เปิดผลตรวจล่าสุด “มลพิษลุ่มน้ำกก-แม่สาย” โลหะหนักพุ่งสูงหลังน้ำหลาก นักวิชาการเตือนรัฐต้องเร่งรับมือ

ภาพ: นราธิป ทองถนอม

1 สิงหาคม 2568 ที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) มูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดผลตรวจวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมและพืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ลุ่มน้ำกก-แม่น้ำสาย ซึ่งชี้ชัดถึงระดับการปนเปื้อนโลหะหนักที่พุ่งสูงเป็นพิเศษช่วงหลังฝนแรก โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-พม่า อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งพบปริมาณโลหะหนักสูงเกินค่ามาตรฐานในเกือบทุกตัวอย่างที่ตรวจวัด พร้อมประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพว่ามีระดับอันตรายสูง โดยภาคประชาสังคมร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลยกระดับการรับมือให้เทียบเท่าความรุนแรงของปัญหา

ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยฯ กล่าวว่า การเก็บตัวอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24–26 พฤษภาคม 2568 ซึ่งตรงกับช่วงที่เกิดฝนแรกและน้ำหลากในพื้นที่ อ.แม่สาย พบว่าน้ำจากจุดเก็บตัวอย่างทั้งหมด 9 จุด รวม 27 ตัวอย่าง ตรวจพบสารหนู (As), แคดเมียม (Cd), นิกเกิล (Ni), ตะกั่ว (Pb) และแมงกานีส (Mn) สูงเกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดิน ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แถมค่าตรวจบางตัวอย่างยังสูงกว่าผลวิเคราะห์ของกรมควบคุมมลพิษก่อนหน้าเพียงหนึ่งวันอย่างมีนัยสำคัญ

“ช่วงที่เราเก็บตัวอย่างเป็นน้ำหลากแรก มันชะตะกอนออกมาหมด ทำให้ค่าโลหะหนักสูงผิดปกติ โดยเฉพาะจุดที่ชายแดนแม่สาย ที่เรียกได้ว่าเกินกว่าทุกพื้นที่ที่เคยสำรวจมา” ผศ.ว่านกล่าว

นอกจากค่าปนเปื้อนที่เกินมาตรฐานแล้ว การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพยังพบว่า ในเกือบทุกจุดเก็บตัวอย่างมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็ง และความเสี่ยงจากสารที่ไม่ก่อมะเร็งก็สูงเกินระดับที่ยอมรับได้ถึงประมาณ 100 เท่า โดยพื้นที่ชายแดนแม่สายเป็นจุดที่มีความเสี่ยงสูงสุด

ส่วนการตรวจตัวอย่างดินและตะกอนดินจาก 6 จุด พบโลหะหนักในปริมาณสูงกว่าค่าความปลอดภัย โดยเฉพาะสารหนู แคดเมียม โครเมียม ทองแดง และตะกั่ว ส่วนพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าว พริก ขิง กระเทียม และหอมแดง จาก 4 พื้นที่ ยังพบโลหะหนักในระดับไม่เกินค่าความปลอดภัย

เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการรณรงค์ประเทศไทย องค์การแม่น้ำนานาชาติ ระบุว่า ผลการตรวจยืนยันความเสื่อมโทรมของลำน้ำกกและแม่น้ำสายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงที่พายุวิภาถล่ม ทำให้สารพิษไหลมากับน้ำท่วมและตกค้างในพื้นที่

“รัฐมักบอกว่า ค่าไม่เกินมาตรฐาน หรือเกินก็ไม่มาก แต่มันก็แปลว่าปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข ประชาชนอยู่กับสารพิษที่มองไม่เห็นทุกวัน น้ำกิน น้ำใช้ น้ำประปา น้ำเกษตร ล้วนเชื่อมโยงกับแหล่งน้ำเหล่านี้ทั้งสิ้น” เพียรพรกล่าว พร้อมเสนอให้รัฐบาลยกระดับการรับมือกับปัญหานี้อย่างเร่งด่วน

ด้านเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ชี้ว่า แม้ผลตรวจพืชผลยังไม่น่ากังวล แต่หากไม่ยุติการปนเปื้อนจากแหล่งกำเนิด เช่น เหมืองแร่ฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะเหมืองแรร์เอิร์ธและเหมืองทอง ปัญหาจะทวีความรุนแรงในระดับภูมิภาค

“เชียงรายและเชียงใหม่อาจกลายเป็นพื้นที่ปนเปื้อนที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียน หากจัดการไม่ได้ ไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อม แต่เศรษฐกิจก็พังแล้ว นักท่องเที่ยวหาย ความเงียบงันเริ่มปรากฏชัดแล้ว” เธอกล่าว

สมพร เพ็งค่ำ ผอ.สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน ย้ำว่าปัญหานี้ใหญ่ระดับภูมิภาค ต้องใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เพราะแหล่งกำเนิดมลพิษอยู่ในเมียนมา พร้อมเสนอแผนรับมือระยะสั้น เช่น 

— ยกระดับคุณภาพน้ำประปาชุมชน

— เฝ้าระวังอาหารสะสมโลหะหนัก เช่น ข้าว

— กระจายความรู้สู่ชุมชน เพื่อให้ประชาชนมีทักษะดูแลตนเอง

“เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด ไม่รอรัฐอย่างเดียว แต่สร้างระบบเตือนภัยและการสื่อสารความเสี่ยงในชุมชน ให้เกิดกลไกป้องกัน ฟื้นฟู และฟ้องร้องได้เอง” สมพรกล่าว

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง