำถามคือ ‘โครงการนี้สามารถสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้จริงหรือเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่าน?

เพราะหากพิจารณาจากจำนวนงบประมาณรายจ่ายที่ต้องใช้เพื่อทุ่มเทให้กับตัวโครงการ จะพบว่า โครงการนี้ถือเป็นนโยบายที่สร้างภาระทางคลังสูงมาก เนื่องด้วยจำเป็นต้องใช้งบฯ จำนวนมหาศาลกว่า 4.5 แสนล้านบาท ในการกระตุ้นอุปสงค์มวลรวม แน่นอนว่ามาตรการที่สร้างภาระทางคลังสูงเช่นนี้ย่อมต้องถูกคาดหวังต่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจระดับมหภาคในระยะยาว โดย วิมุต วานิชเจริญธรรม อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค การเงิน และการเงินระหว่างประเทศ ได้คาดการณ์ไว้ในบทความ “นโยบายแจกเงินสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้จริงไหม? ย้อนมองกรณีศึกษาญี่ปุ่นและจีน” ของ 101world ว่า หากทำได้สำเร็จ GDP ของไทยในปี 2567 อาจเติบโตพุ่งทะยานถึง 5% และเกิดแรงกระเพื่อมที่ส่งผลให้ GDP ในปีถัดไปเติบโตตามในอัตราเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่?

บทความนี้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทย เพื่อคาดการณ์ถึงผลลัพธ์ของมาตรการแจกเงินต่อ GDP โดยในปี 2542 รัฐบาลญี่ปุ่นใช้นโยบายการคลังแจกคูปองเงินสดซื้อของ (Shopping Coupon) มูลค่า 20,000 เยน หรือประมาณ 200 เหรียญสหรัฐฯ (ตามอัตราการแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) ให้แก่ประชากรญี่ปุ่นราว 31-32 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 (25%) ของประชากรญี่ปุ่นทั้งหมด ที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี หรือผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี อาศัยอยู่ด้วย เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและแก้ปัญหาภาวะเงินฝืด (Defletion) โดยจะได้รับคูปองตามจำนวนสมาชิกเด็กหรือผู้สูงอายุในบ้าน คูปองมีอายุ 6 เดือน ใช้ได้เฉพาะในพื้นที่ที่ผู้รับอาศัยอยู่ และไม่สามารถใช้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล จ่ายภาษี ค่าสาธารณูปโภค หรือชำระหนี้ได้

นโยบายนี้ใช้เงินงบประมาณรวมอยู่ที่ 6.2 แสนล้านเยน หรือราว 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และคูปองถูกใช้จ่ายภายในระยะเวลาดำเนินการโครงการไปถึง 99.6% ของจำนวนคูปองที่แจกจ่ายทั้งหมด  อย่างไรก็ตาม การศึกษาผลลัพธ์ของนโยบายโดย Hsieh, Shimizutani and Hori ในปี 2553 ผ่านบทความวิจัย “Did Japan’s shopping coupon program increase spending?” พบว่า ไม่มีหลักฐานทางสถิติอย่างชัดเจนที่ยืนยันได้ว่านโยบายนี้ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือนมีนาคมถึงกรกฎาคมที่มีการแจกคูปอง 

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะเมื่อพิจารณาจากรายจ่ายของครัวเรือนตามประเภทสินค้า แม้การแจกคูปองจะทำให้การใช้จ่ายในสินค้ากึ่งคงทน (semi-durables) เพิ่มขึ้นถึง 1.3% ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกของการแจกคูปองเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่หลังจากนั้น การใช้จ่ายในสินค้ากลุ่มนี้กลับลดลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกรกฎาคม สังเกตได้จากค่าอัตราการบริโภค (Marginal Propensity to Consume) หรือ MPC ที่ลดลงจาก 0.09 ในเดือนมีนาคม เหลือเพียง -0.01 ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า นโยบายนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ประชาชนเพียงแค่ ‘เร่งการบริโภค’ ให้เร็วขึ้นเท่านั้น

ที่มา:  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

หรือหากอิงตามรายงานวิจัยของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เรื่อง “Digital wallet คาดกระตุ้นค้าปลีกปี 67 เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมเพียง 1%” (2567) ก็จะพบว่า การกำหนดเงื่อนไขพื้นที่และประเภทร้านค้า รวมถึงการถอนเงินสดของโครงการ อาจส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการเข้าร่วมของร้านค้า โดยเฉพาะร้านค้ารายย่อย ซึ่งเงื่อนไขที่ค่อนข้างซับซ้อนอาจทำให้มีจำนวนร้านค้าที่เข้าร่วมน้อยกว่าที่คาด ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่า หากโครงการสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันทีในไตรมาส 4 ตามแผนที่วางไว้ ก็อาจช่วยเพิ่มยอดค้าปลีกปี 2567 ให้เติบโตขึ้นเพียง 4% เทียบกับคาดการณ์เดิมหากไม่มีโครงการฯ ที่ 3% หรือเพิ่มขึ้นเพียง 1% เท่านั้น

จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่สามารกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว? 

ดวงมณี เลาวกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงความกังวลต่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลในบทความ “‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ เสี่ยงได้ไม่คุ้มเสีย เหตุ ‘เพิ่มภาระหนี้ล้น’ กระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวไม่ได้” (2567) ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไว้ว่า หากโครงการนี้ไม่สามารถกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้ อาจส่งผลให้งบประมาณของประเทศตกอยู่ในสภาวะขาดดุลสูงอย่างต่อเนื่อง และทำให้วินัยการคลังอ่อนแอลง ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกัน การส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม ก็กำลังเผชิญกับปัญหา ซึ่งต้องติดตามว่าการขยายตัวจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ภายในปลายปี 2567 นี้

เช่นเดียวกันกับ ยุทธนา เศรษฐปราโมทย์ อาจารย์จากคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาศาสตร์ ที่ประเมินความเสี่ยงของตัวโครงการนี้ไว้ในบทความ “โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท กับความยั่งยืนของการเติบโตเศรษฐกิจไทย” (2566) ว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล เปรียบเสมือนการเพิ่มรายจ่ายเพื่อการบริโภคในระยะสั้น แต่จะมีผลลดทอนรายจ่ายด้านการลงทุนของภาครัฐในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมระยะยาวในภูมิภาคที่กำลังขยายตัว นอกจากนี้ การเพิ่มหนี้สาธารณะอาจส่งผลต่อความเสี่ยงทางการคลังและความน่าเชื่อถือของประเทศ รวมถึงความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ หากการขยายตัวของอุปสงค์ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อเมื่อช่องว่างการผลิตแคบลง ทำให้การขยายตัวของรายได้ที่แท้จริงเพิ่มขึ้นไม่มาก ซึ่งถึงแม้ว่าผลของนโยบายการแจกเงินอาจกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2567 ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็มีต้นทุนที่เกิดจากการลดลงของการลงทุนภาครัฐและเอกชนในอนาคต และอาจส่งผลต่อความยั่งยืนของการพัฒนาประเทศ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ควรจะต้องใช้ความรอบคอบในการพิจารณาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนต่อการดำเนินนโยบาย

เสียงสะท้อนจาก ‘ฐานราก’ ถึงดิจิทัลวอลเล็ต ร้านค้าและประชาชนว่ายังไง?

หลังฟังเสียงจากผู้กำหนดนโยบายและนักวิชาการมามากมาย คำถามที่สำคัญคือ  แล้วร้านค้าและประชาชนว่ายังไงกับโครงการนี้ ร้านค้าและประชาชนมีความรู้สึกหรือข้อคิดเห็นต่อโครงการนี้อย่างไรต่อดิจิทัลวอลเล็ต?

วิชัย เป็งเรือน

วิชัย เป็งเรือน ผู้ใหญ่บ้านบ้านต้นผึ้ง ม.7 ในฐานะผู้ดูแลรับผิดชอบร้านค้าชุมชนประชารัฐกองทุนหมู่บ้านบ้านต้นผึ้ง ต.แม่โป่ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ได้สะท้อนมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลกำลังผลักดันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยกล่าวกับทีมสัมภาษณ์ว่า ในฐานะร้านค้าชุมชน หากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเกิดขึ้นจริง ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อทั้งประชาชนและร้านค้าขนาดเล็กไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านค้าชุมชนที่เป็นเหมือนหัวใจของชุมชน

อย่างไรก็ตาม วิชัยอยากเสนอให้ขยายขอบเขตการใช้งานดิจิทัลวอลเล็ตให้ครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะเพียงในพื้นที่อำเภอเดียว เพื่อให้ร้านค้าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างอำเภอสามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างเต็มที่ และลูกค้าก็สามารถใช้จ่ายได้อย่างสะดวกมากขึ้น ขณะเดียวกันควรเปิดโอกาสให้ร้านค้าทุกประเภทเข้าร่วมโครงการ ไม่จำกัดเฉพาะร้านค้าที่มีการจดทะเบียนพาณิชย์เท่านั้น ร้านค้าขนาดเล็ก หรือร้านค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน ควรได้รับโอกาสเข้าร่วมโครงการด้วย เพราะร้านค้าเหล่านี้เป็นร้านค้าที่เข้าถึงชุมชนได้โดยตรง หากจำกัดเฉพาะร้านค้าที่มีทะเบียนพาณิชย์ อาจทำให้ประชาชนในหลายพื้นที่ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ 

ทั้งนี้ วิชัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงกลุ่มคนที่อยู่ในฐานรากอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ การกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อชุมชน

“อยากให้รัฐเข้ามาถึงจุดที่เป็นฐานรากจริง ๆ เพื่อที่มันจะเป็นการกระจายรายได้หรือกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง”

ขณะเดียวกันด้าน ไผ่ (สงวนนาม) พนักงานบริษัทเอกชน หนึ่งในประชาชนผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า การแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตาม ยังไม่เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมากนัก โดยมองว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรับเงินเท่านั้น ซึ่งอาจไม่ได้สร้างผลที่เป็นรูปธรรมต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

ในแง่ของความยากง่ายต่อการใช้งาน แม้แอปพลิเคชันจะถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย แต่คำถามคือ เงินดิจิทัลจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือ และมันจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะยาวหรือไม่ หรือเป็นเพียงนโยบายการเมืองเท่านั้น

ในแง่ของประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไผ่มองว่า ถ้ามองแบบผิวเผินก็คงได้ประโยชน์บ้าง เช่น ได้เงินหมื่นบาท แต่หากมองให้ลึกกว่านั้นจะเห็นว่ามันมีผลกระทบในระยะยาว สิ่งที่รัฐบาลทำคือการแจกเงินเพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลเข้ามาช่วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและไม่ยั่งยืน การแจกเงินแบบนี้ในระยะยาวจะทำให้ประชาชนไม่เติบโต เศรษฐกิจก็ไม่กระเตื้อง และสุดท้ายมันจะทำให้ระบบการเมืองเสื่อมลง เพราะพรรคการเมืองที่ไม่มีนโยบายแจกเงินจะไม่มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ 

ทั้งนี้ ไผ่เสนอทิ้งท้ายว่า รัฐบาลควรนำเงินไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับรากฐาน อาทิ การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย การสร้างงาน หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาวมากกว่าการแจกเงิน ที่เป็นการแก้ปัญหาแบบฉาบฉวย สิ่งที่เราควรทำคือ ‘การสร้างระบบที่ส่งเสริมให้คนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน’

อ้างอิง

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

คนแม่อายประกาศ ‘ไม่เอาฝายดักตะกอน’ แนะรัฐควรใช้งบ 173 ล้านสร้างประปาบาดาลแทน

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ร่วมกับมูลนิธิร่มโพธิ์ กลุ่มรักษ์แม่น้ำกก และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดเวทีรับฟังปัญหาและผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำกก ที่ตำบลท่าตอน...

นักกิจกรรมเชียงใหม่จัด Run2Free ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ’ ร้องหยุดจองจำผู้เห็นต่าง ไม่ลืมเพื่อนในเรือนจำ

25 ตุลาคม 2568 กลุ่มเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ จัดกิจกรรม ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ X ยืนหยุดขัง Run2Free’...

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...