เวทีรับฟังเขื่อนปากแบงเดือด ชาวเวียงแก่นค้านเสียงแข็ง! หวั่นน้ำท่วม-น้ำโขงกลายเป็นอ่างพิษ JustPow ชี้ ไม่ตอบโจทย์หลักการสำคัญ 3 ประการของแผนพลังงาน

ชาวเวียงแก่นและชุมชนใกล้เคียงออกมาแสดงความกังวลอย่างหนักต่อโครงการเขื่อนปากแบงใน สปป.ลาว ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนไทย โดยหวั่นว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตของชุมชนริมแม่น้ำโขง ทั้งน้ำท่วม การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำ และสารพิษสะสมในน้ำ ขณะที่ตัวแทนโครงการยืนยันว่าเขื่อนเป็นระบบน้ำไหลผ่าน ไม่มีการกักเก็บน้ำในระดับสูง พร้อมมาตรการควบคุมระดับน้ำเพื่อป้องกันผลกระทบ แต่เสียงคัดค้านจากชาวบ้านและกลุ่มอนุรักษ์ยังไม่ลดลง พร้อมเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสก่อนดำเนินโครงการ

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ศาลาประชาคมบ้านห้วยลึก อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย มีการจัดประชุมชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Beng HPP) ซึ่งจะสร้างกั้นแม่น้ำโขงในแขวงอุดมไซ สปป.ลาว ห่างจากชายแดนไทยที่อำเภอเวียงแก่น เพียง 97 กิโลเมตร โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 70 คน 

ดร.วรวิทย์ ผดุงศรีบวร รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการปากแบงพาวเวอร์ ชี้แจงว่า เขื่อนปากแบงออกแบบให้เป็นระบบน้ำไหลผ่าน (run-off river) ไม่มีการกักเก็บน้ำในระดับสูง โดยจะควบคุมระดับน้ำหน้าเขื่อนไว้ที่ 340 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ในช่วงฤดูน้ำ และระดับ 335 ม.รทก. ในฤดูแล้งซึ่งตรงกับช่วงท่องเที่ยว พร้อมติดตั้งประตูระบายน้ำ 14 บาน รวมถึงประตูระบายตะกอน และกังหันผลิตไฟฟ้า 16 เครื่อง โดยมีทางเดินเรือและทางผ่านปลาที่ออกแบบตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ทั้งนี้ โครงการมีกำหนดเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2568 โดยจะเริ่มที่ฝั่งขวาของแม่น้ำก่อน ขณะนี้มีการลงนามสัญญาเงินกู้แล้ว และในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยังระบุให้ตั้งกองทุนพัฒนา 45 ล้านบาท เพื่อใช้ดูแลพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าเช่นเดียวกับโครงการอื่นในลุ่มน้ำโขง

เยาวภา ชูวงศ์ ผู้บริหารโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง จากบริษัททีมคอนซัลติ้งเอนจิเนียริ่งแอนด์แมนเนจเมนท์จำกัด (มหาชน) ระบุว่า รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (TbEIA) ของเขื่อนที่จะก่อสร้างในแขวงอุดมไซ สปป.ลาว ได้จัดทำและส่งให้รัฐบาลลาวตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (PNPCA) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย และเพิ่มเติมมาตรการตามแนวทางของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ตามที่กฎหมายสิ่งแวดล้อมลาวกำหนด หากโครงการอาจส่งผลกระทบข้ามแดน ต้องจัดทำ TbEIA เพื่อคาดการณ์และกำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบ ทั้งนี้รายงานยังไม่แล้วเสร็จ และเปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากประชาชนเพื่อปรับปรุงต่อไป

เธอชี้แจงเพิ่มเติมว่า เขื่อนปากแบงเป็นเพียงฝายทดน้ำ ไม่ใช่เขื่อนขนาดใหญ่ และประเด็นที่กังวลมากที่สุดคือเรื่องอุทกวิทยา จึงใช้แบบจำลองคณิตศาสตร์มาตรฐานสากล ทำนายระดับน้ำเทียบกับพื้นที่ต่ำสุดของ 8 หมู่บ้าน ผลพบว่า ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน หรือมีปริมาณน้ำเท่าใด ระดับน้ำจะไม่เปลี่ยนแปลงจนส่งผลกระทบถึง อ.เชียงแสน และแม่น้ำจะไม่หยุดนิ่ง

“ที่กังวลมากคือแก่งผาได แม้ว่าจะเป็นจุดที่ต่ำแต่ก็ยังปลอดภัย คือมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมไปบอกทางวิศวกรรม ได้ทำงานเพื่อลดระดับกักเก็บน้ำที่หน้าเขื่อนลง ให้ลดลงจนแก่งผาไดจะมียอดแก่งเพื่อให้มีกิจกรรมต่างๆ ได้ รวมถึงแจมป๋อง และหาดบ้านมหาวัน แม้จะผลิตไฟได้น้อยไม่เป็นไรช่วยเหลือ เป็นมาตรการลดระดับกักเก็บ”

ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น ทองสุข อินทวงศ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านห้วยลึก กล่าวว่า ชาวบ้านกังวลเรื่องโครงการเขื่อนปากแบงมานานหลายปี แม้ตัวเขื่อนจะอยู่ห่างจากหมู่บ้านเพียง 90 กว่ากิโลเมตร ก็ยังอาจส่งผลกระทบได้ โดยกรมทรัพยากรน้ำเคยมาปักหมุดพิกัดระดับน้ำตามที่ผู้พัฒนาโครงการกำหนด และอธิบายว่าระดับกักเก็บน้ำจะอยู่ที่ 340 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) แต่ในความเป็นจริง แม้กักเก็บเพียง 335 ม.รทก. น้ำก็ยังเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนอยู่ดี ทั้งที่บริษัทที่ปรึกษาเคยมาสำรวจและจัดประชุมที่อำเภอเวียงแก่น แต่ชาวบ้านก็รับรู้ว่าโครงการนี้ย่อมกระทบต่อวิถีชีวิต และไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

ชัยวัฒน์ ดวงธิดา ชาวบ้านห้วยลึก กล่าวว่าพวกตนหาปลาทุกวัน ปีๆ ได้เงินสี่ห้าแสนบาท ท่านกั้นเขื่อนไว้ปลาน้ำโขงขึ้นไม่ได้ น้ำเชี่ยว เป็นโคลนเชี่ยว ระกับน้ำที่ว่ากักเก็บสูงสุด 340 ม.รทก ปีที่แล้วที่แก่งผาได น้ำท่วมสูงถึง 357 ม.รทก. เมื่อสิงหาคม 2567 หอประชุมตรงนี้ก็ท่วม

“ท่านว่าจะระบายน้ำทัน ไม่ทันหรอกครับ บอกจะเยียวยา แต่บ้านผมโฉนดที่ดินก็ไม่มี ชาวบ้านจะได้อะไร ปีที่แล้วน้ำท่วมสวนส้มโอมากมายเสียหายภาครัฐยังไม่สามารถเยียวยาได้ครบ โครงการเขื่อนของท่านสำเร็จท่านก็ไป ผมจะทำอย่างไร ให้ทำแพเหรอ งบที่ท่านจัดไว้มันจะพอมั้ย จะแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีมั้ย ถ้าน้ำขึ้นถ้าสร้างเขื่อน ผลกระทบจากจุดที่แก่งผาได ยังปันเขตแดนไม่เสร็จ ลาวเขาบอกว่าเขตแดนไทยออกจากฝั่งไปแค่ 3 เมตร เราจะออกไปหาปลาได้อย่างไร หมุดที่วางไว้ก็จะท่วม นี่คือปัญหา ไม่ใช่แค่สี่ห้าปี เป็นสามสิบปีโน่น” ชัยวัฒน์กล่าว

นายพัน ปัญญาเอก ชาวบ้านห้วยลึกกล่าวว่า การสร้างเขื่อนมีการกระทบหนักแน่ โครงการอาจมาบอกว่าเขื่อนยังไม่ทันสร้าง แต่ทางเหนือบนแม่น้ำโขงในจีนเขื่อนสร้างเยอะแล้ว เกษตรกรชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ ผลิตผลเคยได้กินจากริมน้ำโขง แต่เขาสร้างเขื่อนทางเหนือเรากระทบมาเยอะแล้ว ถ้าสร้างเขื่อนปากแบงตอนใต้อีกเราจะยิ่งลำบาก

“พวกเราชาวบ้าน ตัวน้อยๆ ไม่มีอำนาจ คนไปหาปลาเหลือกินจะได้ขายมีรายได้มาบ้าง แต่ก็ต้องจบไป ความเดือดร้อนของประชาชนจะเกิดจริงๆ” นายพัน กล่าว

นายใบ ผู้สูงอายุห้วยลึก กล่าวว่าตอนนี้ปากแบงยังไม่ทันได้สร้างแต่ปีที่แล้วฝนตกก็ท่วม นี่ถ้าสร้างเขื่อนขวางทางน้ำ แล้วหากจีนก็ปล่อยน้ำมาอีก ก็จะกระทบพวกเรา ท่วมหมดแน่นอน

จันยา จันทิพย์ สมาชิกเครือข่ายผู้หญิงลุ่มน้ำโขง กล่าวว่าขอเป็นตัวแทนผู้หญิง ตอนนี้จะสร้างไม่สร้างเขื่อนปัญหาเกิดยู่แล้ว อยากภามว่าหากสร้างเขื่อนจริงอาชีพผู้หญิงห้วยลึก ที่เคยหาปลาตามฝั่งแม่น้ำโขง ปลูกผัก หากดินตรงนี้หายไปเพราะเขื่อนปากแบง คุณนจะชดเชยเยียวยาได้อย่างไร เราไม่อยากได้เงินอยากได้ที่ดินของเรา พื้นที่ของเราหายไปเราจะมีอาชีพอะไรมาทดแทนได้อย่างไร     

นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า โครงการเขื่อนปากแบงดำเนินการมาเกือบสิบปี แต่กระบวนการทั้งหมดไม่โปร่งใส ไม่มีความชัดเจนแม้แต่ขั้นตอนเดียว ตั้งแต่การทำ PNPCA ที่ชาวบ้านแสดงข้อกังวลมากมายแต่ไม่ได้รับคำตอบ จนกระทั่งเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับไทย 29 ปี ทั้งที่ยังตอบคำถามประชาชนไม่ได้เลย เป็นโครงการที่ผิดขั้นตอนและน่าอับอายมาก โดยเซ็นสัญญาก่อนแล้วค่อยทำการศึกษาในภายหลัง

นิวัฒน์ตั้งข้อสังเกตว่า การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนเป็นเงื่อนไขของสัญญากู้เงิน แต่การศึกษาที่ส่งไปยังไม่สมบูรณ์และจัดทำขึ้นเพื่อให้ได้เงินกู้เท่านั้น พร้อมตั้งคำถามถึงสถาบันการเงินว่า ใครจะรับผิดชอบหากต้องชดใช้เป็นเวลาถึง 30-40 ปี และถามถึงปัญหาน้ำท่วมในแม่น้ำสาขาอย่างแม่น้ำอิงและแม่น้ำกกที่ไหลล้นไปกว่า 20 กิโลเมตร ว่าจะมีคำตอบอย่างไร

ด้าน ปิยะนันท์ จิตต์แจ้ง จากกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ยังไม่มีเขื่อน แต่ปี 2567 น้ำก็ท่วมแก่งผาไดอยู่แล้ว หากสร้างเขื่อนขึ้นจริง น้ำโขงและน้ำสาขาจะไหลช้าลงมาก ขอเรียกร้องให้ผู้ให้กู้พิจารณาก่อนตัดสินใจ และอยากให้ตอบคำถามที่ชาวบ้านกังวลอย่างจริงจัง เพราะการประชุมรับฟังมีเพียงแค่ 8 หมู่บ้านเท่านั้น ขณะที่แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ก็ยังไม่ได้แสดงให้เห็นว่าปริมาณน้ำจะเป็นอย่างไร โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแม่สายแจ้งว่าน้ำระบายได้ยากมาก ผลกระทบจึงลุกลามถึงพื้นที่แม่สายด้วย

เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการรณรงค์ International Rivers กล่าวในนามชาวเชียงรายว่า พบการทำเหมืองของจีนในต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสายที่ปล่อยสารโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำ แม้บริษัทจะบอกว่าน้ำจะไม่ท่วมหมู่บ้าน แต่แม่น้ำโขงจะกลายเป็น “อ่างพิษ” ที่รับสารโลหะหนักจากแม่น้ำสาขาเหล่านี้ ชาวบ้านจะอยู่อย่างไร หากมีเหมืองเพิ่มขึ้นและสารพิษสะสมมากขึ้น เขื่อนปากแบงอาจไม่สามารถรับมือกับปัญหานี้ได้ โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่เซ็นไปแล้วยังสามารถยกเลิกได้ หากเกิดปัญหาสารพิษในแม่น้ำ การก่อสร้างเขื่อนจะยิ่งเพิ่มภาระและเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกหลานในอนาคต

ไพรินทร์ เสาะสาย จากมูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ เสนอให้กระทรวงพลังงานแปลรายงานเป็นภาษาไทยเพื่อให้ชาวบ้านเข้าถึงข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ปัจจุบันข้อมูลที่ให้รับฟังมีเพียง 7 หน้า และส่วนใหญ่เป็นข้อมูลระดับน้ำจากกรมทรัพยากรน้ำตั้งแต่ปี 2549

บรรยากาศในที่ประชุมเต็มไปด้วยความกังวลใจ โดยผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ต่างแลกเปลี่ยนความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับแม่น้ำโขงและชุมชนในพื้นที่

JustPow ชี้ เขื่อนปากแบงไม่สอดคล้องกับหลักการสำคัญของแผนพลังงาน PDP2024

ข้อมูลจาก JustPow ชี้ให้เห็นว่า โครงการสร้างเขื่อนปากแบงใน สปป.ลาว ไม่ตอบโจทย์หลักการสำคัญ 3 ประการของแผนพลังงาน PDP2024 ของประเทศไทย

ประการแรก การซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในต่างประเทศ ไม่ได้ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศอย่างแท้จริง เพราะแผน PDP2024 จะทำให้ไทยพึ่งพาการนำเข้าไฟฟ้าจากเขื่อนในลาวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9 เป็นร้อยละ 15 รวมกำลังผลิต 3,500 เมกะวัตต์ ซึ่งขัดแย้งกับแนวทางเน้นความมั่นคงของระบบไฟฟ้าภายในประเทศ นอกจากนี้ ปรากฏการณ์เอลนิโญ่ที่ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงลดลง ยังส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนลดลงตามไปด้วย ซึ่งสะท้อนจากตัวเลขการซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. ที่ลดลงในช่วงหน้าแล้งของปีที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำว่าพลังงานจากเขื่อนไม่มั่นคงตามที่คาดหวัง

ประการที่สอง เขื่อนไม่ใช่ “พลังงานสะอาด” อย่างแท้จริง ถึงแม้จะไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ก่อให้เกิดอ่างเก็บน้ำที่ทับถมซากพืชซากสัตว์ ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งรุนแรงต่อภาวะโลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.2 ของการปล่อยก๊าซมีเทนจากกิจกรรมมนุษย์ทั้งหมด นอกจากนี้ผลกระทบทางระบบนิเวศยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงการไหลของแม่น้ำ ลดจำนวนปลาและสัตว์น้ำ ตลอดจนทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงในหลายจังหวัด เช่น เชียงราย เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อชุมชนที่ต้องอพยพ เช่น กว่า 2,200 คนจาก 26 หมู่บ้านใน สปป.ลาว ต้องย้ายถิ่นฐานเพื่อสร้างเขื่อนหลวงพระบาง หรือประชาชนกว่า 6,700 คนในพื้นที่เขื่อนปากแบงต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยและวิถีชีวิต

ประการที่สาม เขื่อนไม่ใช่พลังงานราคาถูกอีกต่อไป ในแผน PDP2024 แม้จะกำหนดสัดส่วนพลังงานน้ำจากเขื่อนต่างประเทศเพิ่มเป็นร้อยละ 15 แต่ราคาซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในลาวมีแนวโน้มสูงขึ้น เช่น เขื่อนหลวงพระบางราคาหน่วยละ 2.84 บาท สูงกว่าราคาของเขื่อนรุ่นก่อนที่เคยอยู่ระหว่าง 1.70 – 2.10 บาทต่อหน่วย และใกล้เคียงหรือสูงกว่าราคาพลังงานแสงอาทิตย์ระบบกักเก็บพลังงานในประเทศที่อยู่ที่ 2.83 บาทต่อหน่วย นอกจากนี้ กบง. ยังมีมติไม่ต่อสัญญาเขื่อนห้วยเฮาะและน้ำเทิน 2 ซึ่งมีราคาต่ำกว่า แต่กำลังผลิตสูง รวมถึงรายงานจาก BloombergNEF ยังชี้ว่า พลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยมีต้นทุนต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับแหล่งผลิตไฟฟ้าใหม่ โดยราคาต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในอีกหลายปีข้างหน้า

จากปัจจัยทั้งหมดนี้ การเร่งสร้างเขื่อนใหม่เพื่อเพิ่มการพึ่งพาไฟฟ้าจากต่างประเทศ จึงขัดแย้งกับหลักการสำคัญของแผน PDP2024 ทั้งในด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม

หมายเหตุ: โครงการเขื่อนปากแบงเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาไฟฟ้าของลาว โดยมีการลงนามซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นระยะเวลา 29 ปี และอยู่ในกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้าตามกรอบคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) โดยยังไม่สิ้นสุดขั้นตอนการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง