วิกฤตแม่น้ำกกและลำน้ำสาย รวก โขง ไม่ได้เป็นเพียงประเด็นสิ่งแวดล้อม แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ผลการตรวจวัดจากหน่วยงานรัฐและทีมวิจัยอิสระต่างยืนยันตรงกันว่า สายน้ำเหล่านี้ปนเปื้อนสารโลหะหนักหลายชนิดในระดับที่เกินมาตรฐาน โดยมีต้นทางเชื่อมโยงกับกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวทีเสวนาสาธารณะ “รวมพลังแก้ไขปัญหาแม่น้ำปนเปื้อนและลดสภาพแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะคนเชียงใหม่” ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีนักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคประชาชนมานำเสนอข้อมูลและมุมมองร่วมกัน ทั้งในด้านการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ การเฝ้าระวังด้านสาธารณสุข และข้อเรียกร้องจากชุมชนผู้ได้รับผลกระทบ
เหมืองคือต้นตอหลัก 38% ของมลพิษมาจากกิจกรรมเหมืองแร่
ผศ.ดร.ว่าน วิริยา หัวหน้าทีมวิจัยและตรวจวัดสารโลหะหนักจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายว่า ได้มีการลงพื้นที่เพื่อตรวจวัดสารโลหะหนักซึ่งการตรวจสอบครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเพียงการเก็บตัวอย่างน้ำ แต่ครอบคลุมถึงดิน ตะกอน และพืชผลทางการเกษตร โดยทั้งหมดใช้วิธีการวิเคราะห์มาตรฐานเดียวกับกรมควบคุมมลพิษ เพื่อให้ผลที่ได้มีความน่าเชื่อถือและสามารถเปรียบเทียบกันได้โดยตรง ทีมวิจัยลงพื้นที่ทั้งในฝั่งชายแดนไทย–เมียนมาและฝั่งไทย โดยเลือกพื้นที่สำคัญ 9 จุดที่มีการใช้น้ำและเป็นจุดเสี่ยงต่อการปนเปื้อน
ผลการตรวจวัดชี้ว่า ไม่ได้มีเพียง “สารหนู” อย่างเดียวที่เกินค่ามาตรฐาน แต่ยังพบโลหะหนักหลายชนิด เช่น แคดเมียม นิกเกิล ตะกั่ว และแมงกานีสในระดับสูง โดยเฉพาะบริเวณชายแดนแม่สาย จังหวัดเชียงราย และท่าเรือสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งมีค่าที่สูงผิดปกติเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ การตรวจตะกอนดินยังพบการปนเปื้อนสารหนูในระดับสูงมากจนไม่ปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดิน ส่วนนิกเกิลแม้ไม่เกินเกณฑ์สูงสุด แต่ก็อยู่ในระดับที่น่ากังวล ขณะที่การตรวจพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าว กระเทียม พริก และหอมแดง แม้ไม่พบเกินมาตรฐาน แต่ก็ยังมีการสะสมสารปนเปื้อน ซึ่งยังไม่อาจตอบได้ว่าหากบริโภคไปนานๆ จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง
เมื่อทีมวิจัยนำข้อมูลทั้งหมดมาคำนวณความเสี่ยงต่อสุขภาพตามเกณฑ์สากล (HQ และ HI) ก็พบว่าสถานการณ์น่าห่วง ผู้ใหญ่ที่ดื่มน้ำจากแม่น้ำกกเสี่ยงเกินกว่าเกณฑ์ถึงกว่า 40 เท่า ส่วนเด็กที่มีความเปราะบางมีความเสี่ยงมากกว่า 60–100 เท่า ความเสี่ยงด้านมะเร็งก็ปรากฏชัด โดยพื้นที่ที่น่ากังวลมากที่สุดคือในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำที่ใกล้จุดเหมืองมากที่สุด
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ความขุ่นของน้ำสามารถอธิบายปริมาณสารหนูได้ถึง 80% และหากกรองน้ำ ความเข้มข้นของสารหนูจะลดลงไปได้มาก อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงการอธิบายเฉพาะสารหนูเท่านั้น ขณะที่โลหะหนักอื่นๆ เช่น ตะกั่ว นิกเกิล และแคดเมียม ยังคงเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการกรองน้ำง่ายๆ จึงถือเป็นความเสี่ยงที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง
