เรื่อง: ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย
หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การเมืองไทยถูกกำกับให้หันหลังเข้าสู่วาระการเลือกนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง รวมแล้วเป็นการเลือกนายกครั้งที่ 3 หลังการเลือกตั้ง สส. เมื่อปี 2566
กระทั่ง เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรมีมติ 311 ต่อ 152 เลือก อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีข้อผูกมัดที่จะต้องเร่งทำการยุบสภาใน 4 เดือน ตามคำมั่นที่ให้ไว้กับพรรคประชาชน
แม้จะเป็นเพียงรัฐบาลชั่วคราว (ตามคำมั่นของพรรคภูมิใจไทย) แต่หากย้อนพิจารณาการเติบโตของพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา และมองลงไปยังสมาชิกพรรค สส.ของพรรค ผู้นำโดยตำแหน่ง จวบจนผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรค เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า พรรคสีน้ำเงินนั้นพึ่งพานักการเมืองท้องถิ่นหรือบ้านใหญ่เป็นฐานในการเข้าสู่อำนาจ
นักการเมืองท้องถิ่นและบ้านใหญ่ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นไปอีก เมื่อปรากฏชัดแล้วว่า พรรคภูมิใจไทยจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกับพรรคกล้าธรรม ของ ธรรมนัส พรหมเผ่า บ้านใหญ่จากภาคเหนือ การจับมือระหว่างบ้านใหญ่ในครั้งนี้นำไปสู่คำถามหนึ่งที่น่าสนใจ
นั่นคือ อนาคตของท้องถิ่นไทยจะเป็นเช่นไรในวันที่บ้านใหญ่เป็นใหญ่?
ความถดถ่อยของพรรคการเมือง
แม้พรรคภูมิใจไทยและพรรคกล้าธรรม จะโฆษณาตนในนามพรรคการเมือง แต่ เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า แกนกลางของพรรคไม่ใช่อุดมการณ์ใดๆ กลับเป็น ตัวผู้นำของพรรคเองต่างหากที่เป็นแกนกลาง
โดยเฉพาะ พรรคกล้าธรรม ที่แม้จะให้ อาจารย์แหม่ม – นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ที่บทบาทในพรรคจนอาจเรียกได้ว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคกล้าธรรมคือ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า
ร้อยเอกธรรมนัส ฉายา “ผู้กอง” เป็นนักการเมืองผู้แสดงตนชัดเจนแล้วว่า สำหรับตัวเขาและบรรดาผู้ติดตาม พรรคการเมืองมิได้มีความสำคัญใดๆ โดยตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่าน เราจะพบพฤติกรรมการชักเข้าชักออกของตัวผู้กองและบรรดาผู้ติดตาม ที่ย้ายพรรคมาแล้วมากกว่า 3 ครั้ง ทั้งย้ายออกไปตั้งพรรคใหม่ ย้ายกลับพรรคเดิม และออกไปตั้งพรรคใหม่อีกรอบ
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เคยให้ทัศนะว่า “ผู้กองธรรมนัสกำลังทำให้ความเป็นพรรคการเมืองหมดความหมาย” อันหมายถึงการที่พรรคไม่ได้สำคัญเท่าตัวบุคคล พรรคเป็นเพียงบ้านเช่าที่นักการเมืองเหล่านี้จะอาศัยอยู่แบบ “ชั่วคราว” เท่านั้น บ้านเช่าไม่อาจเป็นตัวแทนของผู้เช่าชั่วคราวได้
นั่นจึงนำไปสู่ปรากฏการณ์งูเห่าและ สส. ฝากเลี้ยงที่ปรากฏบนหน้าข่าวการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผู้กองก้าวเข้ามามีบทนำทางการเมือง
การเมืองชุมนุม
พรรคภูมิใจไทยเองก็มีลักษณะคล้ายกัน เพียงแต่ไม่ใช่การชักเข้าชักออกของตัวบุคคล แต่เป็นการ “ชักเข้า–ชักออก” ในระดับพรรคการเมืองทั้งพรรค
แกนกลางที่ขับเคลื่อนภูมิใจไทยไม่ใช่อุดมการณ์ หากคือเครือข่ายบ้านใหญ่ โดยมี เนวิน ชิดชอบ แห่งบุรีรัมย์ ทำหน้าที่เป็นโค้ชและผู้นำทางจิตวิญญาณ พรรคสีน้ำเงินไม่เคยปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเป็น “พรรคเจ้าพ่อ” ตรงกันข้าม กลับใช้กลไกนี้เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ
หากเปรียบเทียบ เราอาจจินตนาการภูมิใจไทยเสมือน “การเมืองชุมนุม” ที่เจ้าพ่อท้องถิ่นหรือบ้านใหญ่จากจังหวัดต่าง ๆ เข้ามาสวามิภักดิ์กับชุมนุมใหญ่ที่มีทุนและอำนาจมากกว่า ภายใต้ร่มเงาของพรรคสีน้ำเงิน การต่อรองผลประโยชน์จึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ถูกถักทอขึ้นมาก็คือ “ผลประโยชน์เชิงเครือข่าย” ที่โยงใยนักการเมืองระดับชาติ–ท้องถิ่นเข้าด้วยกัน
ดังนั้นพลังของภูมิใจไทยจึงขึ้นกับความสามารถในการ “ขยายเครือข่าย” ให้กว้างและลึกที่สุด เครือข่ายนี้จึงไม่หยุดอยู่แค่ฐานเสียงในจังหวัด แต่แผ่ไปถึง ส.ว. องค์กรอิสระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงมหาดไทย ที่กลายเป็นเป้าหมายหลักของพรรค

จักรกลการเมือง (ท้องถิ่น)
การยึดกุม กระทรวงมหาดไทย ของพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้เป็นเพียงการขยายเครือข่ายผลประโยชน์เท่านั้น แต่ยังทำให้พรรคสามารถควบคุมระบบราชการที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุดอีกด้วย
แม้กระทรวงมหาดไทยจะเป็นสถาบันหลักที่ทำให้โครงสร้างรัฐรวมศูนย์ดำรงอยู่ แต่นักการเมืองท้องถิ่นและ “บ้านใหญ่” กลับเชี่ยวชาญการเล่นการเมืองในกติกาเช่นนี้เป็นอย่างดี กล่าวได้ว่า ระบบรวมศูนย์เองนี่แหละที่สร้างนักการเมืองท้องถิ่นและบ้านใหญ่ให้เติบโตขึ้นมา
งานศึกษาหลายชิ้น เช่น บทบาททางการเมืองของเจ้าพ่อในกระแสโลกาภิวัตน์ และ กลุ่มทุนการเมืองล้านนา ต่างชี้ว่า นักการเมืองท้องถิ่น/บ้านใหญ่ในแต่ละจังหวัดใช้การเลือกตั้งเป็นสะพานเข้าสู่อำนาจของรัฐรวมศูนย์ พวกเขาเข้าใจกติกาและพร้อมเล่นเกมนี้อย่างเต็มที่ ความเชี่ยวชาญนี้ทำให้พวกเขาได้เปรียบกว่านักการเมืองหรือพรรคที่ไม่คุ้นเคย หรือแม้กระทั่งต่อต้านกติกาของระบบนี้

การผลักดันเช่นนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของพรรคที่จะยึดกุมกลไกราชการมหาดไทย และทำให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเสนอให้รื้อฟื้นตำแหน่งกำนัน/ผู้ใหญ่บ้านแม้ในเขตเทศบาลเมือง การปลดล็อกวาระนายกท้องถิ่น (อบจ. เทศบาล อบต.) ให้ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องได้โดยไม่จำกัดจำนวนสมัย
สำหรับพรรคภูมิใจไทยและบ้านใหญ่ทั้งหลาย การรักษาและฟื้นคืนกลไกของกระทรวงมหาดไทยจึงเป็นเหมือนเครื่องจักรทางการเมืองที่ช่วยตอกย้ำฐานเสียงในท้องถิ่น เชื่อมโยงเครือข่ายผลประโยชน์ลงไปทุกระดับของรัฐรวมศูนย์ และเสริมความแข็งแรงในการควบคุมการเมืองไทยจากส่วนกลาง
ท้องถิ่นเชิงเดี่ยว
ถึงแม้พรรคภูมิใจไทยจะเสนอให้ฟื้นฟูกลไกของรัฐรวมศูนย์ ซึ่งเสมือนจะขัดแย้งกับแนวคิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น แต่ในทางกลับกันบรรดา สส. ของพรรคที่มาจากบ้านใหญ่แต่ละจังหวัด กลับป่าวประกาศเสมอว่า “ตนทำเพื่อบ้านและจังหวัดของตนเอง” ซึ่งดูเป็นความย้อนแย้งในตัวมันเอง
อย่างไรก็ดี หากพินิจดูดี ๆ แล้ว บรรดา สส. จากบ้านใหญ่แต่ละจังหวัดในพรรคภูมิไทย แท้จริงพวกเขากำลังเสนอการเป็น “ตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของคนทั้งจังหวัด” มากกว่ามุ่งเสนอให้คนในจังหวัดมีอำนาจของตนเอง
กล่าวคือ เป็นการผูกขาดอำนาจการพูดของคนทั้งหมดในจังหวัด ให้เป็นอำนาจของคนๆ เดียวหรือตระกูลเพียงตระกูลเดียว อาทิ ชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ สส.อุทัยธานี ที่มัก “พูดแทน” คนอุทัยเสมอมา นอกจากนี้ยังผลิตสร้าง “ภาพคนอุทัย” ตามที่ตนเห็นในจินตนาการต่อหน้าสื่อตลอดเวลา
การนำเสนอตนเช่นนี้ เป็นการผูกโยงผลประโยชน์ของตนให้ดูเหมือนเป็นผลประโยชน์ของคนทั้งหมดในท้องถิ่น และผลักให้การกระจายอำนาจเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูด
ฉะนั้น ท้องถิ่นในทัศนะของพวกเขาจึงมีลักษณะ “เชิงเดี่ยว” ที่ตัดขาดผลประโยชน์ของจังหวัดตนออกจากผลประโยชน์ของจังหวัดอื่นๆ ทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน เมื่อพวกเขาเข้าสู่อำนาจการดำเนินนโยบายหรือโครงการต่างๆ ก็ดำเนินไปเพื่อสร้าง “บุญคุณเชิงนโยบายในท้องถิ่น” ที่จะกลายมาเป็นความชอบธรรม ในการเป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของท้องถิ่นของพวกเขา
ผูกขาด – เศรษฐกิจ – ท้องถิ่น
นอกจากการกลายเป็น “ท้องถิ่นเชิงเดี่ยว” แล้ว หากประกอบภาพนักการเมืองท้องถิ่นจากบ้านใหญ่แต่ละจังหวัดในพรรคภูมิใจไทยและผู้กอง เข้ากับโครงสร้างและบริบทเศรษฐกิจการเมืองระดับประเทศ จะเห็นชัดถึงการผนวกทุนท้องถิ่นเข้ากับทุนผูกขาดระดับชาติ
เบื้องหลังนักการเมืองท้องถิ่นและบ้านใหญ่เหล่านี้ ล้วนต้องได้รับการสนับสนุนทางเศรษฐกิจทั้งจากทุนในพื้นที่และทุนระดับชาติ การเติบโตของพวกเขาไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ หากแต่เชื่อมโยงอยู่กับเครือข่ายทุนที่ใหญ่กว่าเสมอ
ในพรรคภูมิใจไทย เราพบความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างทุนกับนักการเมืองตั้งแต่ระดับหัวหน้า อย่างอนุทิน ชาญวีรกูล ที่สืบทอดธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอันผูกพันกับหน่วยงานรัฐ ขณะเดียวกัน “ครูใหญ่เนวิน” ก็มีสายสัมพันธ์กับทุนเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สนับสนุนทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด
ในขณะที่บรรดา สส. ของพรรคต่างก็เป็นนายทุนและชนชั้นนำทางเศรษฐกิจประจำท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นตระกูลภัทรประสิทธิ์จากพิจิตร ตระกูลไทยเศรษฐจากอุทัยธานี หรือแม้แต่สมาชิกใหม่อย่างไม่เป็นทางการอย่างตระกูลพร้อมพัฒน์จากเพชรบูรณ์ พรรคภูมิใจไทยจึงอุดมไปด้วยเครือข่ายทุนหลากหลายระดับ ที่ต่างผูกโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเข้ากับผลประโยชน์เชิงเครือข่ายของพรรค
เมื่อพรรคสีน้ำเงินก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในวาระพิเศษเช่นนี้ ก็ได้จับมือร่วมเป็นพันธมิตรกับพรรคผู้กอง ซึ่งก็เต็มไปด้วยทุนท้องถิ่น (และทุนรูปแบบอื่น ๆ) ไม่ต่างกัน นั่นจึงนำไปสู่การหลอมรวมของทุนท้องถิ่นทั้งหลายที่ไหลเข้าสู่ศูนย์กลาง และผูกโยงเข้ากับทุนระดับชาติจนกลายเป็นเครือข่ายผลประโยชน์ที่แนบแน่น
ฉะนั้น นอกจากความถดถอยของพรรคการเมือง การยึดกุมกลไกท้องถิ่น และการทำให้ท้องถิ่นแตกกระจัดกระจายแล้ว การพัฒนาเศรษฐกิจยังกลายเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่ ภายใต้การจับมือกันระหว่าง “นายกหนู” กับ “ผู้กอง” และนั่นคือโจทย์ใหญ่ที่ท้องถิ่นไทยต้องเผชิญ อนาคตของท้องถิ่นไทยในวันที่บ้านใหญ่เป็นใหญ่ จะเป็นเพียงการผูกขาดอำนาจเชิงเดี่ยว หรือจะยังมีพื้นที่ให้การกระจายอำนาจของประชาชนเติบโตได้จริง?
รายการอ้างอิง
- Lanner. (19 กุมภาพันธ์ 2568). ก่อสร้าง-การเมือง: ท้องถิ่นที่ซับซ้อน บนพื้นที่ที่ซ้อนทับ ในการเมืองอุทัยธานี. Lanner. https://www.lannernews.com/19022568-01/
- ชัยพงษ์ สำเนียง. (2567). กลุ่มทุนการเมืองล้านนา : การเปลี่ยนทุนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมให้เป็นทุนการเมือง. สำนักพิมพ์แสงดาว
- ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคณะ. (2549). การต่อสู้ของทุนไทย 1 การปรับตัวและพลวัต. สำนักพิมพ์มติชน
- ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคณะ. (2549). การต่อสู้ของทุนไทย 2 การเมือง วัฒนธรรมและการอยู่รอด. สำนักพิมพ์มติชน
- ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย. (6 พฤศจิกายน 2567). ถอดรหัสชนะของเพื่อไทยในการเลือกตั้งซ่อมพิษณุโลก และการกลับมาของ (การเมือง) บ้านใหญ่. Lanner. https://www.lannernews.com/16092567-01/

ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย
เกิดและโตในภาคเหนือตอนล่าง เรียนตรีจิตวิทยา กำลังเรียนโทสังคมศาสตร์ สนใจอ่านสังคมจากการมองประเด็นเล็ก ๆ