“ล่อซ้อนหลอก” เปิดอุบายมิจฉาชีพ อ้างเป็นตำรวจ – อาจารย์มหา’ลัย เน้นเหยื่อเป็นนักศึกษา

เรื่อง : วิชชากร นวลฝั้น

ภาพ : วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง

ปัจจุบันสังคมไทยกำลังเผชิญกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานตั้งมั่นอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และชักชวนคนไทยให้เข้าไปทำงานเป็นมิจฉาชีพที่วกกลับมาหลอกคนไทยด้วยกันเองอีกทอด โดยสร้างกลอุบายต่างๆ อาทิ หลอกล่อเหยื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่ธนาคาร ตัวแทนจากบริษัทต่างๆ เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ได้ปรับเปลี่ยนกลวิธีที่ใช้ และขยับกลุ่มเป้าหมายจากผู้สูงอายุมาเป็นวัยทำงาน ลามไปยังนักเรียน – นักศึกษา ทำให้ผู้เสียหายมีทุกช่วงวัย อีกทั้งยังมีการแอบอ้างชื่อบุคคลที่มีตำแหน่งเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงเหยื่อ ลักษณะเหล่านี้ไม่ได้สร้างความเสียหายเพียงทรัพย์สิน แต่ยังเกิดความเสียหายกับชื่อเสียงของผู้ที่ถูกแอบอ้าง

ย้อนไปเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ออกประกาศเตือนภัยมิจฉาชีพปลอมเอกสาร แอบอ้างชื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลอกเรียกเก็บเงินเข้าร่วมโครงการศึกษาดูงานและฝึกงานต่างประเทศ โดยภายในเอกสารที่มิจฉาชีพใช้แอบอ้างนั้นได้ระบุข้อมูลชื่อ เลขที่บัตรประชาชน รหัสนักศึกษา คณะที่ศึกษา ชั้นปีที่เหยื่อกำลังศึกษาอยู่ ส่วนรายการค่าใช้จ่ายแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.ทุนรวมโครงการศึกษาดูงานที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งในเอกสารระบุว่าทางโครงการชำระให้แล้ว เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 6,558,000 บาท 2.ค่าดำเนินการวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าสู่ประเทศ ซึ่งในส่วนนี้คือส่วนที่ผู้เสียหายต้องจ่าย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 500,000 บาท ภายในเอกสารยังอ้างว่าการศึกษาดูงานครั้งนี้เป็นการฝึกงาน ระยะเวลา 14 – 30 วัน เพื่อใช้สำหรับเรียนต่อระดับปริญญาโท ณ Wilmington University อีกทั้งยังเป็นโควต้าในการทำงานกับสปอนเซอร์ของโครงการ โดยระบุชื่อ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีรนุช ศิริวิทยากร เป็นอาจารย์ผู้รับผิดชอบโครงการ และมีลายเซ็นจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ ดร. พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เอกสารที่มิจฉาชีพใช้แอบอ้าง

หากสังเกตบนเอกสารที่มิจฉาชีพใช้แอบอ้าง พบว่ามีหลายจุดที่ผิดปกติ เริ่มต้นที่

1.ทางมหาวิทยาลัยไม่มีการใช้สัญลักษณ์ CMU บนเอกสาร

2.ค่าใช้จ่ายวีซ่าเพื่อเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกามีค่าธรรมเนียมสำหรับนักเรียนในโครงการแลกเปลี่ยน อยู่ที่ 6,845 บาท และต้องมีหลักฐานแสดงสถานะทางการเงิน หรือ Statement บัญชีธนาคารย้อนหลังอย่างน้อย 6-12 เดือน ซึ่งในเอกสารของมิจฉาชีพมีค่าใช้จ่ายวีซ่าสูงถึง 500,000 บาท เป็นจำนวนเงินที่สูงเกินจริง

3.รายละเอียดในส่วนท้ายของเอกสารมีลักษณะที่ให้สิทธิประโยชน์เกินจริง โดยระบุว่าการศึกษาดูงานครั้งนี้มีผลต่อหน่วยกิตของนักศึกษา และเพื่อใช้ในการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ณ Wilmington University อีกทั้งยังมีสิทธิได้ทำงานกับทางสปอนเซอร์โครงการ

4.มีการใช้ตราสัญลักษณ์หลายจุดอย่างผิดสังเกต ทั้งตราสัญลักษณ์รูปช้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , ตราสัญลักษณ์ CMU มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , ifourGroup ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศ และ CMU bs คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ธีรนุช ศิริวิทยากร รองคณบดี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ถูกแอบอ้างว่าเป็นผู้รับผิดชอบโครงการได้ติดต่อมาทาง Lanner เพื่อให้ช่วยเตือนภัยระวังมิจฉาชีพที่ใช้กลอุบายลักษณะนี้หลอกนักศึกษา โดยเธอเล่าวว่าในช่วงวันที่ 28 เมษายน 2568 ตามที่มิจฉาชีพระบุบนเอกสารเธอยังไม่ทราบว่าถูกแอบอ้างชื่อ จนกระทั้ง 6 พฤษภาคม 2568 เริ่มมีอาจารย์ที่ทำงานด้วยกันส่งเอกสารดังกล่าวมาให้ดู และในช่วงเวลาดังกล่าวเริ่มมีผู้ปกครองและนักศึกษาที่เป็นผู้เสียหายเริ่มติดต่อเข้ามาถามเรื่องโครงการศึกษาดูงานที่ต่างประเทศ ซึ่งเธอไม่ทราบและไม่รู้เห็นมาก่อน จึงแจ้งมหาวิทยาลัยและดำเนินคดีทางกฎหมายในเวลาต่อมา

ธีรนุช ศิริวิทยากร

“ตอนแรกมีอาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็นผู้อำนวยการสถาบันภาษา เขาส่งเอกสารโครงการ (ที่แนบไปให้นั่นแหละค่ะ) มาให้ดู แล้วก็ถามว่า “ใช่ของ มช. ไหม” เพราะมีผู้ปกครองคนหนึ่งจ่ายเงินไปแล้ว 800,000 บาท ทีนี้พอเราเห็นเอกสาร ก็บอกเลยว่านี่ไม่ใช่โครงการของ มช. แน่นอนค่ะ เราก็เลยไปแจ้งความไว้ว่า มีคนแอบอ้างใช้ชื่อเรา หลังจากนั้นก็มีเคสอื่นๆ เข้ามาอีกเรื่อยๆ เลยค่ะ” ธีรนุช กล่าว

ธีรนุช เล่าต่ออีกว่าผู้เสียหายไม่ได้มีเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ยังมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ โดยแอบอ้างเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 

เอกสารที่มิจฉาชีพใช้แอบอ้าง
เอกสารที่มิจฉาชีพใช้แอบอ้าง

“บางรายก็เป็นผู้ปกครองจาก มศว. โทรมาถาม แต่เขาเอะใจทันว่าทำไมอาจารย์จาก มช. ถึงมาเรียกเก็บเงินเด็ก มศว. เลยยังไม่ทันโอน แต่บางคนก็โอนจริงๆ แล้วนะคะ บางคนโอนเป็นล้าน บางคน 300,000 บาท อย่างล่าสุดที่เจอเมื่อวาน เป็นเด็กปี 1 มช. เองค่ะ” ธีรนุช กล่าว

ธีรนุช อธิบายว่ากระบวนการที่มิจฉาชีพเหล่านี้ใช้ไม่ได้แอบอ้างว่าเป็นเธอตั้งแต่เริ่มแรก โดยมิจฉาชีพจะโทรมาหาผู้เสียหาย ทำทีเป็นคอลเซ็นเตอร์จาก AIS และหลังจากนั้นจะโอนสายให้คุยกับตำรวจ อ้างว่าผู้เสียหายถูกดำเนินคดีเรื่องชักชวนคนเล่นพนันออนไลน์ และให้จ่ายเงิน 300,000 บาทเพื่อตรวจสอบคดี จากนั้นจะมีสายโทรมาอ้างว่าเป็นอาจารย์ชื่อ “ธีรนุช” บอกว่าจะช่วยไกล่เกลี่ย ถ้าโอนเงิน 300,000 ตอนนี้ จะพยายามช่วยให้ได้เงินคืนในรูปแบบทุนไปต่างประเทศ

เบื้องต้นได้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว 3 ครั้ง แต่ยังไม่ได้รับความคืบหน้า ส่วนทางมหาวิทยาลัยได้มีการขอหลักฐานเพื่อใช้ในการดำเนินคดี แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับความคืบหน้าเรื่องคดีจากมหาวิทยาลัยเช่นกัน

“เราก็เครียด เพราะชื่อเสียงเสียหาย แต่ก็มีคนรู้จักที่เป็นอัยการ เขาบอกว่าไม่ต้องห่วง ตำรวจจะดูบัญชีปลายทางอยู่แล้วว่าเงินไปไหน อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ก็สงสารผู้ปกครองกับนักศึกษา เพราะเริ่มมีคนโดนเยอะขึ้นเรื่อยๆ” ธีรนุช กล่าว

Lanner ได้ติดต่อไปยัง วิรากร ญาณวุฒิ พี่ชายของผู้เสียหายรายหนึ่ง เขาได้เล่าว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 โดยน้องชายได้โทรมาบอกว่าเขากำลังจะไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ผ่านโครงการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และต้องใช้เงิน 500,000 บาทเป็นหลักประกันขอวีซ่าเดินทางเข้าประเทศ ภายหลังจึงพบว่าน้องชายของตนถูกมิจฉาชีพหลอก

วิรากร ได้อธิบายกระบวนการของมิจฉาชีพในทิศทางเดียวกับธีรนุช โดยจะมีคนโทรมาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่เครือข่ายโทรศัพท์ แจ้งว่าเจ้าของเบอร์โทรเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์และแชร์ลูกโซ่ จากนั้นสายก็ได้เชื่อมไปยังคนที่อ้างว่าเป็นตำรวจ ซึ่งมีจำนวนหลายคน และให้ผู้เสียหายแอดไลน์ “สภ.บ้านโป่ง” โดยกดดันผู้เสียหายว่า “ถ้าไม่ทำตาม จะโดนหมายศาล โดนจับนะ” แต่เนื่องจากผู้เสียหายเป็นนักศึกษา ซึ่งส่วนมากจะมีเงินไม่ถึง 500,000 บาท มิจฉาชีพเหล่านี้จึงออกอุบายว่า “จะเอาเงินจากไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่” จากนั้นจึงให้เหยื่อไปหลอกครอบครัวว่าเป็นค่าใช้จ่ายไปเรียนต่อต่างประเทศ

เอกสารที่มิจฉาชีพใช้แอบอ้าง

“มิจฉาชีพมันโยงต่อเลยครับ บอกให้น้องอ้างชื่ออาจารย์ท่านหนึ่งใน มช. อ้างโครงการดูงานต่างประเทศ มีเอกสารพร้อม มีตรา มช. มีชื่อคณะ รายละเอียดครบมาก จนเราคิดว่าเป็นเรื่องจริง น้องก็ส่งมาให้ผมดูด้วย ที่สำคัญคือ มันไม่ใช่แค่หลอก แต่เหมือน “กักขังทางจิตใจ” ด้วยครับ มันวิดีโอคอลกับน้องยาวหลายชั่วโมงตั้งแต่เที่ยงยันเย็น ไม่ให้เขาได้พูดคุยกับใครเลย” วิรากร กล่าว

วิรากร เชื่อว่ามิจฉาชีพเหล่านี้ทำกันเป็นขบวนการ มีการเล่นกับเวลาและใช้แรงกดดันสูง เพื่อที่จะบังคับผู้เสียหายให้ทำตาม อีกทั้งมิจฉาชีพเหล่านี้ยังใช้แผน “ล่อซ้อนหลอก” เช่น อ้างว่าเรามีคดีความจึงล่อให้เราต้องจ่ายเงินในตรวจสอบว่ามีความผิดจริงมั้ย หากเราไม่มีเงินก็จะให้ผู้เสียหายไปหลอกคนในครอบครัวว่าเป็นค่าไปเรียนต่อต่างประเทศ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ หากครอบครัวที่ไว้ใจกันมากๆ ก็อาจไม่ทันตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเงินดังกล่าวถูกนำไปใช้เรียนต่อจริงหรือไม่ อีกทั้งมิจฉาชีพยังใช้ความกลัวของผู้เสียหายเป็นเครื่องมือในการบังคับ ขู่เข็น ให้ทำตามทันที 

“สภาพจิตใจตอนนี้ก็แย่ครับ ทั้งน้อง ทั้งครอบครัว แต่เราก็ต้องอยู่กับมันต่อไปให้ได้ น้องเขาเองก็รู้สึกผิด โทษตัวเองเยอะมาก บอกว่า “เป็นตาบาปเดียวที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” แต่ผมก็บอกเขาว่าเรื่องแบบนี้ มันคือบทเรียน” วิรากร กล่าว

วิรากร ยังทิ้งท้ายไว้ว่าอยากให้ทุกคนระวังมากๆ ถ้ามีใครพูดเรื่องเงิน ขอให้ตั้งสติและถามให้ละเอียด อย่าหลงเชื่อโดยง่าย และอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น รัฐบาล ธนาคาร หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์ ช่วยเหลือผู้เสียหายจริงจังในการติดตามบัญชีปลายทาง หรือเยียวยาความเสียหายบางส่ว

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้นักศึกษาและผู้ปกครองต้องใช้ความระมัดระวังในการรับข้อมูลข่าวสาร อย่าหลงเชื่อโดยง่าย เพียงเพราะเป็นหนังสือราชการมีตราครุฑ หรือตรามหาวิทยาลัย หากถูกแอบอ้างว่ามาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สามารถตรวจสอบได้ที่ เว็ปไซต์ มช. หรือปรึกษาได้ที่ Facebook page : CMU Zero tolerance หากรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อให้รีบแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุโดยทันที ทั้งนี้ สถานีตำรวจที่ดูแลพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือสถานีตำรวจภูพิงคราชนิเวศน์ โทร. 053-211-750 หรือ 191 หรือโทรสายด่วน 1441

นักมานุษยวิทยามือสมัครเล่น ผู้ที่สนใจประเด็นทางสังคมรอบตัว และพยายามตามหาคำตอบเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังพัฒนาการสื่อสารประเด็นทางสังคมในหลากหลายรูปแบบ เพื่อต้องการให้สังคมเกิดการรับรู้เพิ่มขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง