8888–ปัจจุบัน–อนาคต เราจะจินตนาการร่วมกันได้อย่างไร?

เรื่อง: กองบรรณาธิการ

ชยันต์ วรรธนะภูติ ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาที่ยั่งยืน (RCSD) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเวทีเสวนาชวนมอง ‘เหตุการณ์ลุกฮือ 1988’  ไม่เพียงเป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนเมียนมา แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ตั้งคำถามต่ออนาคตว่า ประชาธิปไตยในสหภาพเมียนมาจะงอกงามได้อย่างไร ท่ามกลางความหลากหลายของผู้คน

เขาอธิบายว่า การสัมมนาครั้งนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่การสะท้อนความทุกข์ยากของผู้คนเท่านั้น แต่เป็นการจินตนาการถึงอนาคตของประชาธิปไตยท่ามกลางความหลากหลาย และระบบการเมืองแบบใด ที่จะเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการต่อสู้และต่อต้านได้อย่างหลากหลาย โดยไม่แตกแยก เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมและนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน 

“การสัมนาครั้งนี้จึงไม่ได้เกี่ยวกับการต่อสู้เพียงความทุกข์ยากของผู้คน แต่เป็นการจิตนาการถึงอนาคตของประชาธิปไตยของเมียนมา ที่มีผู้คนหลากหลายในแผนที่เดียวกันทั้ง กะเหรี่ยง มอญ คะฉิ่น ไทใหญ่ ฯลฯ ว่าควรจะมีระบบการเมืองอย่างไร และเราจะสร้างการต่อต้านต่อสู้ที่มีความหลากหลายได้อย่างไร โดยไม่มีการแตกแยก แต่มีอุดมการณ์ร่วมกันที่จะสร้างความเท่าเทียมและสันติภาพมากขึ้น”

ประวัติศาสตร์ของเมียนมา 1988 ถึงรัฐประหารในปี 2021 และการจิตนาการถึงหลักการธรรมาภิบาล

ศิรดา เขมานิฏฐาไท คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้บรรยายหัวข้อ ‘ประวัติศาสตร์เมียนมา 1988 ถึงรัฐประหาร 2021 และการจินตนาการถึงหลักการธรรมาภิบาล’ โดยเริ่มต้นจากการเล่าย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1988 ซึ่งขณะนั้นเมียนมาอยู่ภายใต้การปกครองของนายพลเนวิน ระบอบเผด็จการทหารและเศรษฐกิจสังคมนิยมที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน สร้างความไม่พอใจให้ประชาชน แม้มีการปราบปรามอย่างรุนแรงยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ แต่การประท้วงกลับขยายตัว และนำไปสู่เหตุการณ์วันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1988 มีผู้ชุมนุมหลายแสนคน เรียกร้องให้ยุติระบอบทหารและสถาปนาประชาธิปไตยแบบหลายพรรค การปราบปรามทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน

เหตุการณ์นี้เปิดทางให้ อองซาน ซูจี เข้าสู่การเมืองในปี ค.ศ. 1989 และวันที่ 26 สิงหาคม เธอกล่าวปราศรัยต่อหน้าประชาชนราว 5 แสนคน แต่ในเดือนกันยายน กองทัพปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้โอกาสเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยสูญสลาย

การเคลื่อนไหว 888 จึงไม่เพียงเป็นการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของนักศึกษาและประชาชน แต่ยังกลายเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การต่อสู้สมัยใหม่ของเมียนมา และเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญที่ถูกส่งต่อสู่คนรุ่นหลัง

เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 30 ปี ประชาชนเมียนมาต้องเผชิญกับรัฐประหารอีกครั้งในปี ค.ศ. 2021 หรือที่ถูกขนานนามว่า ‘การปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ’ (Spring Revolution) การลุกฮือครั้งใหม่นี้นำโดยขบวนการอารยะขัดขืน (Civil Disobedience Movement: CDM) การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ เช่น การปิดร้านค้า ไม่ออกไปตลาด ควบคู่กับการเสนออุดมการณ์ใหม่ว่าด้วย สหพันธรัฐ และ การกระจายอำนาจ โดยนักศึกษาร่วมมือกับหลายกลุ่มชาติพันธุ์

คำถามสำคัญคือ “คนรุ่น 888 มีอิทธิพลต่อการต่อสู้ปัจจุบันเพียงใด” เห็นได้ว่าพวกเขาได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการต่อสู้ และเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนออกมาบนถนน

ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน แม้เราอาจช่วยในทางปฏิบัติได้ไม่มาก แต่ควรถามว่า “เราจะสนับสนุนชาวเมียนมาให้ทำลายวงจรเผด็จการและเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยได้อย่างไร” หลักธรรมาภิบาลใหม่ในเมียนมายังเป็นสิ่งที่หน่วยงานไทยจินตนาการไม่ถึง แต่เราจำเป็นต้องหาหนทางช่วยเหลือการต่อสู้ของประชาชน

ขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในเมียนมา บทเรียนและนัยยะสำคัญต่ออนาคต

ในประเด็นนี้มีสามนักกิจกรรมในแต่ละรุ่นและเส้นทางการต่อสู้ที่แตกต่างกัน ที่ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากเหตุการณ์ 888 และความต่อเนื่องของการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพในเมียนมา เรื่องราวของพวกเขาสะท้อนทั้งความสูญเสีย ความเจ็บปวด และแรงบันดาลใจ ที่กลายเป็นมรดกทางการเมืองและจิตวิญญาณการต่อสู้ซึ่งส่งต่อมาถึงปัจจุบัน

Khin Ohmar นักกิจกรรมจากรุ่น 1988 เล่าว่า เธอเริ่มต้นจากการประชุมที่ร้านน้ำชาในวันที่ 12–13 สิงหาคม ก่อนดำเนินกิจกรรมต่อเนื่องจนเกิดการปราบปราม และเพื่อนของเธอเสียชีวิต วันแรกที่เข้าร่วมกิจกรรมนักศึกษาคือวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1988 หรือ ‘วันสะพานแดง’ ซึ่งเป็นวันแรกที่นักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งออกเดินขบวนและไปติดอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน โดยอีกฝั่งมีทหารและตำรวจปราบจลาจลรออยู่ เธอพยายามวิ่งหนีและเห็นนักศึกษาหลายร้อยคนถูกจับ เป็นครั้งแรกที่เธอได้วิ่งหนีการปราบปราม

วันนั้นเปลี่ยนชีวิตจากนักศึกษาธรรมดาที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับอุดมการณ์ทางการเมือง ทำให้ตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องทำแบบนี้กับพวกเรา” แม้ไม่มีคำตอบ แต่ความโกรธทำให้เธอเริ่มค้นหาความจริง คืนวันนั้นกลับถึงบ้าน เธอมีเพียงดินสอเป็นเครื่องปกป้องตนเอง ไม่มีอาวุธใดๆ ในยุคนั้นนักศึกษามีเพียงปากกาและดินสอ

สำหรับเธอ มรดกจากปี 1988 เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตลอด 37 ปีที่ผ่านมาไม่เคยหยุดทำกิจกรรม แม้ไม่ได้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในอนาคต แต่จะเป็นนักต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและประชาธิปไตย เมื่อออกจากบ้านเกิดไปอเมริกา เธอบอกพ่อแม่ว่าจะกลับมาพร้อมชัยชนะภายใน 3 เดือน แต่เวลาผ่านไป 37 ปี การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนระบบอาจกินเวลาทั้งชีวิต และเธอไม่เคยลืมผู้ที่ล้มลงในปีนั้น พร้อมพยายามเปิดโปงความอยุติธรรมต่อโลกมากขึ้น

Lway Mownt Noon นักกิจกรรมชาวปะหล่อง/ตะอาง เล่าว่า ในทศวรรษ 1990 คนหนุ่มสาวต้องทนทุกข์อย่างหนักจากความรุนแรงเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาในพื้นที่ห่างไกล ชาวตะอางไม่สามารถเดินทางไปมัณฑะเลย์ ท่าขี้เหล็ก หรือเชียงใหม่ได้

ปี ค.ศ. 1990 เธอต่อสู้ในรัฐฉานเพื่อปลดแอกจากรัฐบาลทหารที่ไม่เคยยอมรับว่าเป็นรัฐบาลของตน เธอเรียกพวกเขาว่า ‘ผู้ก่อการร้าย’ เพราะสังหารพลเรือนจำนวนมากทั้งชาวพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น อุดมการณ์ปี 1988 เดินทางมาถึงพื้นที่ตะอางด้วย

ความรุนแรงเชิงโครงสร้างทำให้หลากหลายชาติพันธุ์ถูกกลืนให้เป็นคนพม่าและยกให้คนเชื้อชาติพม่าเป็นใหญ่ ตอนอายุ 9 ขวบ พ่อแม่ซึ่งเป็นคนตะอางถูกสังหารต่อหน้า เนื่องจากเป็นแกนนำกลุ่ม PMLS และเมื่ออายุ 14 ปียังไม่มีใบเกิด การเป็นคนตะอางทำให้ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมือง ถูกตราว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและถูกผลักสู่ชายขอบ

เธอย้ำว่าคนตะอางเป็นชนกลุ่มน้อยเล็กๆ ที่พยายามปกป้องสิทธิในที่ดิน ป่า และแม่น้ำ ซึ่งเป็นรากฐานชีวิตของชุมชน เธอจึงเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อปกป้องสิ่งเหล่านี้ ปี ค.ศ. 1996 เธอถูกจับและสอบสวนในค่ายทหาร ไม่สามารถกินอาหารหรือดื่มน้ำได้ เพื่อนผู้หญิงหลายคนฆ่าตัวตาย ข้อมูลผู้ถูกฆ่าและอุ้มหายไม่สามารถเก็บได้ เธอเป็นคนเดียวที่รอดและออกจากค่ายผู้ก่อการร้ายในปี ค.ศ. 2002

ต่อมาในสมัยรัฐบาล NLD เธอถูกจับอีกครั้งในปี ค.ศ. 2015 ในข้อหา ‘อั้งยี่ซ่องโจร’ เพราะยืนยันเสรีภาพในการแสดงออก เธอกล่าวว่า แม้จะไม่มีแม้แต่ดินสอ แต่การลุกฮือในทุกยุคก็เพื่อยุติระบอบทหารและสร้างประชาธิปไตย

Aung Phone Maw ตัวแทนสหภาพนักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้ง (University of Yangon Students’ Union) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของขบวนการที่เกิดขึ้นเป็นระยะสะท้อนเจตจำนงของประชาชนที่ไม่ต้องการอยู่ภายใต้เผด็จการทุกรูปแบบ พวกเขาต้องการเสรีภาพ ต้องการกำหนดชีวิตและชะตากรรมของตนเอง

ขบวนการทางสังคมที่ต่อเนื่องกันแสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องเป็นอิสระ ไม่ใช่เพื่อความสุขหรือความเพลิดเพลินเท่านั้น แต่การแสวงหาเสรีภาพทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีดำรงชีวิต และเสี่ยงต่ออันตราย เพราะประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยต้องแลกด้วยชีวิต

เขาย้ำว่า ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อเสรีภาพ เมื่อเลือกเสรีภาพต้องตระหนักว่ามันอาจนำความเจ็บปวดและอันตรายมาสู่ตนเองได้ แต่ในฐานะมนุษย์ เราจำเป็นต้องยึดมั่นในเสรีภาพ แม้จะต้องเผชิญผลกระทบหรือความสูญเสียก็ตาม ขบวนการทางสังคมและแนวคิดการปฏิวัติเพื่อนำไปสู่ประชาธิไตย และมรดกจากการต่อสู้ที่ผ่านมาจะส่งผลต่อคนรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หมายเหตุ 

เนื้อหาของบทความนี้มาจากงานครบรอบ 37 ปีเหตุการณ์ 8888 สัมมนาในหัวข้อเรื่อง “จาก 1988–2021 : จากอดีตสู่ปัจจุบัน เราได้เรียนรู้อะไรเพื่ออนาคตบ้าง?” ในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ณ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง