เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … จัดเวทีสานเสวนาวิชาการสาธารณะครั้งแรก ณ ห้องประชุมใหญ่ สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเปิดรายละเอียดร่างกฎหมายฉบับนี้ต่อสาธารณะ พร้อมรับฟังเสียงสะท้อนจากนักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคประชาชน

ร่างกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นการหลอมรวมจาก 7 ร่างเดิมที่เสนอในช่วงรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน โดยใช้เวลาดำเนินการในชั้นกรรมาธิการกว่า 1 ปี 7 เดือน ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทยที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการอากาศอย่างเป็นระบบ และมีความหวังว่าจะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ 3 ภายในปี 2568
ดร.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม รองประธานกรรมาธิการฯ ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มีเป้าหมายในการ ‘รื้อโครงสร้างใต้ภูเขาน้ำแข็ง’ ของปัญหาฝุ่นควันในประเทศ โดยใช้หลักสิทธิมนุษยชนเป็นแกนกลาง ผ่านกรอบคิด 5 ประการ ได้แก่
1.สถาปนาสิทธิในอากาศสะอาดในกฎหมาย
2.ผนวกสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นเรื่องเดียวกัน
3.บูรณาการนโยบายและข้อมูลจากทุกภาคส่วน
4.กระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและประชาชนมีส่วนร่วม
5.ใช้มาตรการจูงใจควบคู่กับบทลงโทษ (Carrot and Stick)
อชิชญา อ๊อตวงษ์ หนึ่งในกรรมาธิการ เปิดเผยถึงโครงสร้างและกลไกของร่าง พ.ร.บ. ว่าจะมีการจัดตั้งสำนักงานอากาศสะอาด ระบบฐานข้อมูล Clean Air Big Data ระบบร้องเรียนจากประชาชน และดัชนีคุณภาพอากาศ AQI/AQHI โดยแบ่งพื้นที่เป็นเขตเฝ้าระวังและเขตประสบมลพิษ พร้อมจัดทำแผนปฏิบัติการระดับจังหวัดที่สามารถบังคับใช้ได้จริง
นอกจากนี้ ยังออกแบบมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เช่น การจัดเก็บค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาด การซื้อขายและโอนสิทธิในการปล่อยมลพิษ และกองทุนเพื่ออากาศสะอาด ที่จะเป็นกลไกสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ พร้อมมีบทลงโทษทั้งทางอาญา แพ่ง และปกครอง สำหรับผู้ฝ่าฝืน
คณะกรรมาธิการฯ ย้ำว่าท้องถิ่นจะมีบทบาทสำคัญ ทั้งในฐานะเจ้าพนักงานอากาศสะอาด และในการกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศของพื้นที่ โดยมีระบบตรวจสอบแบบมีส่วนร่วมจากประชาชน กำหนดให้นายก อบจ. เป็นประธานคณะกรรมการจังหวัด และผู้ว่าฯ มีอำนาจกำกับควบคุมอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้นโยบายต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่านี่คือ ‘หมุดหมายใหม่ของความร่วมมือ’ จากทุกภาคส่วน โดยเน้นว่าแม้กฎหมายจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันที แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการจัดการเชิงระบบ เพื่อ ‘ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย’ และเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาแบบไม่ก่อมลพิษ
เวทีเสวนาเปิดพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมตั้งคำถามและข้อสังเกต เช่น ความกังวลว่าอำนาจของเจ้าพนักงานอากาศสะอาดอาจมากเกินไปหากไม่มีระบบตรวจสอบ หรือไม่สามารถเข้าไปจัดการพื้นที่ป่าได้เพราะติดกฎหมายอื่น เช่น พ.ร.บ.อุทยาน/ป่าไม้
สมคิด ปัญญาดี ผู้อำนวยการ ทสจ.เชียงใหม่ เสนอว่าควรเพิ่มอำนาจเจ้าพนักงานในการบังคับใช้กฎหมาย และต้องมีบทบัญญัติชัดเจนในการจัดการพื้นที่ป่า ขณะที่การซื้อขายมลพิษอาจกลายเป็นช่องให้ผู้มีเงินซื้อสิทธิ แต่ไม่แก้ไขการปล่อยจริง
ฝ่ายกรรมาธิการฯ ชี้แจงว่ามีบทเฉพาะกาลให้เจ้าพนักงานใหม่ต้องมาจากหน่วยงานที่มีความพร้อม เช่น GISTDA หรือกรมโรงงาน มีระบบถ่วงดุลโดยภาคประชาชน และการซื้อขายมลพิษต้องอยู่ภายใต้การเปิดเผยข้อมูล มีมาตรการควบคุมทางกฎหมาย พร้อมระบบตรวจสอบย้อนกลับ
โดย ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ อธิบายว่า ร่าง พ.ร.บ. ยังออกแบบให้สามารถใช้ระบบฐานข้อมูลในระดับอาเซียนเพื่อเจรจาแก้ปัญหามลพิษข้ามแดน และเพิ่มบทบัญญัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกกฎควบคุมการระบายมลพิษในพื้นที่ของตนได้
รู้จักร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ ก่อนเข้าสภา
ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะจนถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2568 โดยประชาชนสามารถร่วมแสดงความเห็นผ่านช่องทางออนไลน์ ก่อนที่ร่างจะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ 3 ในสภาผู้แทนราษฎร และเข้าสู่วาระวุฒิสภาต่อไป
ร่างกฎหมายฉบับนี้ประกอบด้วย 10 หมวด ครอบคลุมทั้งสิทธิของประชาชน กลไกการจัดการ แผนยุทธศาสตร์ เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ และบทลงโทษ โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจ ได้แก่
สิทธิในอากาศสะอาด: รับรองอากาศสะอาดเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ครอบคลุมสิทธิในสุขภาพ ชีวิต การรู้ข้อมูล และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางจะได้รับสิทธิการตรวจสุขภาพฟรีจากภาครัฐ
กลไกการบริหารจัดการ: ตั้งคณะกรรมการ 5 ชุด (นโยบาย, กำกับ, วิชาการ, เศรษฐศาสตร์, จังหวัด/กทม.) มีสำนักงานอากาศสะอาดเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน พร้อมแต่งตั้งเจ้าพนักงานอากาศสะอาดที่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบและสั่งหยุดกิจกรรมที่ปล่อยมลพิษ
เครื่องมือควบคุมและระบบข้อมูล: ใช้ดัชนี AQI และ AQHI, ระบบ Big Data, ระบบร้องเรียน และการประกาศ “เขตเฝ้าระวัง” และ “เขตประสบมลพิษ” ที่ให้อำนาจท้องถิ่นสั่งการได้
ควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ: ครอบคลุม 7 ภาคส่วน ได้แก่ อุตสาหกรรม คมนาคม ป่าไม้ เกษตร เมือง มลพิษข้ามแดน และแหล่งกำเนิดอื่น โดยมีมาตรการเฉพาะ เช่น ห้ามรับซื้อสินค้าเกษตรจากแหล่งที่เผาโดยผิดกฎหมาย
มาตรการทางเศรษฐศาสตร์: ออกแบบภาษี ค่าธรรมเนียม การซื้อขายและโอนสิทธิปล่อยมลพิษ หลักประกันความเสี่ยง รวมถึงมาตรการอุดหนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมอากาศสะอาด
ตั้งกองทุนอากาศสะอาด: เพื่อใช้ในการส่งเสริม ฟื้นฟู เยียวยา สนับสนุนเครือข่ายภาคประชาชน และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษ
บทลงโทษทางกฎหมาย: มีบทกำหนดโทษทางแพ่ง โทษอาญาสำหรับผู้ฝ่าฝืน เช่น จำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับสูงสุด 100 ล้านบาท รวมถึงมาตรการปรับเป็นพินัยกรณีความผิดไม่ร้ายแรง เช่น ไม่ส่งข้อมูล หรือไม่ติดตั้งระบบตรวจวัด
ศาลสั่ง กก.วล. ประกาศ “4 จังหวัดเหนือ” เป็นเขตควบคุมมลพิษช่วงฤดูฝุ่น
ทั้งนี้ในวันเดียวกันนั้น (1 สิงหาคม 2568) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ต้องใช้อำนาจตามมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ ประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคมของทุกปี เพื่อควบคุมและลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ซึ่งมีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานต่อเนื่องและส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพประชาชน
คำพิพากษาดังกล่าวเกิดจากกรณีประชาชนในภาคเหนือยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากหมอกควันและไฟป่า โดยศาลระบุว่า กก.วล.ละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายใน 90 วันนับจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
ศาลยังเปิดทางให้สามารถยกเลิกเขตควบคุมได้ หากในอนาคตคุณภาพอากาศดีขึ้นจนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน พร้อมชี้ว่าการพิจารณาครั้งนี้คำนึงถึงดุลยภาพระหว่างสิทธิด้านสุขภาพของประชาชน กับผลกระทบทางเศรษฐกิจ การลงทุน และภาพลักษณ์ของพื้นที่อย่างสมเหตุสมผล
คำพิพากษานี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการใช้กลไกทางกฎหมายบังคับให้รัฐกำหนดมาตรการเชิงพื้นที่ต่อปัญหาฝุ่นควันภาคเหนืออย่างเป็นรูปธรรม และเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับการผลักดันร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด ที่เตรียมเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2–3 ในรัฐสภา
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...