ในการวิเคราะห์หาที่มาของมลพิษ ทีมวิจัยใช้แบบจำลองทางสถิติ (PMF) เพื่อแยกแหล่งกำเนิด ผลที่ได้ชี้ว่า 38% ของการปนเปื้อนมาจากกิจกรรมเหมืองแร่โดยตรง 31% มาจากการชะล้างหน้าดิน 19% จากเกษตรกรรม และอีก 12% จากน้ำเสียชุมชนและอุตสาหกรรม
“สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหา ‘สารหนู’ อย่างเดียว แต่คือโลหะหนักหลายชนิดที่ผสมรวมกัน และจะส่งผลต่อระบบนิเวศและสุขภาพมนุษย์ในระยะยาว หากไม่แก้ไขตั้งแต่ต้นเหตุ” ผศ.ดร.ว่าน ย้ำ
เสียงสะท้อนของผู้ได้รับผลกระทบ ความไม่มั่นใจที่ไหลมากับสายน้ำ
ผศ.ดร.วรางคณา นาคเสน คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำเสนอข้อมูลจากการเก็บแบบสอบถามกว่า 800 ชุด ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำกก ได้แก่ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเชียงแสนกับอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยครอบคลุมสามกลุ่มหลัก คือ กลุ่มประมง ผู้ใช้น้ำ และผู้ประกอบการท้องถิ่น การเก็บข้อมูลสะท้อนให้เห็นทั้งรูปแบบการใช้น้ำ ปัญหาที่ชุมชนเผชิญ และทัศนคติของคนในพื้นที่ต่อสถานการณ์มลพิษที่กำลังดำเนินอยู่
ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนกว่าร้อยละ 97 รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการปนเปื้อนแล้ว และส่วนใหญ่ยืนยันว่ามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง ชาวบ้านจำนวนมากลดการใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง และหลีกเลี่ยงการบริโภคปลา แม้จะเป็นอาหารที่เคยพึ่งพามาตลอดก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของชุมชนต่อความปลอดภัยของสายน้ำที่เคยเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชีวิต
ข้อกังวลหลักที่ชาวบ้านสะท้อนออกมาแบ่งได้เป็นสี่ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการดำรงชีวิตและแหล่งอาหาร มีความกังวลว่าปลา พืชผัก ผลไม้ และสัตว์เลี้ยงอาจปนเปื้อนสารพิษ บางครัวเรือนจึงต้องซื้ออาหารจากนอกพื้นที่ 2) ด้านสุขภาพและความปลอดภัย มีความกังวลต่อโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง และปัญหาที่จะเกิดกับเด็กและผู้สูงอายุ 3) ด้านเศรษฐกิจ รายได้จากการประมงและเกษตรลดลง หลายครัวเรือนต้องหางานเสริม บางส่วนถึงขั้นย้ายออกจากพื้นที่ และ 4) ด้านสังคม ประชาชนรู้สึกไม่เชื่อมั่นในข้อมูลของรัฐ ประเพณีและกิจกรรมชุมชนบางอย่างหายไป พร้อมกับความรู้สึกว่าชุมชนไม่เหมือนเดิม
ในเชิงข้อเสนอ ชุมชนในพื้นที่เสนอให้ภาครัฐตรวจวัดคุณภาพน้ำและดินอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งตรวจสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยงเป็นประจำ เพื่อประเมินผลกระทบจากการปนเปื้อน นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้มีการสนับสนุนอาชีพเสริมเพื่อทดแทนรายได้ที่หายไป การตรวจสอบคุณภาพปลาและสัตว์น้ำอย่างโปร่งใส และที่สำคัญคือการหยุดเหมืองต้นทางซึ่งถูกมองว่าเป็นสาเหตุหลักของปัญหา
“การแก้ปัญหาต้องโปร่งใสและให้ชุมชนมีส่วนร่วม เพราะความไม่ไว้วางใจคือบาดแผลสำคัญ การคืนข้อมูลตรงไปตรงมาและมีระบบติดตามชัดเจนคือก้าวแรกในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและจัดการมลพิษลุ่มน้ำกก” รศ.ดร.วรางคณา ย้ำ
เสียงชุมชนริมน้ำ พิษในน้ำกัดกร่อนเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น
ชาญชัย ศรีวชิรพันธ์ ตัวแทนเครือข่ายรักษ์น้ำกก เล่าว่าปัญหานี้ไม่ได้กระทบเพียงชาวบ้านในฝั่งไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชุมชนชาติพันธุ์ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาที่อาศัยริมแม่น้ำกกด้วย เขาย้ำว่าชาวบ้านฝั่งเมียนมา “ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำที่ใช้ทุกวันมีสารอะไรปนเปื้อน” สิ่งที่พวกเขารับรู้เพียงคือ “น้ำขุ่น ใช้ไม่ได้ ลงไปเล่นแล้วคัน” แต่ชีวิตยังต้องพึ่งพาแม่น้ำกกเหมือนเดิม ทั้งการทำนา การเลี้ยงสัตว์ และการประมงเล็ก ๆ จึงไม่ต่างอะไรกับการถูกบีบบังคับให้อยู่กับพิษภัยโดยไม่มีทางเลือก
สำหรับฝั่งไทย ชาญชัยสะท้อนว่าผลกระทบหนักที่สุดคือด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่พึ่งพาแม่น้ำกก เช่น กิจการแพเปียกและร้านอาหารริมน้ำ เมื่อข่าวการปนเปื้อนถูกเผยแพร่ออกไป นักท่องเที่ยวหายเกือบหมด หลายเจ้าต้องปิดกิจการหรือขาดทุนหนัก เขาเรียกร้องว่าหลังจากหน่วยงานรัฐและนักวิชาการเข้าไปเก็บข้อมูลแล้ว ควรคืนข้อมูลให้ชาวบ้านและเปิดพื้นที่ให้พูดถึงปัญหาของตนเอง ไม่ใช่ปิดปากหรือบอกเพียงว่า “เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง” เพราะนั่นไม่ใช่คำตอบที่ช่วยชาวบ้านให้ผ่านวิกฤตไปได้จริง
“ชาวบ้านฝั่งเมียนมาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำที่ใช้ทุกวันมีอะไรปนเปื้อน รู้แค่ว่า ‘น้ำขุ่น ใช้ไม่ได้ ลงไปเล่นแล้วคัน’ แต่ก็ยังต้องพึ่งพาแม่น้ำกกเหมือนเดิม… ขณะที่ฝั่งไทย นักท่องเที่ยวหาย รายได้หด แต่สิ่งที่ชาวบ้านต้องการไม่ใช่แค่คำว่า ‘เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง’ หากต้องการการคืนข้อมูลและพื้นที่ให้พวกเขาพูดถึงปัญหาจริง” ชาญชัย กล่าว
ด้าน พระมหานิคม มหาภินิกขมฺโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ ให้ภาพชัดเจนถึงความไม่ไว้วางใจที่ชาวบ้านมีต่อรัฐ ท่านกล่าวว่าทุกครั้งที่ชาวบ้านติดตามถามหาความคืบหน้า ก็มักได้คำตอบเพียงว่า “ยังไม่มีนโยบายและงบประมาณ” หรือ “กินได้แต่เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง” ซึ่งไม่ต่างจากการปลอบประโลมใจมากกว่าการแก้ไขปัญหาจริง
“ทุกครั้งที่ชาวบ้านถามความคืบหน้า คำตอบที่ได้คือ ‘ยังไม่มีนโยบายและงบประมาณ’ หรือ ‘กินได้แต่เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง’ ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาจริง”
พระมหานิคม มหาภินิกขมฺโม กล่าว พร้อมอธิบายว่า แม้นโยบายของรัฐอาจมีประโยชน์ในเชิงข้อมูล เช่น การแจ้งเตือนระดับน้ำหรือค่ามลพิษ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ ‘แผนพัฒนา’ ที่จะนำไปสู่การแก้ไขเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง ตรงกันข้าม สิ่งที่รัฐทำอยู่กลับคล้ายเพียงการปลอบใจชั่วคราว เปรียบเสมือนคนถูกสุนัขกัดแต่กลับไปให้พระเป่าน้ำมนต์ แทนที่จะรักษาแผล เย็บ กินยา หรือฉีดยา ผลย่อมไม่ต่างจากการปล่อยให้บาดแผลเรื้อรัง
“นโยบายของรัฐในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่มันไม่ใช่ ‘แผนพัฒนา’ ที่จะแก้ปัญหาได้จริงๆ สิ่งที่รัฐทำอยู่จึงเหมือนเป็นเพียงคำปลอบใจ คล้ายกับเวลามีคนถูกสุนัขกัด เลือดไหล แต่กลับเอาแผลไปให้พระเป่าน้ำมนต์แทนที่จะไปหาหมอ เย็บแผล กินยา หรือฉีดยา แบบนี้ย่อมไม่หาย” พระมหานิคม มหาภินิกขมฺโม กล่าว
สร้างนักสืบสิ่งแวดล้อม ชาวบ้านตรวจสารพิษได้เอง
สุรพงษ์ พรรณ์วงษ์ ผู้สื่อข่าวจาก Thai PBS อธิบายว่า สื่อมวลชนไม่ได้ทำหน้าที่เพียงรายงานข่าว แต่ยังต้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและสร้างระบบเฝ้าระวังร่วมกับชุมชน เขาเล่าว่า Thai PBS เริ่มติดตามปัญหาตั้งแต่ชาวบ้านแม่อายแจ้งว่าน้ำกกมีความขุ่นผิดปกติและปลาเริ่มตายเป็นจำนวนมาก ทีมข่าวจึงร่วมมือกับ CHIA Platform ในการเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่ชาวบ้านสามารถเข้าถึงได้
หนึ่งในข้อค้นพบสำคัญคือ ชุมชนหลายแห่งใช้น้ำใต้ดินและน้ำตื้นเป็นหลัก แต่ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำใต้ดินกลับขาดหายไป Thai PBS และเครือข่ายจึงพยายามเก็บตัวอย่างและระบุจุดเสี่ยง พบว่ามีอย่างน้อย 9 จุดที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนแม่สายและสามเหลี่ยมทองคำที่อยู่ใกล้เหมืองในรัฐฉานมากที่สุด
เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมจริง Thai PBS ไม่ได้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลแทน แต่ยังจัดอบรมให้ชาวบ้านใช้อุปกรณ์ตรวจวัดสารพิษเบื้องต้นด้วยตนเอง เช่น ชุดทดสอบสารหนู (test kit) ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยมหิดล การฝึกอบรมนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้าง “นักสืบสิ่งแวดล้อม” ในแต่ละหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านสามารถเฝ้าระวังเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง และรายงานต่อเครือข่ายเมื่อตรวจพบความผิดปกติ
สุรพงษ์อธิบายเปรียบเทียบว่า “สารพิษไม่เหมือนฝุ่นควัน PM 2.5 ที่เราสามารถเปลี่ยนไส้กรองเครื่องฟอกอากาศได้ แต่ร่างกายมนุษย์ไม่มีไส้กรองสำรอง หากสะสมสารหนูหรือโลหะหนักเข้าไปมาก ๆ ก็จะกลายเป็นผลกระทบเรื้อรัง” การให้ความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ประชาชนลดความเสี่ยงได้ในชีวิตประจำวัน
“สารพิษไม่เหมือนฝุ่นควัน PM 2.5 ที่เราเปลี่ยนไส้กรองได้ แต่ร่างกายมนุษย์ไม่มีไส้กรองสำรอง หากสะสมมาก ๆ ก็กลายเป็นผลกระทบเรื้อรัง” สุรพงษ์ กล่าว
นอกจากนี้ Thai PBS ยังร่วมมือกับเครือข่ายพัฒนาแพลตฟอร์ม C-Site เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากนักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคประชาชนเข้าด้วยกันในฐานข้อมูลเดียว ทั้งนี้เพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูลและสร้างความโปร่งใสต่อสาธารณะ สุรพงษ์ย้ำว่าปัญหานี้จะไม่จบลงภายในปีสองปี แต่ต้องอาศัยการเฝ้าระวังยาวนานอย่างน้อย 5–10 ปี การที่ชุมชนจะมีเครื่องมือและข้อมูลของตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อไม่ให้ชีวิตของผู้คนต้องขึ้นอยู่กับคำอธิบายที่เปลี่ยนไปมาโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
สาธารณสุขย้ำเลี่ยงน้ำกก แต่ความมั่นใจยังไม่เกิด
ธนิสร ธิติปภาดา หัวหน้ากลุ่มงานอนามัยสิ่งแวดล้อม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ อธิบายว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่แม่อายหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง ทั้งในด้านการบริโภคและอุปโภค โดยส่งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ลงพื้นที่เคาะประตูบ้านและใช้เสียงตามสายประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการตรวจคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านทุกเดือนผ่านกรมอนามัย ซึ่งยืนยันว่าค่าน้ำที่ผ่านการบำบัดยังไม่เกินมาตรฐาน สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้
อย่างไรก็ตาม ธนิสรย้ำว่าความกังวลของชาวบ้านยังคงอยู่ แม้ผลตรวจน้ำประปาจะ “ปลอดภัย” ตามมาตรฐาน แต่คนในพื้นที่ก็รับรู้ว่าปัญหามาจากแม่น้ำกกที่พวกเขาเคยพึ่งพามาตลอด จึงไม่มั่นใจว่าผลิตผลทางเกษตรและสัตว์เลี้ยงที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำจะปลอดภัยจริงหรือไม่
ด้าน นายแพทย์นัฐพนธ์ เอกรักษ์รุ่งเรือง จากสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 (สคร.1) เชียงใหม่ รายงานว่า ได้มีการสุ่มตรวจปัสสาวะประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 11 หมู่บ้าน ทั้งตำบลท่าตอนและแม่นาวาง อำเภอแม่อาย รวมกว่า 440 คน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ ผลการตรวจยังไม่พบค่าการสะสมสารหนูเกินมาตรฐาน แต่เขาเตือนว่าผลเหล่านี้เป็นเพียง “ภาพระยะสั้น” เพราะการสะสมสารพิษ เช่น สารหนูและตะกั่ว ต้องใช้เวลายาวนาน 10–20 ปีจึงจะแสดงอาการโรคเรื้อรังอย่างมะเร็งหรือโรคผิวหนังได้
นัฐพนธ์ยังยอมรับด้วยว่า การตรวจสุขภาพมีข้อจำกัด เช่น ค่าที่พบในปัสสาวะอาจมาจากแหล่งอื่น ไม่จำเป็นต้องมาจากแม่น้ำกกโดยตรง อาจเป็นอาหารทะเลหรือสารเคมีทางเกษตร จึงจำเป็นต้องมีการซักประวัติและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
ด้านศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ เสริมข้อมูลว่า ได้ร่วมกับ อสม. และผู้นำชุมชนทำงานสื่อสารกับประชาชนเรื่องการใช้น้ำอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะการเลี่ยงน้ำกกและใช้น้ำประปาหรือน้ำบาดาลแทน พร้อมทั้งสุ่มตรวจน้ำประปาครัวเรือนซ้ำหลายครั้ง ผลยืนยันว่าไม่พบสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน แต่เจ้าหน้าที่ก็ยอมรับว่าชาวบ้านจำนวนมากยังไม่เชื่อมั่น และยังเรียกร้องให้รัฐตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งคราว
ตรวจชี้สารหนู–ตะกั่วเกินทุกจุด แต่ไทยทำได้เพียงแก้ปลายน้ำ
อาวีระ ภัคมาตร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) อธิบายว่า จากการตรวจตัวอย่างน้ำและตะกอนดินถึง 8 ครั้งตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา พบสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐานแทบทุกจุด โดยเฉพาะแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขง ค่าเฉลี่ยสารหนูอยู่ที่ 0.052–0.055 มก./ล. ขณะที่มาตรฐานกำหนดไม่เกิน 0.01 มก./ล. ส่วนค่าตะกั่วพบสูงถึง 0.094–0.124 มก./ล. เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้เพียง 0.05 มก./ล. สะท้อนชัดถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่มีความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ในการสื่อสารกับประชาชน อาวีระยอมรับว่าเป็นโจทย์ที่ยาก เพราะแม้ผลตรวจจะชี้ชัดว่ามีโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน แต่การอธิบายกลับต้องระมัดระวัง ไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกในวงกว้าง หลายครั้งจึงใช้ถ้อยคำว่า “หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง” มากกว่าการบอกตรงๆ ว่า “ไม่ปลอดภัย” ซึ่งก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยรู้สึกคลางแคลงใจ
ด้านบุญเลิศ สีม่วง จากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 กรมป่าไม้ เสนอข้อมูลว่า หน่วยงานได้อนุญาตให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต.ท่าตอน ขุดบ่อบาดาลในพื้นที่ป่าสงวน เพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรองสำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะใน 9 หมู่บ้านของอำเภอแม่อาย แนวทางนี้ช่วยให้ชุมชนเข้าถึงน้ำสะอาดมากขึ้น แต่บุญเลิศยอมรับว่านี่เป็นเพียงมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า “ปลายน้ำ” เท่านั้น ไม่ได้แตะต้นตอที่อยู่ในฝั่งเมียนมา
อาวีระยังชี้ด้วยว่า ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำกกสูงผิดปกติมาตั้งแต่ปี 2567 และเมื่อมีการตรวจเชิงลึกก็พบความสัมพันธ์ระหว่างความขุ่นกับค่าของสารหนู กล่าวคือเมื่อค่าน้ำขุ่นสูง ค่าสารหนูก็มักจะสูงตามไปด้วย ซึ่งยืนยันว่าการชะล้างหน้าดินและการทำเหมืองในฝั่งเมียนมาเป็นปัจจัยหลัก แต่ในฐานะหน่วยงานไทย สิ่งที่ทำได้คือเก็บข้อมูล เผยแพร่ผลตรวจ และจัดหาน้ำสำรองให้กับประชาชน มากกว่าการเข้าไปจัดการที่ต้นเหตุจริงๆ
ฟื้นความเชื่อมั่นด้วยน้ำสะอาดและการท่องเที่ยว
ดุสิต พงศาพิพัฒน์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดเชียงใหม่ เล่าว่า ปภ.ได้ส่งรถผลิตน้ำดื่มเคลื่อนที่เข้าไปในพื้นที่แม่อายตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 และแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดไปแล้วกว่าห้าหมื่นขวด พร้อมยืนยันว่าจะไม่ถอนรถออกจากพื้นที่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ขณะเดียวกันยังได้สำรวจแหล่งน้ำใต้ดินและน้ำภูเขาในพื้นที่กว่า 140 จุด เพื่อยืนยันว่าประชาชนยังมีน้ำใช้เพียงพอโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งแม่น้ำกกโดยตรง
แม้จะมีมาตรการรองรับด้านน้ำอุปโภคบริโภค แต่ดุสิตยอมรับว่า ความกังวลหลักอยู่ที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะชุมชนที่พึ่งพาการท่องเที่ยวและการค้าริมน้ำ ร้านอาหารและกิจกรรมท่องเที่ยว เช่น รถ ATV หรือแพริมน้ำ ได้รับผลกระทบหนักจากข่าวสารการปนเปื้อน นักท่องเที่ยวลดลงอย่างมากจนบางกิจการต้องปิดตัว
ภัควรรณ แสงสี จากสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวในทำนองเดียวกันว่า การแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วนคือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว ผ่านการจัดกิจกรรมในพื้นที่ เช่น เทศกาลดนตรี การวิ่งเทรล และการปั่นจักรยาน ซึ่งหวังจะดึงนักท่องเที่ยวกลับมาและช่วยกระตุ้นรายได้ท้องถิ่นที่หายไป
ข้อเรียกร้อง 6 ข้อจากชุมชนริมกก ถึงเวลามาตรการแก้ปัญหาจริงจัง
ในช่วงท้ายเวที สายัณห์ ข้ามหนึ่ง ผู้อำนวยการสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ได้ลุกขึ้นเป็นตัวแทนภาคประชาชนยื่นข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานรัฐ เสียงจากชุมชนแม่อายและพื้นที่ลุ่มน้ำกกครั้งนี้ถูกสรุปออกมาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่หวังจะผลักดันให้เกิดมาตรการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
1.จัดหาแหล่งน้ำสะอาดและเพียงพอ ชาวบ้านย้ำว่าปัจจุบันยังมีหมู่บ้านห่างไกลที่เข้าถึงน้ำดื่มยาก การขยายจุดแจกจ่ายน้ำดื่มและการเตรียมแหล่งน้ำสำรองจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่มักประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ
2.เยียวยาผู้ประกอบการท่องเที่ยวและร้านอาหารริมน้ำ กิจการแพริมน้ำ ฟาร์มช้าง และร้านอาหารที่เคยสร้างรายได้สำคัญให้กับชุมชนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากข่าวน้ำปนเปื้อน ชาวบ้านเสนอให้รัฐมีมาตรการเยียวยาและสนับสนุนการฟื้นฟูภาพลักษณ์การท่องเที่ยว
3.สนับสนุนกลุ่มประมงท้องถิ่น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่หายไปทำให้ชาวประมงสูญเสียรายได้จำนวนมาก จึงมีข้อเสนอให้ชดเชยรายได้ จัดหาอาชีพเสริม รวมถึงตรวจสอบคุณภาพปลาและสัตว์น้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดเผยผลต่อสาธารณะ
4.ปกป้องเกษตรกรริมแม่น้ำ เกษตรกรจำนวนมากยังต้องใช้น้ำจากแม่น้ำกกในการเพาะปลูก ชุมชนเสนอให้รัฐตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำอย่างสม่ำเสมอ และจัดมาตรการช่วยเหลือหากพบการปนเปื้อน รวมถึงพัฒนาระบบติดตามสินค้าเกษตรเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค
5.เฝ้าระวังสุขภาพประชาชน กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ ถูกมองว่าเสี่ยงต่อการสะสมสารพิษมากที่สุด ข้อเสนอจึงเรียกร้องให้มีการตรวจสุขภาพต่อเนื่อง และเสริมความเข้มแข็งของระบบบริการสาธารณสุขในพื้นที่
6.สร้างกลไกความร่วมมือที่โปร่งใส ประชาชนเสนอให้ตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดที่มีทั้งภาครัฐ นักวิชาการ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันติดตามสถานการณ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ โดยอาศัยข้อมูลที่เปิดเผยตรงไปตรงมา
สายัณห์กล่าวย้ำต่อที่ประชุมว่า สิ่งที่ชาวบ้านต้องการไม่ใช่คำอธิบายเพียงว่า “น้ำยังดื่มได้” หรือ “ผักยังปลอดภัย” แต่คือการรับประกันด้วยมาตรการที่จับต้องได้จริง เพื่อให้พวกเขามีสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงน้ำสะอาดและสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...