ร้องรัฐยุติกฎหมายแยกคนจากป่า ‘สชป.’  เตรียมยื่น 3 ข้อเรียกร้องถึงนายกฯ ใน ครม. สัญจรเชียงใหม่ 29 พ.ย.

Date:

ภาพ:  IMN เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง

วันนี้ (26  พฤศจิกายน 2567) ณ ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่ม ‘สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า’ หรือ สปช. แถลงการณ์เรียกร้องต่อ ครม.สัญจร ของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ยกเลิก ‘พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์’ หรือ พระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562  และพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562  โดยระบุว่า กฎหมายดังกล่าวละเมิดสิทธิชุมชนและอาจสร้างความขัดแย้งในการจัดการป่า พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายอุทยานและจัดตั้งคณะทำงานร่วม

สำหรับจุดเริ่มต้นของ พ.ร.ฎ. ป่าอนุรักษ์ กฎหมายฉบับดังกล่าวเป็นกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับป่าอนุรักษ์นี้มีต้นกำเนิดจากช่วงการเมืองไม่ปกติหลังการรัฐประหารในปี 2557 โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ถูกแต่งตั้งในยุคนั้น ได้ผลักดันกฎหมายหลายฉบับ รวมถึงพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคม 2562

ตัวกฎหมายมีเป้าหมายแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนที่อยู่ในเขตป่าซ้อนทับกับพื้นที่อนุรักษ์ แต่กระบวนการสำรวจและรวบรวมข้อมูลที่ดินทำกินกลับล่าช้าและซับซ้อน แม้กำหนดกรอบเวลาไว้ 240 วัน แต่จนถึงปัจจุบันปี 2567 ยังไม่แล้วเสร็จ และเกิดปัญหาการขยายเวลาหลายครั้ง

คณะกรรมาธิการ การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเนื้อหาของร่าง พ.ร.ฎ. ว่าอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิของประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์เดิม โดยร่างกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์ต้องเปลี่ยนสถานะเป็นโครงการอนุรักษ์ตามกฎหมาย และจำกัดพื้นที่การครอบครอง เช่น ต้องจำกัดพื้นที่การครอบครองไม่เกิน 20 ไร่ต่อครอบครัว และไม่เกิน 40 ไร่ต่อครัวเรือน นอกจากนี้ ชุมชนยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและความเป็นอยู่ของประชาชนที่เคยอาศัยและใช้ประโยชน์ในพื้นที่มาก่อน

ในแถลงการณ์ สชป. ชี้ว่า พ.ร.ฎ. ทั้ง 2 ฉบับนี้ จะส่งผลกระทบต่อครัวเรือนกว่า 462,444 ครัวเรือน หรือ 1,849,792 คน ที่อาศัยและทำกินในพื้นที่อนุรักษ์ โดย ระบุว่า กฎหมายนี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชนท้องถิ่น ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และอาจเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังระบุเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 29 พ.ย. นี้ ซึ่งเป็นวันประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่ สชป. จะเตรียมเข้าพบ แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เพื่อยื่นข้อเสนอ 3 ประการสำคัญ ได้แก่

1. ขอให้ยุติการนำพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562  และพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ไปประกาศใช้กับพื้นที่ป่าอนุรักษ์อื่นๆ จนกว่าจะมีการปรับแก้กฎหมาย ในส่วนที่มีการประกาศใช้ไปแล้ว 6 แห่งนั้น ให้มีกระบวนการติดตามผลการดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วม เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับภาครัฐ

2. ให้รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเร่งปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน  และใช้กลไกรัฐสภาที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนประชาชนมีหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติตามระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว

3. ให้รัฐบาลจัดตั้งกลไกในรูปแบบที่เป็นคณะกรรมการหรือคณะทำงานจัดเวทีเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับได้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน

สำหรับความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ สปช. คาดว่าประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายดังกล่าวจะเริ่มเดินทางมารวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่เย็นวันที่ 28 พ.ย. ก่อนจะเคลื่อนขบวนในวันรุ่งขึ้น เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ในการประชุม ครม.สัญจร วันที่ 29 พ.ย. นี้ และในช่วงท้ายของการแถลงข่าว ทางแกนนำย้ำว่า การชุมชนเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้น จะเป็นการรวมพลังอย่างสันติวิธี เพื่อแสดงความกังวลต่อผลการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

คนนี้หน้าคุ้นๆ เป็นแล้ว เป็นอยู่ เป็นต่อ? ย้อน 5 เลือกตั้ง สส. เขตภาคเหนือ ใครยึดเก้าอี้แน่นสุด

มองย้อนกลับไป 20 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)...

#เลือกอนาคตของเฮา รวมสีสันศูนย์ประชามติภาคเหนือ หลายจังหวัดเริ่มแล้ว ก่อนกา ‘เห็นชอบ’ 8 ก.พ. 69

ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือเริ่มตั้ง ‘ศูนย์ประชามติ’ ในหลายจังหวัด โดยใช้พื้นที่ของเอกชนและชุมชนเป็นจุดทำงาน เช่น ร้านหนังสือ คาเฟ่...

#เลือกอนาคตของเฮา จวนหมู่เฮาจาวเหนือไปก๋าประชามติรัฐธรรมนูญใหม่ วันเดียวกับเลือกตั้ง 8 ก.พ. 69

อย่างตี้ฮู้กั๋นว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดหื้อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นวันเลือกตั้ง แต่วันเดียวกั๋นนี้จะมี ‘ก๋านออกเสียงประชามติ’...

มองบ้านใหญ่ภาคเหนือในเลือกตั้ง 69: 18 ตระกูลย้ายพรรค–22 ตระกูลปักหลักที่เก่า–อีก 3 ตระกูลก้าวจากท้องถิ่นสู่การเมืองระดับชาติ

‘บ้านใหญ่’ ไม่ได้หมายถึงครอบครัวที่เล่นการเมืองเพียงครอบครัวเดียว แต่หมายถึงเครือข่ายตระกูลการเมืองที่สืบทอดบทบาทและอิทธิพลต่อเนื่องยาวนาน โดยที่สมาชิกในเครือข่ายมักกระจายตัวอยู่ทั้งในสนามการเมืองท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้รับเหมางบประมาณ และภาคธุรกิจ  ในการเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้...