ค้านโครงการม่านน้ำดักตะกอน แม่น้ำกก–สาย จากฝาย 8,600 ล้านสู่ม่านน้ำ 173 ล้าน ข้อถกเถียงสิ่งแวดล้อมและการเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย

Date:

28 สิงหาคม 2568 เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกกสายรวกโขง พร้อมด้วยองค์กรประชาชน 19 แห่ง ได้ออกแถลงการณ์และยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ขอให้ระงับโครงการก่อสร้าง ‘ม่านน้ำดักตะกอน’ ในลำน้ำกกและแม่น้ำสาย มูลค่า 173 ล้านบาท โดยระบุว่าโครงการดังกล่าวยังขาดการศึกษาเชิงวิชาการและการปรึกษาหารือกับชุมชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน

การคัดค้านครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ลุ่มน้ำกกและน้ำสายกำลังเผชิญวิกฤตสารหนูและโลหะหนักปนเปื้อนในตะกอนและน้ำ ซึ่งส่งผลต่อวิถีชีวิตชาวบ้าน การเกษตร และความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อม–การท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

จากฝายดักตะกอน 10 แห่ง มูลค่า 8,616 ล้านบาท ม่านน้ำดักตะกอน 4 แห่ง 173 ล้านบาท

หากย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 กรมทรัพยากรน้ำเคยเสนอแผนการใหญ่ คือการสร้าง ฝายดักตะกอนและประตูน้ำ 10 แห่ง ในลำน้ำกก ใช้งบประมาณมหาศาลกว่า 8,616 ล้านบาท พร้อมงบประมาณบำรุงรักษาปีละ 295 ล้านบาท แต่โครงการดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักวิชาการและภาคประชาชนว่า ไร้การศึกษาเชิงระบบรองรับ

ไม่มีข้อมูลใดที่ชี้ชัดว่าฝายดักตะกอนเหล่านั้นสามารถกักเก็บและกำจัดสารโลหะหนัก เช่น สารหนู แคดเมียม หรือแมงกานีสได้จริง ไม่มีการวิเคราะห์ว่าผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนและป่าสงวนจะเป็นเช่นไร และที่สำคัญ ไม่มีการเปิดเวทีปรึกษาหารือกับชุมชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เพียงหนึ่งเดือนต่อมา ในเดือนกรกฎาคม กรมทรัพยากรน้ำได้ปรับโครงการใหม่ในชื่อ ‘ม่านน้ำดักตะกอน’ ลดจำนวนเหลือเพียง 4 แห่ง งบประมาณ 173 ล้านบาท โดยวางแผนสร้างที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ 3 แห่ง และรอยต่อ อ.แม่อาย–อ.เมืองเชียงราย 1 แห่ง และจะเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เดือนกันยายน เพื่อเริ่มก่อสร้างภายในเดือนธันวาคม 2568

การปรับโครงการครั้งนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียง “การรีแบรนด์” โครงการเดิม ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่รอบด้าน เพราะยังคงขาดการศึกษาและการมีส่วนร่วมเช่นเดิม

รายละเอียดโครงการม่านน้ำดักตะกอน

ตามแบบโครงการที่เผยแพร่ ม่านน้ำดักตะกอนแต่ละแห่งจะประกอบด้วย

1.ฝายกว้าง 80 เมตร ยาว 200 เมตร จำนวน 2 ชั้น เพื่อชะลอน้ำ

2.ม่านดักตะกอน 3 ชุด สำหรับกักเก็บตะกอนที่ปนเปื้อน

3.บ่อตกตะกอนและลานตากตะกอน ขนาดเฉลี่ย 220×100 เมตร สำหรับเก็บและทำให้ตะกอนแห้งก่อนนำไปกำจัด

พื้นที่รวมแต่ละแห่งเฉลี่ย 13.75 ไร่ ซึ่งกินพื้นที่ทั้งที่ทำกินของชาวบ้านและป่าสงวนริมลำน้ำกกโดยตรง

แต่สิ่งที่ยังไม่มีคำตอบคือ ตะกอนที่เก็บมาได้จะถูกกำจัดอย่างไร จะมีระบบป้องกันการฟุ้งกระจายและการปนเปื้อนสู่พื้นที่เกษตรรอบข้างหรือไม่ และต้นทุนจริงต่อการกำจัดตะกอนหนึ่งตันคือเท่าใด

ข้อท้วงติงในแถลงการณ์ภาคประชาชน

เครือข่ายประชาชนและองค์กรร่วมลงชื่อ 19 แห่ง ระบุเหตุผลหลักในการคัดค้านโครงการดังนี้

  1. ไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม – ทั้งผลกระทบปัจจุบันและผลสะสมในอนาคต รวมถึงไม่มีการรับฟังความคิดเห็นชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
  2. งบประมาณไม่สะท้อนต้นทุนจริง – ตัวเลข 173 ล้านบาทยังไม่รวมค่าเวนคืน ค่าชดเชย ค่าขนส่งและกำจัดตะกอน รวมถึงค่าก่อสร้างถนน สะพาน และโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม
  3. ขาดความชัดเจนด้านประสิทธิภาพ – ไม่สามารถระบุได้ว่าม่านน้ำดักตะกอนจะลดการปนเปื้อนสารโลหะหนักได้สัดส่วนเท่าใด และมีสารชนิดใดที่ไม่สามารถกักได้
  4. เสี่ยงกระทบต่อชุมชนและการเกษตร – การสร้างฝายจะทำให้น้ำไหลช้าลง เกิดการตกตะกอนเพิ่มขึ้นในพื้นที่น้ำท่วมถึง อาจนำไปสู่การสะสมสารพิษในดินและผลผลิตการเกษตร

เครือข่ายฯ ยังย้ำอีกว่าด้วยเหตุผลที่ความไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการปนเปื้อนสารโลหะหนัก จึงขอให้นายกรัฐมนตรีโปรดพิจารณาระงับโครงการม่านน้ำดักตะกอนของกรมทรัพยากรน้ำ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ โดยปราศจากการศึกษาเชิงวิชาการหรือหลักประกันใดๆ ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน และขอให้การดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาทุกประการจำเป็นต้องมีการปรึกษาหารือกับภาคประชาชนอย่างรอบด้าน และดำเนินการตามกฎหมายอย่างมีระบบ บนฐานวิชาการที่ถูกต้อง เพื่อมิให้เกิดผลกระทบซ้ำซ้อนจากวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่รอบคอบ

คำถามที่ยังไร้คำตอบ

รายงานของ The Mekong Butterfly ได้ย้ำถึงข้อกังวลที่ยังไม่มีการชี้แจงอย่างโปร่งใส เช่น

1.พื้นที่ทำกินและป่าสงวนที่จะถูกใช้ก่อสร้างจะได้รับการจัดการอย่างไร

2.การควบคุมการฟุ้งกระจายของตะกอนจากการตากและขนย้ายมีมาตรการอย่างไร

3.รูปแบบการไหลของน้ำกกจะเปลี่ยนไปเช่นไรหลังสร้างฝาย และจะเพิ่มความเสี่ยงการตกตะกอนสารพิษในพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้นหรือไม่

4.ระบบนิเวศในแม่น้ำกกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร โดยเฉพาะต่อพันธุ์ปลาและความหลากหลายทางชีวภาพ

Mekong Butterfly ยังย้ำว่า การแก้ปัญหาสารหนูและโลหะหนัก ต้องทำอย่างรอบด้านและปรึกษาชุมชนให้ทั่วถึง ไม่ใช่ใช้โครงการเร่งรัดที่อาจกลายเป็นการซ้ำเติมปัญหา

โครงการม่านน้ำดักตะกอนจึงเป็นมากกว่ามาตรการแก้ปัญหามลพิษในแม่น้ำ หากแต่เป็น เวทีทดสอบความจริงใจของรัฐบาลไทย ต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของประชาชน

หากรัฐบาลยังคงเลือกเดินหน้าโครงการ โดยไม่ศึกษาและไม่เปิดรับฟังเสียงชุมชน ก็เท่ากับย้ำซ้ำปัญหาเชิงโครงสร้างเดิมของการใช้งบประมาณและการรวมศูนย์อำนาจ แต่หากรัฐบาลเลือกชะลอโครงการเพื่อศึกษาอย่างรอบด้านและเปิดเวทีสาธารณะ ก็อาจเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น และสร้างกระบวนการแก้ปัญหาที่แท้จริงและยั่งยืนให้กับลุ่มน้ำกก–สาย

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

10 ปีไม่เป็นผล ‘กลุ่มรักษ์บ้านแหง’ ต้องสู้ต่อ หลังศาลปกครองสูงสุด ‘ยกย้อน’ คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น กรณีชาวบ้าน 386 คน ยื่นฟ้องเพิกถอนประทานบัตรเหมืองแร่ลิกไนต์

27 พฤศจิกายน 2568 ศาลปกครองเชียงใหม่ อ่านผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีชาวบ้านในพื้นที่ตำบลบ้านแหง อำเภองาว จังหวัดลำปาง หรือ...

ภาพไวรัลรถไฟบรรทุกรถกู้ภัยจากเชียงใหม่ไปหาดใหญ่ ถูกสร้างด้วย AI ย้อนรอยต้นฉบับจากคลิปปี 64

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เวลา 19.30 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ พระราม เดินดง...

ล้านนาเนี่ยน: พี่เป้ ไรเดอร์

“เราขับแกร็บ เราอยู่บนถนน เราเลี่ยงไม่ได้ จะเลี่ยงก็ต้องเลือกรับงานไม่ไปทางที่รถติด เพราะค่ารอบระบบก็ไม่ได้เพิ่มให้เรา ตอนนี้ค่ารอบเริ่มต้นที่ 19 บาท” “มันทำให้เราเสียเวลากับค่ารอบที่มันถูก จากปกติถ้ารถไม่ติด...

สิทธิวิจารณ์ท้องถิ่นอยู่ตรงไหน? เมื่ออบต.ศรีถ้อย แจ้งหมิ่นฯ ชาวบ้านพญากองดี หลังโพสต์ถนนพัง–ถูกเรียกค่าน้ำมัน 20,000 บาท

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า มีกรณีชาวบ้านหมู่ 6 ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย...