เรื่อง: ชัยพงษ์ สำเนียง ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
(1)
ความเป็นไทยเป็นสิ่งที่เราคิดว่ามีความแก่นแท้คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง มีความเป็นมายาวนานซึ่งกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลยเพราะความเป็นไทยเป็นสิ่งที่มีความลื่นไหล และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดๆ ความเป็นไทยไม่ได้ฝังอยู่ในเลือดเนื้อ แต่เป็นสิ่งที่ถูกประกอบสร้างขึ้นมาเป็นสิ่งประดิษฐิ์ของยุคสมัย โดยวัฒนธรรมไทยก็เป็นสิ่งที่มีความผสมผสานเจือปนกับวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างเช่นเรื่องของตัวอักษรในจารึกหลักแรกในช่วงพ่อขุนรามคำแหง ที่มักใช้กล่าวอ้างว่าเป็นจารึกต้นกำเนิดภาษาไทย ก็ไม่มีความเป็นไทยทั้งหมดโดยจะพบว่ามีการประยุกต์อักษรขอม-มอญมาใช้ร่วมด้วย
นอกจากนี้เราจะพบว่าภาษาไทยก็ยังถูกจัดไว้ในกลุ่มภาษาไท-กะได ที่สะท้อนถึงการเชื่อมกับคนกลุ่มอื่นๆ ก่อนจะถูกดึงออกมาเป็นอีกกลุ่มภาษาหนึ่ง หรือทฤษฎีที่บอกว่าคนไทยมาจากไหน อย่างเช่นทฤษฎีที่บอกเคลื่อนย้ายมาจากทางใต้ของจีนในแถบมณฑลกวางสี
ทฤษฎีที่บอกว่าคนไทยอยู่ในแถบสุวรรณภูมิมาแต่เดิม หรือแม้แต่คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตต่างก็ทำให้ถึงการกระจาย และสัมพันธ์กับคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับความเป็นไท(ไทย)ที่มีการศึกษามาอยู่เรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ตั้งอยู่บนคำถาม 2 คำถามหลักๆ คือ (1) เราเป็นใครในอดีตและเราเป็นใครในปัจจุบันเพื่อที่จะตอบปัญหาในเรื่องอดีตของตัวตน(ไทย)เรา (2และปัจจุบันเราจะควรก้าวไปอย่างไร แบบไหน ด้วยวิธีอะไร)
ทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของคนไทยมีหลากหลาย เช่น ทฤษฎีที่เชื่อว่าคนไทยเคลื่อนมาจากเทือกเขาอัลไตในแถบมองโกเลียซึ่งเป็นไปได้ยากมาก ถัดมาคือทฤษฎีที่เชื่อว่าคนมาจากแถบเสฉวนและทฤษฎีที่เชื่อว่าคนไทยมากจากบริเวณตอนใต้ของจีนโดยที่กล่าวมา 3 ทฤษฎีนี้เชื่อคนไทยนั้นมาจากจีนแผ่นดินใหญ่[1] และเชื่อมโยงกับกลุ่มคนจ้วงซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์สัมพันธ์อยู่กับคนจ้วง แต่ทั้งนี้ถึงแม้คนจ้วงจะมีความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ไท(ย)อย่างในเรื่องของภาษาที่มีความคล้ายกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคือคนชาติพันธุ์ไท[2] ส่วนหนึ่งที่เชื่อว่าคนไทยมาจากดินแดนในแถบจีนพราะไม่ได้เชื่อว่าคนไทยอยู่ในดินแดนบริเวณที่เรียกว่าประเทศไทยมาก่อน และอีกแนวคิดหนึ่งคือคนไทยมาจากทางใต้โดยมาจากแถบบริเวณคาบสมุทรมลายูและสุดท้ายคือคนไทยอยู่ในแถบพื้นที่ที่เป็นประเทศไทยมาอยู่ก่อนแล้ว
แต่ยังมีทฤษฎีใหญ่อีกทฤษฎีคือ ทฤษฎีจากตะวันออกไปยังตะวันตกเรียกว่าเส้น Tai belt โดยเริ่มจากบริเวณสิบสองจุไท เคลื่อนพาดไปยังสิบสองปันนาในรัฐฉานและไปรัฐอัสสัมซึ่งเป็นที่บริเวณของคนไทอาหม[3]
สิ่งหนึ่งที่ทฤษฎีเหล่านี้บอกก็คือคนไท(ย) ไม่ได้มีอยู่เพียงแค่พื้นดินด้ามขวานเท่านั้นหากแต่มีการกระจายตัวไปอย่างมหาศาล จะเห็นได้ว่ามีการกระจายตั้งแต่แถบคาบสมุทรทะเลจีนใต้จนไปถึงคาบสมุทรอินเดีย ซึ่งถือว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไทมีการกระจายตัวสูงมากในทวีปเอเชีย ถึงแม้บอกว่าบอกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทแต่กลุ่มคนเหล่านี้ที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ก็มิได้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไทที่อยู่แผนที่ประเทศไทยก็ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับไทใหญ่ในรัฐฉานหรือไทดำ-ไทแดงในเวียดนาม ซึ่งการที่คนไทกลุ่มต่าง ๆ ไม่ได้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือแยกขาดจากกันพอความสมควรนี้จึงน่าตั้งคำถามคือ
ความเป็นไทที่แตกต่างหลากหลายนี้ก่อตัวขึ้นตอนไหน ?
ความเป็นไทอย่างเรื่องของภาษาก็เป็นสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดจากการเดินทางไปยังพื้นที่ที่หลากหลายและได้มีความสัมพันธ์กับจีน มอญ เขมรและเวียดนาม เป็นต้น
ภาษาไทจึงมีการปรับอยู่เรื่อยมายกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคืออักษร เช่น อักษรไทย อักษรล้านนา อักษรลาว อักษรไทลื้อ อักษรไทใหญ่(ฉาน) ไทเขินและไทดำ เป็นต้น ซึ่งรวมถึงความหลากหลายในเรื่องของคำศัพท์ที่มาจากการปฏิสัมพันธ์กับคนกลุ่มอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
ความเป็นไทจึงมีการรับวัฒนธรรมของคนกลุ่มต่างๆ มาผสมเปลี่ยนปรับ ความเป็นไทจึงไม่ได้มีความเป็นเอกเทศเกิดขึ้นโดดๆ เหมือนกับความเป็นไท(ย)ที่รัฐราชการไทยอย่างกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวอ้างว่าคนไท(ย)มีเอกลักษณ์ต่างจากกลุ่มอื่นๆ เช่น การทำนาดำ ทั้งที่คนกลุ่มอื่นๆ ก็ทำนาดำเช่นกัน โดยการที่ยกการทำนาดำเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นไท ก็เพราะมันแสดงถึงมีภูมิปัญญาในการจัดการน้ำ และสร้างเครื่องมือเป็นกลุ่มคนที่มีอารยะกว่าคนกลุ่มอื่นๆ อาจคล้ายๆ กับการค้นพบไฟของมนุษย์ ซึ่งความไท(ย)หรือความเป็นชาติพันธุ์ต่างๆ อาจไม่ได้มีสารัตถะหรือแก่นแท้อะไรเลยก็ได้ เกิดขึ้นจากการประกอบสร้างทางวัฒนธรรม สังคมและประวัติศาสตร์[4]
เมื่อเราแบ่งทฤษฎีที่มาของคนไท(ย)จะแบ่งเป็น 2 แนวคิดโดยแนวคิดแรกเชื่อว่าคนไท(ย)เคลื่อนย้ายมาจากแหล่งอื่นซึ่งแบ่งออกเป็นจากใต้แถบมลายูเคลื่อนย้ายขึ้นมาและจากเหนือแถบ มองโกเลีย จีนใต้หรือทางตอนเหนือของเวียดนามเคลื่อนลงมาในพื้นที่ไทยปัจจุบันโดยการอิบายแบบนี้ตอบสนองความเก่าแก่ของของคนไทย ทฤษฎีแรก คือทฤษฎีที่คนมาจากเทือกเขาอัลไตอ้างอิงมาจากเรื่องของขุนวิจิตรมาตราที่แต่งขึ้นมาซึ่งอธิบายว่าคนไทยอาศัยอยู่แถบบริเวณเทือกเขาอัลไตเมื่อ 6000 ปี มีการสร้างอาณาจักรแต่ก็โดนรุกรานจนเสียเมืองแล้วก็อพยพลงมาเรื่อยๆ แต่ทฤษฎีนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์เนื่องจากเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากและไม่มีน้ำหลักฐานใดๆ เพราะเทือกเขาอัลไตเป็นภูเขาที่มีน้ำแข็งอากาศหนาวเย็นไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยส่วนการเดินทางอพยพนั้นก็เป็นไปได้ยากเพราะทั้งต้องข้ามทะเลทรายโกบีและแม้น้ำต่างๆ เป็นเรื่องยากมากที่จะมีคนอพยพผ่านมาได้ ถึงจะไม่น่าเชื่อถือแต่ก็ยังคงมีคนใช่ทฤษฎีนี้อยู่เพราะตอบสนองต่อความเป็นชาติที่ต้องการความยาวนานมีตัวมีตนในประวัติศาสตร์และรักสงบ ทฤษฎีที่สอง คือทฤษฎีที่เชื่อว่าคนไทยมาจากเสฉวนซึ่งอ้างอิงจากวิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ (William Clifton Dodd)[5] โดยจากที่พบคนไทยมีการมีคำภาษาร่วมกันกับคนจ้วงซึ่งคนจ้วงเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนไท โดยดอดด์เองก็กล่าวถึงคนไทยอย่างประทับว่าเป็นคนโอบอ้อมอารี สุภาพและน่ารักซึ่งความสุภาพนี้เองก็เรื่องอัตวิสัยแต่ก็บ่งบอกได้อย่างหนึ่งว่าคนไทยไม่ใช่กลุ่มคนเดียวที่สุภาพได้ โดยดอดด์เองก็ต้องมีความสุภาพหรือยืดถือความสุภาพเช่นกันจึงได้ประทับใจในความสุภาพของคนไทยแต่ทั้งนี้สิ่งดอดด์สร้างคุณูปการก็คือการขยายพรมแดนเกี่ยวกับไทยออกไปจากกรอบรัฐชาติอันน้อยนิดออกไปให้เห็นความไทยจากที่อื่นๆ ที่กระจายตัวอยู่ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทฤษฎีที่สาม คือทฤษฎีที่เชื่อว่าคนไทอยู่ตอนใต้ของจีนหรือตอนเหนือของเวียดนามแล้วค่อยคลื่อนตัวกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ จุดเด่นของทฤษฎีนี้คือการเชื่อมคนไท(ย)ในพื้นที่ต่างๆ เข้าหากันจากการโดยเป็นการอิบายที่เห็นการการเชื่อมโยงกันของพื้นที่ของกลุ่มคนต่างๆ ที่มีพรมแดนเชื่อมถึงกันและยังคงเชื่อมถึงกันจนทุกวันนี้ ทฤษฎีสุดท้าย คือทฤษฎีที่เชื่อว่าทางชวาทางตอนใต้ของไทยโดยบอกว่าคนศรีวิชัยคือคนไทยแท้ และต่อมาอีกแนวคิดคือเชื่อว่าคนไทยอยู่ในพื้นถิ่นแดนดินไทยมาแต่เดิมมาจากหลักฐานของโครงกระดูกที่ขุดพบในพื้นที่นี้อ้างอิงโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ และ ชิน อยู่ดี[6] เป็นต้น ซึ่งการอธิบายตามแนวคิดนี้ส่งผลให้เกิดการสั้นคล่อนและรื้อประวัติศาสตร์ไทยที่อธิบายว่าคนไทยมาจากที่อื่นคนไทยเป็นชนที่มีความเป็นมายาวนานและมีความเป็นเชื้อชาติที่บริสุทธิ์ของตนเองแต่เดิมการอธิบายนี้จึงก่อให้เกิดการพังทลายของความรัฐชาติ เชื้อชาติและความเป็นไทย |
(2)
ชาติในฐานะสิ่งประกอบสร้างทำให้เกิดการผนึกหรือผสานกันของผู้คน คือ วัฒนธรรมที่สร้างความหมายต่างๆ ร่วมกัน เพื่ออธิบายว่าเราเป็นใคร มาจากไหน มีอัตลักษณ์ตัวตนอย่างไร เช่นคนไท(ย)มีเอกลักษณ์คือปลูกบ้าน ทำนาดำและยิ้มง่าย(ยิ้มสยาม) เป็นต้น หรือความเป็นชาติไทยในช่วงที่ผ่านมาอย่างกรณีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องเรื่องการเสียเขาพระวิหาร ซึ่งความเป็นชาติที่จินตนาการว่าพื้นที่นั้นเป็นของไทยก็เกิดจากแผนที่ที่ขีดเส้นแบ่งความเป็นไทยว่าความเป็นไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ทำให้สามารถจินตนาการ และท่องได้ว่าประเทศไทยนี้มีทั้งหมด 77 จังหวัดและมีพื้นที่ถึงตรงไหนจินตนาการความเป็นไทยไม่ได้เกิดจากการเดินวนรอบประเทศด้ามขวานนี้แต่เป็นจินตนาการที่เกิดขึ้น
ในหนังสือ ความไม่ไทยของคนไทย[7] และ รวมข้อมูลวรรณกรรมวิชาการ โซเมีย, ไท-ไต ใน “นิธิ เอียวศรีวงศ์”[8] ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายความเป็นคนไทว่าเกิดจากขยายตัวทางการเมืองของภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มคนที่พุดภาษาไท ภาษไทเป็นภาษาในการติดต่อค้าขาย เกิดการขยายตัวของกลุ่มคนที่พูดภาษไทที่บางทีอาจไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์ไทแต่เป็นกลุ่มคนอื่นๆ ที่รับวัฒนธรรมไทไปใช้ในการแสดงอัตลักษณ์ ในบริเวณพื้นที่หุบเขาหรือเรียกว่า ZOMIA ทั้งมีการพัฒนาเรื่องระบบการจัดการน้ำ เครื่องมือจอบเสียมและสร้างเทคโนโลยีในพื้นที่นาดำ[9] ส่งผลให้สามารถสะสมทรัพยากรเกิดเป็นเป็นพื้นที่ผู้คนหนาแน่น
พร้อมกับมีการจัดการแบบระบบเมืองที่อำนาจขยายตัวไปเหมือนแสงเทียน และสร้างความชอบธรรมผ่านนิทานการกำเนิดผู้คนอย่างเรื่องน้ำเต้าบุ้งที่เล่าการกำเนิดของกลุ่มชาติพันธ์ต่าง ๆ และความเชื่อเรื่องผี เช่น ผู้เจ้าเมือง ผีท้องถิ่นและผีเรือนเป็นต้นความเชื่อเรื่องผีที่คนแต่ชนชั้นแต่ละสถานะทางสังคมตายไปก็ไปกลายไปเป็นผีต่าง ๆ การนับถือผีเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ช่วยร้อยเรียงคนในหลากหลายระนาบเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งใช้เพื่อในการจัดการความสัมพันธ์ตำแหน่งแห่งที่กับกลุ่มคนต่าง ๆ ไว้ กลุ่มคนไทได้ขยายตัวและกลืนกลายกลุ่มคนอื่น หรือ Thai-ization ดั้งนั้นคนไทยจึงเกิดจากร้อยพ่อพันแม่ ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ของกลุ่มเชื้อชาติไทที่มาจากเทือกเขาอัลไต หรือทางตอนเหนือ[10]
การอธิบายเช่นนี้ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์[11] จึงไปโต้แย้งแนวคิดเชื้อชาติที่มีความต่อเนื่องยาวนาน รวมถึงการอพยพเคลื่อนย้ายมาจากแหล่งอื่นขนานใหญ่ ที่ตอบสนองต่อแนวคิดชาตินิยม ที่เราจะไม่สามารถไปไหนได้อีกแล้ว เพราะความเป็นไท(ย)ที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์[12] เสนอคือความเป็นไท(ย)เชิงวัฒนธรรมที่ประกอบสร้างขึ้นมา ผ่านการผนวกกลืนกลายคนกลุ่มอื่น ๆ ให้เป็นคนไทยในทางวัฒนธรรมมิใช่เชื่อชาติที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง[13]
การศึกษาคนไท/ไต ของ บรรจบ พันธุเมธา กาเลหม่านไตและไปสอบคำไทย[14] บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ลื้อคนไทยในประเทศจีน ไทสิบสองปันนา 30 ชาติในเชียงรายและชาวเขาในประเทศไทย[15] และชลธิรา สัตยาวัฒนา ประวัติศาสตร์ไป่เย่ว: การสืบสานเชิงมานุษยวิทยา[16] ที่อธิบายให้ว่าคนไทยไม่ได้มีแค่ในพื้นที่ประเทศและในพื้นที่ประเทศไทยก็ไม่ได้มีแค่คนไทย การออกไปสืบหาความเป็นไทในที่ต่าง ๆ เป็นการหารากเหง้าของความเป็นไทยที่เชื่อว่ามีมาอยู่ก่อนแล้วและมีอยู่มายาวนาน เพื่อหาตัวตนของคนไทเพื่อแสดงตำแหน่งแห่งที่ของคนไทยในปัจจุบัน ที่มีอัตลักษณ์และความเก่าแก่ยาวนาน
(3)
กล่าวมาถึงตรงนี้ เมื่อความเป็นเชื้อชาติชาติและอัตลักษณ์เป็นสิ่งที่เลื่อนไหล และสามารถเอื้อต่อการเข้าถึงทรัพยากร อำนาจ ก็จะเกิดการเปลี่ยนหรือแสดงอัตลักษณ์ เพื่อเชื่อมโยงกับคนไทยเพื่อให้ถูกนับรวมเป็นสมาชิกไทย ในกรณีของ คนไทใหญ่ที่เขามาทำงานในเชียงใหม่และไทยส่วนอื่นๆ ก็จะใช้หรือแสดงให้ว่าตนนั้นมีวัฒนธรรมร่วมรากกับไทย เช่น การนับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน การมีที่เคยมีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกันและมีภาษาคล้ายๆ กัน แต่เมื่อต้องการที่แยกออกจากความเป็นไทย ก็จะแสดงว่าตนมีก็แตกต่างเช่นแสดงออกทางด้านภาษา การแต่งกาย อาหารการกิน เป็นต้น[17]
ในงานของ เสมอชัย พูลสุวรรณ[18] เรื่อง รัฐฉาน(เมืองไต)พลวัตชาติพันธ์ในบริบทประวัติศสาตร์และสังคมการเมืองร่วมสมัย พบว่า คนไทในรัฐฉานในบริเวณแม่น้ำสาละวินที่ มีการกลับไปสร้างสำนึกร่วมของความไต/ไทผ่านการรื้อฟื้นพุทธนิกายโยน โดยเชื่อมโยงกับครูบาบุญชุ่มที่เป็นพระในนิกายโยน ซึ่งมีคุณสมบัติบางอย่างสัมพันธ์กับกลุ่มไทใหญ่ และแสดงออกผ่านพื้นที่วัฒนธรรมและพิธีกรรมต่าง ๆ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ไทใหญ่และไทโยนร่วมถึงกลุ่มชาติพันธ์อื่น ๆ และอีกประการก็คือ การรื้อสร้างอดีต เช่น ความทรงจำเกี่ยวกับวีรบุรุษ เจ้าฟ้าผู้ปกครองและประวัตศาสตร์เครือญาติ เป็นอัตลักษณ์ใหม่และอัตลักษณ์ร่วมของคนไทหลากหลายกลุ่มสองฝั่งแม่นำสาละวิน โดยสลายพรมแดนบางอย่างออกไป
การสร้างอัตลักษณ์ใหม่นี้เป็นอัตลักษณ์ร่วมเพื่อจัดวางตำแหน่งแห่งที่ใหม่ ที่ต่างจากความเป็นพม่าและไทย รวมทั้งต่อรองอำนาจภายใต้บริบทของการเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกเบียดขับออกจากปริมณฑลต่างๆ หรือลดทอนให้ด้อยกว่าคนพม่าที่เป็นคนในรัฐชาติ รวมทั้งยังเป็นกีดกันคนพม่าออกจากคนไท กลายเป็นพื้นที่คนไทได้แสดงออกมากขึ้นถือได้ว่าเป็น การสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมผ่านความเชื่อและพิธีกรรม
ขณะที่ Edmund R. Leach เสนอในหนังสือ Political Systems of Highland Burma[19] ถึงอัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์บนความสัมพันธ์กับบริบทต่าง ๆ เขาศึกษาชาติพันธุ์คะฉิ่นที่อยู่บนพื้นที่สูง แต่กลับแสดงอัตลักษณ์ของตนป็นชาติพันธุ์ไทใหญ่(ฉาน)เมื่อต้องลงไปทำการค้าในพื้นที่ราบกับกลุ่มชาติพันธุ์ฉาน ที่สถานะทางสังคมที่สูงกว่าโดยสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ที่สัมพันธ์กับการค้า อัตลักษณ์มีความเลื่อนไหลขึ้นอยู่กับบริบท ไม่ใช่สิ่งตายตัวคงที่
อัตลักษณ์หรือตัวตนเป็นสิ่งที่มีความสลับซับซ้อน ขึ้นอยู่ว่าเราสัมพันธ์กับสิ่งใดและเป็นการเมืองของการนิยาม เพื่อเอื้อในการเข้าถึงบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งความเป็นไทยก็เป็นสิ่งประกอบสร้างทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ไม่สถิตย์แน่นตายตัว แต่มีความเลื่อนไหลเปลี่ยนแปรในเงื่อนไขต่างๆ ความเป็นไทยที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลอยๆ แต่หากเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่างและด้วยเหตุนี้ ความเป็นไทยจึงเป็นสิ่งที่ขึ้นมาภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ซึ่งความไทยก็ตอบสนองทั้งคนถูกนับว่าเป็นพวกเราและพวกอื่น[20]
(4)
การอ้างว่าไทยมาจากเทือกเขาอัลไตเป็นการตอบสนองความต้องการในการยืนยันความยาวนานเทียบเท่ากับจีนได้ของชาติไทย ซึ่งใช้ในการทัดทานการขยายตัวของอาณานิคมตะวันตก หรือกรณีของสุโขทัยจะเห็นว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยที่กล่าวถึงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก และสืบเนื่องยาวนานมายังอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ โดยสยามก็ไม่ได้คิดว่าสุโขทัยเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองหรือเก่าแก่อะไร เป็นแค่หัวเมืองหัวเมืองหนึ่งที่เป็นหัวเมืองทางเหนือโดยได้ถูกปล่อยทิ้งรกร้างไว้เป็นเวลานาน
การที่สุโขทัยถูกให้ความสำคัญเนื่องด้วยสุโขทัยสามารถตอบสนองความต้องการในเรื่องความเก่าแก่ของชาติไทยได้ และด้วยเหตุนี้สุโขทัยก็ได้ถูกสร้างให้มีความสำคัญอย่างมากในช่วงของสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม[21] อาจเรียกช่วงนี้ว่ายุคชาตินิยมแบบล้นเกิน แต่ความเป็นชาตินิยมนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาเลยทันทีทันใด แต่มีการก่อตัวขึ้นตั้งแต่สมัยของรัชกาลที่ 6 เรื่อยมา ซึ่งจินตนาการความไทยที่เก่าแก่ยาวนานนี้เกิดขึ้นมาเพียง 100 กว่าปี
ดังนั้น การที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยอ้างถึงสิ่งต่าง ๆ เพื่อสร้างความยาวนานนั้นก็เพื่อที่จะไม่ให้กลายเป็นชาติเร่ร่อนเกิดวิกฤตทางอัตลักษณ์และสำนึก สิ่งประกอบสร้างอีกอย่างหนึ่งของความเป็นไทยอย่างเชื้อชาติที่เกิดขึ้นมาภายใต้บริบททางประวัติศาสตร์และวาทะกรรมหรือเงื่อนไขอื่นๆ
ความหมายของเชื้อชาติเป็นเรื่องของการเมืองเพราะความหมายของเชื้อชาติที่สร้างขึ้นนั้นมีไว้เพื่อแสดงความเหนือกว่าคนกลุ่มอื่นหรือมีความหมายแตกต่างอย่างไรกับคนกลุ่มอื่น ๆ
ดังในช่วงของจอมพล. ป ที่ความเป็นเชื้อชาตินำมาซึ่งการเหยียดคนจีนและด้วยการเกิดขึ้นของเชื้อชาติที่มาภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ความคิดเชื้อชาตินิยมเองก็ไม่ใช้สิ่งที่หยุดนิ่งตายตัว โดยจากงานของ จิตร ภูมิศักดิ์[22] เรื่อง ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาวและขอมและลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ได้เสนอถึงความเป็นไทยที่มีความหมายในเชิงของการเป็นเป็นเรื่องชนชั้น จากการที่ไปนำคนกลุ่มนี้มาเป็นข้ารับใช้ซึ่งเรียกว่าประเพณีตีข่า ไทยในที่นี้จึงเป็นดังชนชั้นหนึ่งเปรียบดังเจ้านายและข่าเป็นข้ารับใช้ แต่มีอีกงานที่ทำให้เห็นความเป็นไทอีกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เท่ากัน การมีลำดับชั้นของความเป็นไทยอย่างเช่นคนไทยในภาคกลางที่มีความเป็นไทยมากกว่าสะท้อนได้จากภาษากลางที่ภาษาของภาคกลางซึ่งเป็นเรื่องของการเมืองที่สร้างและนิยามความเป็นไทย[23]
นอกจากนี้ความเป็นไทยยังไปผูกโยงกับกับความเป็นชาติด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องของชาติพันธุ์เพียงอย่างเดียว แผนที่ของชาติไทยก็นำมาสู่นำนึกและขอบเขตเช่นกัน งานของ ธงชัย วินิจจะกูล (1994) Siam Mapped: A History of the Geo-Body of a Nation [แปลเป็นภาษาไทยในชื่อ กำเนิดสยามจากแผนที่ ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ (2556)] ชี้ให้เห็นการสร้างชาติไทยผ่านแผนที่และสร้างความหมายในหัวเรา ทั้งก่อนหน้านี้ในแผ่นดินที่เรียกว่าชาติไทยก็ไม่มีความหมายเหมือนปัจจุบัน
การสร้างชาติแบบรัฐสมัยใหม่เป็นการนำความเป็นไทยเข้าไปในปริมณฑลต่างๆ สร้างความเป็นตัวเป็นตนที่แน่ชัด มีเส้นเขตแดนทั้งทางภูมิศาสตร์หรือทางวัฒนธรรม โดยสร้างและขยายผ่านการปกครองรวบอำนาจเข้าหาศูนย์กลาง ซึ่งตรงนี้ต่างจากรัฐโบราญที่เน้นการกลืนผู้คนเข้ามา ไม่เน้นเข้าไปบริหารปกครอง การสร้างระบบการศึกษาสมัยใหม่ที่ไปปรับอัตลักษณ์และวัฒนธรรมทางภาษาและการสื่อสาร เงื่อนไขการเข้าถึงทรัพยากรหรือผลประโยชน์ที่มีเงื่อนไขที่ต้องมีอัตลักษณ์หรือกลายมาเป็นไท[24]
หนังสือ Imagined communities : reflections on the origin and spread of nationalism ของ Benedict. Anderson (1991) [แปลเป็นภาษาไทยในชื่อ ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม (2552)] พูดถึงการเกิดรัฐสมัยใหม่ได้ทำให้เกิดสำนึกร่วมบางอย่างผ่านแท่นพิมพ์ จนก่อให้เกิดสำนึกประวัติศาสตร์ “ชาติ” ร่วมกัน ประเทศไทยที่กลายเป็นด้ามขวานไม่ได้เกิดจากการที่มีคนไปสำรวจตามชายแดนตั้งแต่เหนือยันใต้ แต่ชาติ หรือสำนึกร่วมกันนี้เกิดขึ้นในความคิด แม้จะไม่ได้กล่าวถึงรัฐไทยโดยตรง
อย่างไรก็ตาม Michael Herzfeld (2005) มองว่าการเกิดรัฐ (State) ไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการร่วม แต่ลงลึกถึงระดับปฏิบัติการ กล่าวคือ ในชีวิตประจำวัน ทั้งรัฐและชุมชนต่างใช้ภาษา วาทกรรมและปฏิบัติการต่าง ๆ จากความชิดเชื้อทางวัฒนธรรม (Cultural Intimacy) ซึ่งเป็นไปได้ทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบวิถีชีวิตประจำวัน ลักษณะเฉพาะบางอย่าง เช่น กลิ่นตัว ของคนต่างวัฒนธรรม หรือต่างชาติพันธุ์ก็มีลักษณะเฉพาะ เกิดจากการรับรู้หรือสร้างพรมแดนของความต่างเพื่อจัดจำแนกแยกแยะ “คนอื่น” ออกจากลุ่มของตน ส่วนความคิดในระดับรัฐชาติ หรือระดับประเทศ ก็มีการจัดจำแนกคนอื่น ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเป็น “พรรคพวก” “กลุ่มก้อน” แต่ในทางตรงกันข้ามก็เป็นการ “กีดกัน” คนอื่นไม่ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มด้วย
กล่าวมาถึงตรงนี้ เราอาจพอจะนิยามความเป็นไทยได้เป็น 3 แนวทาง คือ ความหมายแรก คือ ไทยที่เป็นชาติพันธุ์ ความหมายที่สอง เป็นเรื่องของชนชั้น และความหมายสุดท้ายไทยที่เป็นสิ่งประกอบสร้างเพื่อสร้างรัฐชาติหรือรัฐสมัยใหม่
* หมายเหตุ บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่อง “โครงการต่อยอดการศึกษาวิจัยขั้นแนวหน้าด้านสังคม วัฒนธรรม และการเมืองในประวัติศาสตร์ สถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์และสังคมของหัวเมืองฝ่ายเหนือ” ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม สัญญาเลขที่ B40G680013
[1] ดูงานของ, Dodd, William Clifton. 1997 [1923]. The Tai Race: The Elder Brother of the Chinese. Bangkok: White Lotus.
[2] ดู, ฉัตรทิพย์ นาถสุภาและอุษา โลหะจรูญ, บรรณาธิการ. 2562. วัฒนธรรมโบราณชนชาติจ้วงกับความเข้าใจวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ: สรา้งสรรค์. และ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. 2566. ประสบการณ์การศึกษาชนชาติไทในประเทศจีน. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์.
[3] ดูเพิ่มใน, วินัย พงศ์ศรีเพียร. 2563. คนไทในบริบทประวัติศาสตร์. (หน้า 1-50) ใน สุโขทัยคดี ประวัติศาสตร์ จารึกศึกษา และนิรุกติประวัติ (ฉบับเชลยศักดิ์) เล่ม 1. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์กรมหาชน). และฉัตรทิพย์ นาถสุภา. 2565. การศึกษาชนชาติไทกับความเข้าใจสังคมไทย. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์.
[4] ดู, การศึกษาสังคมวัฒนธรรมจากงานของ ประคอง นิมมานเหมินท์, ยรรยง จิระนคร, ศิราพร ณ ถลาง และสุกัญญา สุจฉายา. 2544. วัฒนธรรมข้าวของชนชาติไท : ภาพสะท้อนจาก ตำนาน นิทาน เพลง. กรุงเทพฯ: สนับสนุนจากเงินทุนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเฉลิมฉลอง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.
[5] คลิฟตัน ดอดด์ (William Clifton Dodd). 2562.ชนชาติไทย. กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา.
[6] ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 : พฤษจิกายน 2522. (ฉบับปฐมฤกษ์).
[7] นิธิ เอียวศรีวงศ์. 2559. ความไม่ไทยของคนไทย. กรุงเทพฯ : มติชน.
[8] นิธิ เอียวศรีวงศ์, สุจิตต์ วงศ์เทศ บรรณาธิการ. 2568. รวมข้อมูลวรรณกรรมวิชาการ โซเมีย, ไท-ไต ใน “นิธิ เอียวศรีวงศ์”. กรุงเทพฯ : มติชน.
[9] ดูงานของ, ยศ สันติสมบัติ. 2543. หลักช้าง: ชีวิต สังคมและวัฒนธรรมของคนไทใต้คง. กรุงเทพฯ : มูลนิธิปัญญา. ประกอบ
[10] วินัย พงศ์ศรีเพียร. 2563. (เพิ่งอ้าง) ก็เสนอทำนองนี้ คือการขยายต่ออย่างค่อยเป็นค่อยไปในเวลาอันยาวนานของกลุ่มคนไท/ไต ไม่ใช่การอพยพขนานใหญ่
[11] นิธิ เอียวศรีวงศ์. 2559. ความไม่ไทยของคนไทย. กรุงเทพฯ : มติชน. และนิธิ เอียวศรีวงศ์, สุจิตต์ วงศ์เทศ บรรณาธิการ. 2568. รวมข้อมูลวรรณกรรมวิชาการ โซเมีย, ไท-ไต ใน “นิธิ เอียวศรีวงศ์”. กรุงเทพฯ : มติชน.
[12] เรื่องเดียวกัน
[13] ดูงานของ, วิภู กุตะนันท์. 2567. ดีเอ็นเอไม่ไทย บรรพชนไทยไม่แท้. กรุงเทพฯ: มติชน.
[14] บรรจบ พันธุเมธา. 2526. การเลม่านไตในรัฐฉาน. คณะอนุกรรมการเผยแพร่เอกลักษณ์ของไทยในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ; บรรจบ พันธุเมธา. 2522. ไปสอบคำไทย. ไม่ปรากฏสถานที่พิมพ์
[15] ชลธิรา สัตยาวัฒนา. 2541. ประวัติศาสตร์ไป่เย่ว: การสืบสานเชิงมานุษยวิทยา. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.
[16] ชลธิรา สัตยาวัฒนา. 2541. ประวัติศาสตร์ไป่เยว่ : การสืบสานเชิงมานุษยวิทยา. ภาควิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต: ปทุมธานี.
[17] อานันท์ กาญจนพันธุ์ และชัยพงษ์ สำเนียง. 2559. พื้นที่ชีวิตแรงงานข้ามชาติไทใหญ่: การสร้างตัวตนและความเป็นพลเมืองในพื้นที่วัฒนธรรม. วารสารสังคมศาสตร์ 28(1): 111-153.
[18] เสมอชัย พูลสุวรรณ. 2560. รัฐฉาน(เมืองไต)พลวัตชาติพันธ์ในบริบทประวัติศสาตร์และสังคมการเมืองร่วมสมัย. กรุงเทพ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
[19] Leach, Edmund R. 1954. Political Systems of Highland Burma. London : LONDON SCHOOL OF ECONOMICS MONOGRAPHS ON SOCIAL ANTHROPOLOGY.
[20] มีงานที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งที่เป็นการสร้างความเป็นชาติชาติพันธุ์ในเชิงของการต่อสู้ ของ อัมพร จิรัฐติกร เรื่อง ประวัติศาสตร์นอกกรอบรัฐชาติ 55 ปี ขบวนการกอบกู้ชาติไทใหญ่ ที่อธิบายประวัติศาตร์ที่เป็นประวัติศาตร์ของอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนที่เราเรียกกันว่าคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มี่ชาติที่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้มีชาติซึ่งไปโต้แย้งกับงาน Imagined Communities ในแง่ที่คนที่ไม่มีชาติต้องการสร้างและนิยามชาติขึ้นมาโดยผ่านการต่อสู้ใช้กำลัง.
[21] ดูงานของ, วริศรา ตั้งค้าวานิช. 2557. ประวัติศาสตร์ “สุโขทัย” ที่เพิ่งสร้าง. กรุงเทพฯ: มติชน.
[22] จิตร ภูมิศักดิ์. 2524. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาวและขอมและลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. พิมพ์ครั้งที่สาม. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
[23] ธงชัย วินิจจะกูล. 2560. คนไทย/คนอื่น : ว่าด้วยคนอื่นของความเป็นไทย. นนทบุรี : ฟ้าเดียวกัน.
[24] ดูรายละเอียดใน, ชัยพงษ์ สำเนียง. 2568. พรมแดน ผู้คน รัฐ และชาติ: เส้นบนดินที่ขีดในหัวใจคน. [ออนไลน์]. https://www.lannernews.com/11062568-02/?.
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...