แม่น้ำกกที่ไหลผ่านวัดท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กลายเป็นภาพสะท้อนความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมจากการปนเปื้อนสารพิษที่ไร้พรมแดน โดยเฉพาะ ‘สารหนู’ ที่ยังคงถูกตรวจพบเกินค่ามาตรฐานทั้งในน้ำและตะกอนดินหลายจุดอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากกรมควบคุมมลพิษยืนยันการปนเปื้อนที่รุนแรงและต่อเนื่อง แต่คำตอบจากรัฐไทยกลับยังวนเวียนอยู่กับแผน ‘สร้างฝายดักตะกอน’ แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาที่ต้นตอ ขณะที่นักวิชาการและชาวบ้านสะท้อนเสียงเดียวกันว่า ถึงเวลาต้องหยุดพูดถึงฝาย และหันไปจัดการต้นเหตุอย่างจริงจัง
ข้อมูลวิทยาศาสตร์ชี้ชัดสารหนูเกินมาตรฐานทุกจุดสำรวจ
จากการเปิดเผยข้อมูลของ ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เมื่อ 4 มิถุนายน 2568 พบว่า การสุ่มตรวจน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ระหว่างเดือนมีนาคม–พฤษภาคม 2568 จำนวน 24 จุด มีค่าสารหนูเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่แม่น้ำสาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสูงถึง 0.049 มก./ลิตร ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐานถึง 4–5 เท่า
ไม่เพียงเท่านั้น การตรวจตะกอนดินที่แม่น้ำกกและแม่น้ำโขงยังพบค่าสารหนูสูงเกิน 33 มก./กก. ในหลายจุด ซึ่งถือว่าอันตรายต่อสัตว์หน้าดิน และสะท้อนถึงการปนเปื้อนสะสมระยะยาวที่อาจย้อนกลับมาสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์
ท่ามกลางข้อเท็จจริงเชิงวิทยาศาสตร์ที่น่าวิตก ความเคลื่อนไหวจากฝั่งรัฐกลับเน้นไปที่การวางแผนสร้าง ‘ฝายดักตะกอน’ โดยอ้างว่าหลังจากน้ำผ่านฝายในเขตเชียงราย พบว่าค่าสารหนูในน้ำลดลงบ้าง จึงมองว่านี่คือแนวทางเร่งด่วนที่ควรดำเนินการ
แต่ สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน โต้แย้งว่า การทำฝายหรือเขื่อนดักตะกอนเป็นเพียงการจัดการปลายทาง ไม่สามารถหยุดยั้งการปนเปื้อนจากต้นน้ำได้จริง อีกทั้งยังอาจกระทบต่อระบบนิเวศ วิถีชีวิต และการใช้น้ำของชาวบ้าน
“สารหนูสะสมได้ และส่งผลกระทบระยะยาว แม้ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ก็เสี่ยงหากไม่จัดการต้นทาง เราไม่รู้ว่าเหมืองแร่ที่รัฐฉานใช้สารเคมีอะไรบ้าง ไม่มีข้อมูล ไม่มีรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และไม่สามารถใช้กฎหมายไทยไปควบคุมได้ รัฐต้องพูดความจริงกับประชาชน ไม่ใช่ทำเหมือนว่าฝายจะเป็นคำตอบทุกอย่าง”
ชาวบ้านขอความโปร่งใส ยังไม่ไว้ใจระบบประปาปัจจุบัน
เสียงสะท้อนจากชุมชนริมน้ำกก-น้ำสายตรงกันว่า สิ่งที่ต้องการเร่งด่วนในตอนนี้คือข้อมูลที่ชัดเจนและโปร่งใส ไม่ใช่แผนงานแบบครึ่งๆ กลางๆ ที่ไม่ได้ตอบคำถามพื้นฐาน เช่น น้ำที่ใช้ปลอดภัยไหม? ปลาในแม่น้ำยังกินได้หรือเปล่า? น้ำบาดาลมีโอกาสปนเปื้อนหรือไม่?
ปัจจุบันระบบประปาในหลายหมู่บ้านยังใช้แหล่งน้ำดิบที่ไม่ผ่านการทดสอบสารพิษอย่างสม่ำเสมอ บางจุดดูดน้ำจากแม่น้ำโดยตรง บางจุดใช้บ่อบาดาลตื้นซึ่งไม่มีระบบกรองมาตรฐาน การแจกจ่ายชุดตรวจวัดคุณภาพน้ำและการฝึกอบรมให้ชาวบ้านสามารถวิเคราะห์น้ำได้เอง จึงเป็นข้อเสนอจากภาควิชาการที่รัฐควรเร่งดำเนินการ
ทั้งนี้ แม้กรมควบคุมมลพิษจะให้ข้อมูลเชิงตัวเลขที่ชัดเจน แต่หลายคำถามยังคงไม่มีคำตอบ เช่น ทำไมยังไม่มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับทางการเมียนมาอย่างเป็นทางการ? ข้อมูลการปนเปื้อนในพืชผลการเกษตรอยู่ที่ใด? เหตุใดจึงยังไม่มีระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ให้ชาวบ้านรับรู้ระดับสารพิษในน้ำ?
ผู้ว่าฯ ชี้แจงสถานการณ์พร้อมหน่วยงาน เร่งคลี่คลายปัญหาสารหนูในแม่น้ำกก
ท่ามกลางกระแสความไม่แน่ใจของประชาชนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกก จังหวัดเชียงรายจึงได้สื่อสารและแนวทางการจัดการต่อสถานการณ์สารหนูที่ปนเปื้อนในแม่น้ำ โดยมีการแถลงข่าวจากผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อชี้แจงสถานการณ์และแสดงจุดยืนของภาครัฐในทุกระดับ
ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พยายามสื่อสารต่อสาธารณะว่า เจ้าหน้าที่รัฐก็ใช้น้ำเหมือนกับประชาชน รวมทั้งขอให้ประชาชนเข้าใจข้อจำกัดว่ารัฐไทยไม่สามารถเข้าไปจัดการกับต้นตอของปัญหา ซึ่งอยู่ในพื้นที่นอกเขตแดนประเทศโดยตรงได้ แต่ในส่วนที่สามารถควบคุมได้ เช่น การดูแลคุณภาพน้ำประปา และการติดตามค่าปนเปื้อนในแม่น้ำกก ท้องถิ่นได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเร่งด่วน
“ถ้าไม่ปลอดภัย มันก็ต้องหาแหล่งน้ำที่ให้พี่น้องได้ปลอดภัย แต่วันนี้ตัวเลขของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เชียงราย ก็เปิดตัวเลขของการตรวจว่า คุณภาพน้ำมีค่าสารปนเปื้อนไม่เกินมาตรฐาน”
ชรินทร์ย้ำว่า ไม่ได้แนะนำให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ แต่ขอให้ระมัดระวัง โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรง และแม้จะมีการยืนยันว่าน้ำประปาดื่มได้ แต่ทางจังหวัดยังไม่แนะนำให้ดื่ม เพื่อความปลอดภัยสูงสุด พร้อมยืนยันว่าทำหน้าที่เต็มที่ในกรอบอำนาจของจังหวัด แม้ไม่สามารถดำเนินการกับกิจกรรมต้นเหตุในต่างประเทศได้โดยตรง
“เมื่อใดที่มันมีแนวโน้มที่เกิดปัญหา เราก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหา ณ ที่ปลายทางของเรา เพราะเราคงไม่สามารถที่จะไปลด หรือสั่งไม่ให้น้ำแม่น้ำปนเปื้อนไหลมาได้”
แม้จะมีการเร่งตรวจสอบและวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดยอมรับว่าการสื่อสารที่ผ่านมายังขาดเอกภาพ ข้อมูลจากหลายหน่วยงานมีความคลาดเคลื่อน และบางครั้งสร้างความสับสนให้กับสาธารณะ จึงขอให้ยึดข้อมูลจากหน่วยงานวิทยาศาสตร์ เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหลัก พร้อมขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนให้ช่วยกลั่นกรองข้อมูลก่อนเผยแพร่
หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ถูกหยิบยกมาพิจารณาเพื่อแก้ปัญหาเบื้องต้น คือ การสร้างฝายดักตะกอนบริเวณต้นน้ำก่อนเข้าสู่เขตเมือง ซึ่งสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เสนอเป็นมาตรการเร่งด่วน เพื่อลดการแพร่กระจายของตะกอนที่อาจมีสารหนู โดย ปิยนุช ทรวงคำ ผู้อำนวยการส่วนจัดการคุณภาพน้ำ อธิบายว่าการตรวจวัดหลายรอบที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าหลังฝายเชียงราย ค่าสารหนูในน้ำมีแนวโน้มลดลงชัดเจน ทั้งนี้ กรมทรัพยากรน้ำอยู่ระหว่างการพิจารณาแบบฝายที่เหมาะสมที่สุด
สำหรับรูปแบบของฝายดักตะกอนนั้น ทางกรมทรัพยากรน้ำอยู่ระหว่างการศึกษาทางเลือก 4 รูปแบบ ได้แก่ แบบแก้มลิงและบึงประดิษฐ์, หลุมดักตะกอน, ระบบดักและดูดตะกอน และประตูระบายน้ำ โดยผู้ว่าฯ ยืนยันว่าจะเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชนในการกำหนดรูปแบบและจุดติดตั้ง เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานประมงจังหวัดยังไม่พบหลักฐานว่าพืชผลทางการเกษตรหรือสัตว์น้ำในพื้นที่มีการปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะผลการตรวจปลาแข้ที่ชาวบ้านสงสัยว่าน่าจะป่วยจากสารพิษ กลับพบเพียงปรสิตในตัวปลาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำกกในช่วงนี้ เพื่อความปลอดภัย จนกว่าจะมีผลการตรวจสอบเพิ่มเติม ส่วนในภาคการเกษตร เจ้าหน้าที่แนะนำให้เกษตรกรปรับปรุงดินด้วยปูนขาวและปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อป้องกันการสะสมของโลหะหนักในระยะยาว แม้ในฤดูกาลนี้จะยังสามารถใช้น้ำเพื่อการเพาะปลูกได้อยู่ก็ตาม
แม้จะมีการตั้งคณะทำงานระดับประเทศเพื่อประสานงานกับประเทศต้นน้ำอย่างเมียนมาและจีน แต่หน่วยงานในระดับจังหวัดต่างยอมรับว่านี่คือวิกฤตที่ท้องถิ่นไม่อาจจัดการได้ลำพัง การแก้ไขปัญหาจึงต้องอาศัยการเมืองระหว่างประเทศ การเจรจาในระดับที่สูงกว่าการบริหารของจังหวัด ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ยังต้องการให้รัฐแสดงความโปร่งใสและความต่อเนื่องในการเปิดเผยข้อมูลจากรัฐอย่างใกล้ชิด
ทางออกต้องมากกว่าแค่ ‘ดักตะกอน’
วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขในรายงานราชการ แต่คือภัยที่อาจสะสมอยู่ในอาหาร น้ำดื่ม และร่างกายของคนริมฝั่งน้ำทุกคน รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเลิกมองปัญหานี้เป็นเพียง “งานเทคนิค” ที่รอการดักกรองหรือขุดลอก แต่ต้องยกระดับเป็น “นโยบายความมั่นคงของชีวิตและสิ่งแวดล้อม” โดยเริ่มจาก
1.หยุดพูดเรื่องเขื่อนหรืองบฝายก่อนการหารือกับชุมชน
2.เร่งตรวจสอบระบบประปาทุกหมู่บ้าน และสนับสนุนเทคโนโลยีการบำบัด
3.สื่อสารความเสี่ยงต่อสาธารณะแบบโปร่งใส ไม่ปกปิดข้อมูล
4.เจรจากับเมียนมา และหาช่องทางทางการทูตเพื่อยุติเหมืองแร่ผิดกฎหมาย
วิกฤตมลพิษในแม่น้ำภาคเหนือนี้สะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนที่ซับซ้อนและรัฐบาลต้องจัดการเชิงโครงสร้างโดยเร่งด่วน พร้อมเปิดพื้นที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เพื่อไม่ให้เสียงของประชาชนถูกละเลยท่ามกลางภัยที่คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ อย่างไม่จบสิ้น
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...