‘ปิดเทอมสร้างสรรค์’ จากห้องเรียนสู่สนามทดลองชีวิต บันทึกใต้ดอยหลวงเชียงดาวจาก Learning Creator Workshop ภาคเหนือ

เรื่อง: ปวิชญา ม่วงแดง

ภาพ: แคนคำ ตาคำ

เมื่อการเรียนในห้องเรียนอาจไม่เพียงพอสำหรับเด็กยุคใหม่ที่ต้องเจอความท้าทายรอบตัวและโลกที่เคลื่อนไปอย่างไม่หยุดยั้ง การเปิดพื้นที่ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ให้เด็กได้ก้าวออกมาเรียนรู้นอกห้องเรียนจึงเป็นอีกทางเลือกสำคัญ

โครงการ ‘ปิดเทอมสร้างสรรค์’ เชื่อว่าการเรียนรู้นั้นเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกที่และตลอดชีวิต จากการเริ่มต้นที่อยากสร้างทางเลือกในการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ในช่วงปิดเทอม ให้ได้ใช้เวลาว่างทำกิจกรรมสนุก ๆ รอบตัว ได้เล่น ได้ลอง และได้สำรวจสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะชอบมาก่อน

การเรียนรู้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้ในสมอง แต่คือการปลดปล่อยศักยภาพ ค้นหาความสนใจ พร้อม ๆ กับพัฒนาทักษะที่สำคัญ แน่นอนว่าต้องสนุกและมีความสุขควบคู่ไปด้วย

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปิดเทอมสร้างสรรค์ทำงานร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค หนึ่งในนั้นคือกิจกรรม Learning Creator Workshop ภาคเหนือ ที่จัดขึ้น ณ Makhampom Art Space อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ อบอวลไปด้วยพลังงานดี ๆ ของดอยหลวงเชียงดาว

หลักสูตรทักษะกระบวนกรเพื่อการออกแบบอย่างมีส่วนร่วมถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของเครือข่าย Learning Creator (LC) ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ

พวกเขามาจากทั้ง 9 จังหวัดภาคเหนือ ขนพลังเยาวชนและครูเครือข่ายมารวมกันอย่างคึกคัก เชียงรายส่ง กลุ่มป่ายางบันดาลใจ ตามด้วยเชียงใหม่ที่มีทั้ง บ้านทานตะวัน และ เสริมแรงเรียน แพร่มากับหลายเครือข่าย ทั้ง พลังโจ๋, เด็กป่าหน้าวัด และ เทศบาลตำบลเด่นชัย ส่วนน่านส่งทั้ง พลังโจ๋ และ เจ้าจ๊างเมืองปอน มาร่วมงาน ภาคเหนือตอนล่างก็ไม่แพ้กัน พิษณุโลกขนทีมมาแน่นทั้ง กล้าแกร่ง, เพื่อนเด็กและเยาวชน, เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน และ สมาคมอาสาสมัครสร้างสุข ลำปางมี Lampang MOVE และครูจากเขตพื้นที่การศึกษา ลำพูนมากับ Young and Space อุตรดิตถ์ส่ง ขนุนฟาร์ม และ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ปิดท้ายด้วยตากที่มี ชุมชนบ้านพะกา และ ลาลาพอ

ผู้เข้าร่วมเวิร์กชอปมีทั้งครูที่ยังคงสอนหนังสือทุกวัน อดีตครูที่ลาออกมาทำงานกับชุมชน อดีตวิศวกรที่หันหลังให้โรงงานมาค้นหาความหมายใหม่ของการเรียนรู้ คนทำงานกับเยาวชนที่คลุกคลีกับเด็ก ๆ มานาน รวมไปถึงคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นเส้นทาง แต่ทุกคนเห็นพ้องกันว่า การเรียนรู้นอกห้องเรียนคือเรื่องสำคัญและท้าทาย

กิจกรรมที่เหล่า LC จากแต่ละจังหวัดจัดขึ้นหลากหลายและสะท้อนบริบทพื้นที่ เช่น ในลำปาง คุณครูเลือกใช้ ‘เกมและกีฬา’ เป็นสื่อกลางเพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้ออกกำลังกายและทำกิจกรรมทางกายร่วมกัน เกิดเป็นบรรยากาศที่สนุกสนานและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในชุมชน

เช้าวันอาทิตย์เปิดฉากกิจกรรมด้วยการสร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ สำหรับการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ค่อย ๆ ปรับโหมดจากบทบาทผู้สร้างกระบวนการ มาเป็นผู้เรียนรู้ (learner) ที่พร้อมเปิดใจและสนุกไปกับการเดินทางตลอดสามวันของการอบรม

กิจกรรมละลายพฤติกรรมเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยที่เป็นกันเอง ทุกคนผลัดกันแชร์ทั้งความท้าทายจากการทำงานในฐานะ LC และความคาดหวังที่อยากจะได้รับจากการมาเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้

ความท้าทายที่ถูกหยิบยกขึ้นมามีทั้งเรื่องการออกแบบกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น การจัดการความหลากหลายของผู้เรียน ทั้งในแง่ช่วงวัยและมุมมองของชุมชุมต่อกิจกรรม ไปจนถึงโจทย์สำคัญอย่างการสอนโดยไม่เฉลยคำตอบล่วงหน้า แต่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเอง

เริ่มต้นด้วยใจ เปิดพื้นที่ให้หัวใจได้เรียนรู้

หลังจากพื้นที่ปลอดภัยค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น วงเรียนรู้ก็ขยับเข้าสู่กิจกรรมที่ชื่อว่า Start With Why การฝึกฟังด้วยหัวใจ ผ่านวิธีการที่เรียนว่า Sensing

ผู้เข้าถูกจับคู่กัน แบ่งออกเป็นสองหมายเลข หมายเลขหนึ่งอยู่ ‘วงใน’ หมายเลขสองอยู่ ‘วงนอก’ ก่อนเริ่มต้นทั้งสองฝ่ายได้หันหน้ามาทำความรู้จักกันสั้น ๆ รอยยิ้มและคำทักทายเป็นสะพานเชื่อม ก่อนจะก้าวเข้าสู่การลองความไว้ใจกันจริง ๆ 

หมายเลขหนึ่งถูกปิดตา เหลือเพียงความมืดและฝากชีวิตไว้กับเพื่อนคู่ตรงหน้า ส่วนหมายเลขสองค่อย ๆ ยื่นมือมาแตะไหล่ กระซิบชื่อเบา ๆ เหมือนเป็นสัญญาณว่า “ไม่ต้องห่วงนะ เรายังอยู่ตรงนี้” แล้วการเดินทางแบบไร้สายตาก็เริ่มขึ้น

บางคู่หยุดอยู่ใต้ต้นไม้ เพื่อนที่ปิดตายื่นมือสัมผัสผิวเปลือกไม้ที่ขรุขระ 

บางคู่เดินไปดมกลิ่นหญ้า กลิ่นดอกไม้ พร้อมทั้งกลิ่นดินหลังฝนปรอย

บางคู่ยืนเฉย ๆ หยุดฟังเสียงนก เสียงลม คลอยมาด้วยเสียงเท้าของเพื่อนที่ก้าวเดินอยู่ข้าง ๆ 

เสียงพูดของ ณดีล-ปิยพงษ์ ชมสวนมั่งมี จากสมาคมอาสาสมัครสร้างสุข จังหวัดพิษณุโลก ดังขึ้นเบา ๆ แต่กลับชัดเจนในใจทุกคน

“การเปิดประสาทสัมผัส ทำให้ได้ยินเสียงทั้งภายในและภายนอก พอเราอยู่กับปัจจุบันก็เกิดความปลอดภัยในใจ กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเจอ ซึ่งสำคัญมากต่อการสร้างความไว้วางใจ… เพื่อนหรือผู้เข้าร่วมของเราจะสามารถเดินต่อไปเองได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องจัดการทุกอย่างให้”

หลังมื้อเที่ยง ความร้อนอบอ้าวทำให้หลายคนเผลอหาว แต่ทีมกระบวนกรก็ชวนทุกคนเข้าสู่โลกของ ‘ก.เกม’ กิจกรรมที่มีแกนกลางอยู่ที่ สาม ส. สนุก, ส่วนร่วม, สร้างสรรค์

เสียงหัวเราะเริ่มดังขึ้นตั้งแต่เกมแรก ‘เกมเรียงลำดับ’ ตามด้วย ‘รู้จักเพื่อน 4 ห้องหัวใจ’ ‘เกมร่างกายสร้างสรรค์’ และ ‘เกม 1 คำถาม ล้านคำตอบ’ แต่ละเกมไม่ได้มีแค่เสียงหัวเราะ แต่พาให้ทุกคนฝึกทักษะหลายอย่างไปพร้อมกัน ทั้งการฟัง การสื่อสาร การสังเกต การจินตนาการ และการทำงานเป็นทีม 

ขณะที่ คิว-ณฐนน จันทะวงค์ จากกลุ่มบ้านทานตะวัน จังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวถึงกิจกรรมช่วงบ่ายวันแรกว่า

 “กิจกรรม ก.เกม ที่เล่นวันนี้ ผมประทับใจที่มันเป็น เกมสะอาด ไม่มีการลงโทษ จริง ๆ ตอนเด็ก ๆ เราไม่ชอบที่มีการลงโทษหรอก แต่ตอนนั้นเราไม่ได้พูดออกมา ต่างจากเด็กสมัยนี้ เขาไม่เหมือนเราเมื่อก่อน เขาไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องให้ความสำคัญ เพราะมันทำให้พื้นที่นี้ปลอดภัยจริง ๆ ”

ช่างเชื่อม-กระบวนการ

แสงอาทิตย์สอดส่องผ่านหน้าต่าง ยินดีต้อนรับสู่เช้าวันที่สอง บรรยากาศเงียบสงบ ผู้เข้าร่วมทุกคนเริ่มต้นกิจกรรมด้วยการนั่งนิ่ง ๆ อยู่กับลมหายใจของตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ แลกเปลี่ยนพูดคุย ผลัดกันนวดให้เพื่อน เสียง ตับตับ ตุบตุบ ตับตับ ตุบตุบ ดังขึ้นเป็นจังหวะเบา ๆ 

หลังเสียง ตับตับ ตุบตุบ เงียบลง ทีมกระบวนกรพาผู้เข้าร่วมสู่กิจกรรม ‘จำไม่ลืม’ วงเล็ก ๆ 4 คน ที่เปิดพื้นที่ให้ LC ได้เล่าถึงประสบการณ์การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ภายใต้กรอบเวลาที่ถูกจำกัด

ในวงสนทนาย่อย แต่ละคนสวมบทบาทแตกต่างกัน A สวมบทบาทเป็นผู้เล่าเรื่อง B ทำหน้าที่เป็นผู้ทบทวนเรื่อง C เป็นคนประเด็น และ D เป็นคนตั้งชื่อเรื่อง 

เสียงของ เอ๊ะ-กันนิกา สมหวัง LC จากจังหวัดอุตรดิตถ์ เอ่ยขึ้นหลังจากการพูดคุยสิ้นสุดลง

 “เราทุกคนไม่ได้สนิทกันมาก่อน แต่เรากล้าที่จะเล่าเรื่องผิดพลาดและเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กันได้ ถ้าย้อนกลับมามองในพื้นที่ของเรา เราสามารถเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็ก ๆ ได้หรือเปล่า สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้คงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราสามารถนำไปปรับใช้ต่อได้”

หลังจากกิจกรรม จำไม่ลืม จบลง เหล่า Learning Creator ได้รับโจทย์ใหม่ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยใช้ ก.กิจกรรม ที่ผสมผสาน เกม เข้ากับ เนื้อหา โดยมีหัวใจสำคัญคือ 3H Head การคิดออกแบบอย่างเป็นระบบ Hand ได้ลงมือทำ Heart เปิดมุมมองและทัศนคติ

เมื่อได้ตกตะกอนนั่งระดมความคิดกันมาแล้ว ก็ถึงเวลาลงสนามทดลองเล่นจริง เสียงหัวเราะ เสียงสนทนา ความสนุก และความตั้งใจ กระจายออกมาเต็มลานกิจกรรม

ม่อนม่อน-คมกริช เรือนเป็ง จากกลุ่มพลังโจ๋ จ.น่าน พูดขึ้นหลังกิจกรรมสิ้นสุดลง “ได้ไอเดียจากการนำของง่าย ๆ มาคิดตามแนวทางที่วิทยากรให้มา สิ่งสำคัญคือเราต้องคิดว่าทำอย่างไรให้วัตถุดิบที่ได้มาคิดเป็นเกมแล้วมีสาระ ประสบการณ์ที่เพื่อนในกลุ่มที่มาแชร์มันเวิร์กมาก”

หลังรับประทานอาหารเที่ยง ทุกคนกลับเข้ากิจกรรมช่วงบ่าย เสียงฝนที่กระหน่ำลงมาข้างนอก ซู่ซ่า ซู่ซ่า ชวนให้ง่วงนอน แต่บรรยากาศในลานกิจกรรมยังคงคึกคัก

“ผลไม้ที่มีสีแดงนึกถึงอะไร?”

 แอปเปิ้ล! ชมพู่! เงาะ! 

“ยี่ห้อบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป นึกถึงยี่ห้ออะไร?” 

มาม่า! ไวไว! ยำยำ! 

“ผงซักฟอกยี่ห้อแรกที่นึกถึง คืออะไร?” 

แฟ้บ! โอโม! บรีส!

อากาศเย็น ๆ เสียงฝนตกหนัก ดังแข่งกับเสียงตะโกนของเหล่า LC ที่พูดถึงสิ่งแรกที่ ปิ๊งแว๊บ เข้ามาในหัวแตกต่างกันออกไป

“น้ำดื่มสิงห์ มีรสชาติหวาน กว่าน้ำยี่ห้ออื่น ๆ ?”

LC แต่ละคนเลือกเดินไปยังฝั่งที่ตนเองเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือไม่แน่ใจ เสียงฝีเท้าและเสียงและเสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นดังขึ้น 

เห็นด้วย! เพราะเคยลองชิม แล้วมันหวานจริง ๆ เราเชื่อประสาทสัมผัสตัวเอง

ไม่เห็นด้วย เนื่องจากทดลองดื่มมาหลายครั้งไม่เกี่ยวที่น้ำแต่เกี่ยวที่สารเคมีใต้ลิ้น

ไม่แน่ใจ เพราะเน้นดื่มแล้วสดชื่น ดื่มน้ำเพื่อดับกระหาย

ความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ตรง สภาพแวดล้อม และอิทธิพลทางสังคมรอบตัว 

กิจกรรม ‘Generation Gap’ ถูกออกแบบมาเพื่อให้แต่ละช่วงวัยได้เข้าใจกันและกันผ่านการพูดคุยและสะท้อนประสบการณ์ที่เติบโตมาแตกต่างกัน

ผู้เข้าร่วมถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 6 คน ที่มีช่วงวัยที่หลากหลาย พวกเขานั่งล้อมวงพูดคุยถึงคนแต่ละ GEN เติบโตผ่านเหตุการณ์สำคัญอะไรมาบ้าง ความคิดความเชื่อที่แต่ละ GEN ยึดถือเป็นยังไงและความถนัดในการเรียนรู้ จากนั้นค่อย ๆ จับปากกาเขียนลงกระดาษ 

ผู้เข้าร่วมต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่กลั่นกรองมา คนในยุค Baby Boomers เติบโตท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนผ่านจากสงครามสู่การฟื้นฟู ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีน้ำประปาและไฟฟ้า พวกเขาให้ความสำคัญกับความมั่นคง ความปลอดภัย คุณค่าและศักดิ์ศรี ในขณะที่ Gen X เติบโตมาในยุคที่เศรษฐกิจเริ่มพัฒนาและสังคมขยายตัว ติดอยู่ในกรอบวาทกรรมที่ต้องใจเรียนให้สูงเพื่อรับราชการ ยึดถือระบบอำนาจและระเบียบแบบแผน คนในยุคนี้ให้ความสำคัญกับสุขภาพ สถานที่และระยะเวลา ต่อมา Gen Y คนรุ่นนี้คือวัยทำงานและวัยสร้างตัว เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัลระยะเริ่มต้น ได้รับอิทธิพลจากกระแสโลกาภิวัตน์ พวกเขาให้ความสำคัญกับสุขภาพ สิทธิและความเป็นมนุษย์ การเงินและการลงทุน คนในยุค Gen Z เติบโตมากับโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดีย สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ สุขภาพจิต ความหลากหลายทางเพศ และสิทธิมนุษยชน สุดท้าย Gen Alpha เกิดและเติบโตมากับ AI เทคโนโลยี และโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หากจะจัดกิจกรรมสิ่งที่ต้องคำนึงคือเทคโนโลยี การมีส่วนร่วมและการลงมือทำ 

การเติบโตในสภาพสังคมที่ต่างกัน เจอประสบการ์ที่ต่างกัน ย่อมส่งผลทำให้มุมมอง ความคิด ความเชื่อ และรูปแบบการเรียนรู้ต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา กระบวนกรค่อย ๆ พาผู้เข้าร่วมเข้าใจ ก.กระบวนการ ผ่านการเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอนเพื่อสร้างการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเริ่มต้นจากความคิดปิ๊งแว๊บ สู่ Generation Gap การเรียงร้อยกิจกรรมแบบนี้สำคัญต่อ Facilitator เพราะจะทำให้ออกแบบกิจกรรมได้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เข้าร่วมก่อนออกแบบกิจกรรม เชื่อมโยงช่องว่างของแต่ละช่วงวัย ทำให้ทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้

บทสนทนาเหล่านี้นำไปสู่การเข้าใจ ก.กระบวนการ อย่างเป็นขั้นตอน และชี้ให้เห็นว่าการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม ต้องเริ่มจากการรู้จักผู้เรียนก่อน

Reflect จากประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจใหม่

เช้าวันสุดท้าย แต่บนลานกิจกรรมยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มของทุกคน ดอยหลวงเชียงดาวยังคงส่งพลัง ทีมมะขามป้อมค่อย ๆ พาทุกคนเข้าสู่ช่วง Reflection สะท้อนสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ตลอด 2 วัน ผ่าน 3R ‘Review’ คือการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ‘Recap’ คือการสรุปและช่วยยืนยันอีกครั้ง ‘Reflection’ คือการสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้ 

“เวลาที่เราได้ลงมือทำกิจกรรมด้วยตัวเอง สิ่งที่เราได้มาคือประสบการณ์ แต่ประสบการณ์จะกลายเป็นการเรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราได้นั่งคิด ทบสวน และสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้”

อาสาสมัครนักฮีลใจ, ห้องเรียนชุมชนบนจานอาหาร, การค้นหาสมุนไพรชนิดหัว, ตะลอนตะหลอด, ปลูกต้นไม้สร้างพื้นที่สีเขียว, สถานีเรียนรู้น้ำผึ้งน้ำริด, นักสำรวจตัวน้อย, ฉันคือใคร, 053 little creator ส่องแสง, ลบคมสังคม, สถานะของสสาร 

กิจกรรมเหล่านี้คือชื่อหน่วยการเรียนรู้ที่ LC ภาคเหนือได้ลองออกแบบขึ้น เป็นผลผลิตจากการสะสมประสบการณ์ตลอด 2 วัน ที่ได้รับจากมะขามป้อม ผ่านกิจกรรมสุดท้าย Active Learning Unit Design ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ไปปรับใช้ในพื้นที่ของตนเอง โดยโฟกัสของกิจกรรมแบ่งเป็น 5% Introduction นำเข้า (จุดประกายความคิด) 10% Stimulation กระตุ้นความสนใจ (เชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับเรื่องใหม่) 50% Learing ecpreince สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ (ลงมือทำ) 30% Conclusion สรุปผลการเรียนรู้ 5% Apply ทำอย่างไรให้การเรียนรู้ไม่จบในห้องเรียน ให้เอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

สิ่งที่เหล่า LC ได้ติดตัวกลับบ้านไปไม่ได้มีแค่ความทรงจำ แต่รวมไปถึงไอเดียใหม่ ๆ ในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ทักษะการเป็นกระบวนกร พลังใจที่เกิดจากการได้พบเจอผู้คนที่มี passion เดียวกัน และที่สำคัญ การเรียนรู้แบบมีหัวใจ ที่ให้ความสำคัญกับความสนุก ความสร้างสรรค์ และการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ผ่านการได้ลงมือทำ สัมผัสประสบการณ์ด้วยตนเอง ทำให้การเรียนรู้นั้นมีความหมายและเชื่อมโยงกับตัวผู้เรียนอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้จะถูก LC นำกลับไปถ่ายทอด ต่อยอดและพัฒนา ปรับใช้กับกิจกรรมในพื้นที่ของตนเอง เยาวชนในชุมชนจะได้มีพื้นที่เรียนรู้ที่ดี มีพื้นที่การเล่นที่สร้างสรรค์ ผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์และสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน 

ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Lanner และโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์

ปวิชญา ม่วงแดง

ชื่อเล่นว่าเนย เลี้ยงหมาชื่อโชคดี กำลังฝึกเล่าเรื่อง พบเจอได้ตามคอร์ดแบด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง