‘ลำไยลำพูน (ลำ) พัง’ เมื่อ ‘เมืองลำไย’ สั่นคลอนจากราคาตก–นโยบายไม่ถึง

Highlight ราคาลำไยปี 2568 ต่ำสุดรอบเกือบ 11 ปี ผลผลิตพุ่ง ราคาไม่ไปไหน เกษตรกรถูกล็อกด้วยต้นทุน–แรงงาน–พ่อค้าคนกลาง ขณะที่ระบบตลาดพึ่งจีนหนัก ‘เมืองลำไย’ จึงต้องการมากกว่าแคมเปญ ศูนย์ลำไย วิจัย–มาตรฐาน–แปรรูป–เปิดตลาดใหม่ และระบบข้อมูลกลาง

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

ครั้งหนึ่ง ‘ลำไย’ คือภาพจำของความอุดมสมบูรณ์ภาคเหนือ และทำให้จังหวัดเล็ก ๆ อย่าง ‘ลำพูน’ ถูกเรียกว่า ‘เมืองลำไย’ ทว่าวันนี้ภาพนั้นเริ่มพร่าเลือน ราคาเหวี่ยงลงต่อเนื่อง สวนจำนวนมากโค่นต้น ปล่อยร้าง หรือย้ายไปปลูกชนิดอื่น ขณะที่เกษตรกรจำนวนไม่น้อยยังต้องฝากชะตากับพ่อค้าคนกลาง

ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ปี 2568 ราคาลำไยต่ำสุดในรอบเกือบ 11 ปี ราคาลำไยสดเดือนกรกฎาคมเหลือราวกิโลกรัมละ 14 บาท และทั้งปีคาดเฉลี่ยเพียง 18 บาท ลดลงราว 35.8% จากปีก่อน ขณะที่ผลผลิตรวมประเทศกลับเพิ่มขึ้นถึง 19% โดยเฉพาะภาคเหนือ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย พะเยา จากทั้งสภาพอากาศเอื้อ การใช้สารกระตุ้นดอก และการบำรุงต้น ทำให้ผลผลิตต่อไร่ขยายตัว 17.2% ภายใต้แรงจูงใจจากราคาที่เคยดีในสองปีก่อน (เฉลี่ย 28.3 บาท/กก.)

เมื่อผลผลิตพุ่งสวนทางราคา ระบบทั้งห่วงโซ่จึงกระทบถ้วนหน้า กว่า 2.1 แสนครัวเรือน ขณะเดียวกันยังฉุดให้การส่งออกชะลอตัว มูลค่าการส่งออกลำไยสดที่เคยโต 20.5% ในปีก่อนหน้า ลดลงเหลือเพียง 4.7% เท่านั้น

ชีวิตชาวสวนลำไย กับการดิ้นหาทางรอดใหม่ใต้อำนาจพ่อค้าคนกลาง

“สถานการณ์ลำไยลำพูนตอนนี้ค่อนข้างแย่ ในฤดูก็หนักอยู่แล้ว แต่นอกฤดูยิ่งหนักกว่า เพราะจีนไม่รับซื้อเยอะเหมือนเมื่อก่อน ปีนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะวันไหว้ วันสารท และวันตรุษมาใกล้กัน ชาวจีนก็เลยเลือกซื้อของไหว้กันแค่รอบเดียว ไม่ได้ซื้อหลายรอบเหมือนปีก่อน ผลไม้เราก็เลยล้น”

เสียงสะท้อนจาก ณัฏฐิกา สุรินทร์คำ ประธาน Young Smart Farmer และเจ้าของสวนใจ๋ยอง อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน คือภาพแทนความจริงของเกษตรกรสวนลำไยที่พยายามฝ่าคลื่นความผันผวนของตลาด เธอยอมรับว่า ปีนี้เป็นปีที่ราคาลำไยตกต่ำที่สุดทั้งในและนอกฤดู และเกษตรกรส่วนใหญ่แทบไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากรอราคาที่ถูกกำหนดมาจากภายนอก

ณัฏฐิกาย้อนเล่าถึงอดีตที่แตกต่างกันว่า ช่วงก่อนโควิด ลำไยเคยขายได้กิโลกรัมละ 27–31 บาท รายได้ต่อฤดูสูงถึงหลักแสนบาท แต่วันนี้ราคากลับร่วงลงเหลือเพียงกิโลกรัมละ 8 บาท ทั้งที่ต้นทุนจริงเฉลี่ยอยู่ที่ 11–18 บาทต่อกิโลกรัม 

“อย่างปีที่พีคสุด เคยขายลำไยร่วงได้ 27 บาท/กิโล ส่วนแบบมัดปุ๊ก (พวง) ขายได้ถึง 31 บาท หลังจากนั้นราคาก็ตกลงเรื่อยๆ แถมพ่อค้าคนกลางก็กดราคาลงเรื่อยๆ จากที่เราเคยขายเองได้หลักแสน แต่พอพ่อค้ามาเหมารายได้เหลือแค่สอง–สามหมื่นบาท”

เพราะเหตุนี้ เธอจึงตัดสินใจ เลิกขายเหมา แล้วหันมาเก็บขายเอง พร้อมปรับระบบการปลูกเป็นกึ่งอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค 

“ถ้าเราไม่เริ่มปรับตัว ไม่เปลี่ยนอะไรเลย เราตายแน่ๆ เพราะราคาลำไยมันลดลงทุกปี ปัญหาคือพ่อค้าคนกลางที่ตัดทอดกำไรกันหลายทอด กว่าของจะมาถึงสวนเรา บางทีเขาเป็นคนที่ 5 แล้วก็ได้”

แต่สำหรับเกษตรกรส่วนใหญ่ การขายเหมายังเป็นทางเลือกจำยอม เพราะลำไยออกพร้อมกันหมด หาแรงงานยาก ค่าแรงก็สูงถึงวันละ 1,000–1,500 บาท โดยที่ยังไม่รู้ว่ารายได้จริงในวันนั้นจะเป็นเท่าไหร่ ทำให้การพึ่งพาพ่อค้าคนกลางกลายเป็นสิ่งเลี่ยงไม่ได้

ณัฏฐิกายังชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ใหญ่กว่านั้น คือ ราคาลำไยจริง ๆ ถูกกำหนดจากฝั่งจีน ไม่ใช่จากล้งในไทย ทุกเช้าก่อน 11 โมง จะมีการประกาศราคาใหม่ เกษตรกรที่รีบขายตั้งแต่เช้าก็ต้องจำใจขายในราคาต่ำกว่าวันนั้น 

“ราคาลำไยเปลี่ยนทุกวัน เราคุมอะไรไม่ได้ ไม่สามารถต่อรองอะไรได้เลย”

ในมุมเชิงนโยบาย เธอเสนอว่า หากรัฐยังต้องการให้ลำพูนคงชื่อว่า ‘เมืองลำไย’ จริงๆ ก็ควรลงทุนสร้างกลไกเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพืชชนิดนี้ เช่น การตั้ง ‘ศูนย์ลำไย’ ที่ทำงานแบบครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ การวิจัยปัญหาต้นแก่ โรคและแมลง ไปจนถึงการกำหนดมาตรฐานราคา เหมือนที่ข้าวมี ‘ศูนย์วิจัยข้าว’ ดูแลโดยตรง 

“ถ้ามีศูนย์กลางหรือหน่วยงานที่ดูแลเรื่องลำไยโดยตรง เหมือนที่เรามี ‘ศูนย์ข้าว’ ที่ดูแลพันธุ์ข้าว คอยวิจัย ป้องกันแมลง จัดการปัญหาต่างๆ ได้ต่อเนื่อง มันก็น่าจะช่วยเกษตรกรลำไยได้เยอะ ถ้ารัฐยังอยากให้ลำพูนเป็นเมืองลำไยจริงๆ ก็ควรมีอะไรแบบนี้”

อีกหนึ่งความหวังที่เธอพูดถึงคือ ‘ลำไยพันธุ์เบี้ยวเขียว’ ผลไม้ GI GI (Geographical Indication) หรือสินค้าที่ผลิตขึ้นจากภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ที่สะท้อนเอกลักษณ์ลำพูน เคยถูกโค่นทิ้งเพื่อปลูกสายพันธุ์อีดอที่ตลาดนิยมมากกว่า แต่ปัจจุบันกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง โดยปีที่ผ่านมามีราคาพุ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 150 บาท แม้ปีนี้ลดลงเหลือ 50–80 บาท แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี 

“เบี้ยวเขียวเป็น GI ของลำพูน อย่างน้อยรัฐควรกำหนดราคาขั้นต่ำว่าไม่ต่ำกว่า 50 บาท เหมือนทุเรียนภูเขาไฟ หรือทุเรียนป่าละอูที่มีมาตรฐานราคา ถ้าเรามีหลักประกันแบบนี้ก็ช่วยเกษตรกรได้เยอะ”

ท้ายที่สุด เธอย้ำว่า ทางรอดของเกษตรกรคือต้องทำคุณภาพ ปลูกแบบผสมผสาน รวมกลุ่มกันเพื่อให้มีเสียงทั้งในตลาดและในเชิงนโยบาย และที่สำคัญคือ ต้องสร้างการบริโภคในประเทศให้มากขึ้น 

“สิ่งที่แก้ได้จริงๆ คือเราต้องทำคุณภาพ ปลูกผสมผสาน และรวมกลุ่มกันเพื่อมีเสียงในตลาดและในเชิงนโยบาย ที่สำคัญคืออยากให้คนไทยหันมากินลำไยกันเองมากขึ้น ไม่ใช่พึ่งพาการส่งออกอย่างเดียว” 

‘ปลูกมาทั้งชีวิต แต่ไม่เห็นทางรอด’ เมื่อกฎหมาย ซัพพลายเชนเป็นกำแพง

ชินดิศ กวีกรณ์ เจ้าหน้าที่สัตวบาล ศูนย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ลูกหลานชาวสวนลำไยจากลำพูน เล่าว่า ครอบครัวของเขาทำสวนลำไยมาตั้งแต่รุ่นปู่ สวนที่เคยมีลำไยนับร้อยต้นเคยเป็นแหล่งรายได้หลัก แต่วันนี้ต้นลำไยเหล่านั้นถูกโค่นออกไปจนแทบหมด เหลือไว้เพียงไม่กี่สิบต้น ที่ดินส่วนใหญ่ถูกปล่อยเช่าให้ปลูกหอมแดงและกระเทียม เพราะราคาลำไยตกต่ำจนไม่สามารถพึ่งพาได้อีกต่อไป

“ตอนผมเด็กๆ ไปเก็บลำไยที่เหลือจากสวนที่เขาเหมาซื้อ เอาไปขายได้เป็นร้อยบาท แต่ทุกวันนี้ราคาต่างกันลิบลับ สวนลำไยในลำพูนก็เริ่มถูกโค่นไปเยอะ บางคนหันไปปลูกทุเรียน บางคนขายที่ทำบ้านจัดสรร เพราะอยู่กับลำไยไม่ไหวแล้ว” 

สำหรับเขา ปัญหาลำไยล้นตลาดไม่ได้อยู่ที่การผลิตเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ การกระจายสินค้า เพราะลำไยเป็นผลไม้ที่เสียง่าย เก็บรักษาได้ไม่นาน หากมีระบบกระจายที่มีประสิทธิภาพ ราคาคงไม่ตกฮวบฮาบเช่นทุกวันนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่เขาเสนอคือ การมี ระบบข้อมูลกลาง ที่เกษตรกรสามารถลงทะเบียนบอกได้ว่าปีนี้จะปลูกอะไร ปริมาณเท่าไร เพื่อใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและป้องกันการผลิตเกินความต้องการ

อีกปัญหาใหญ่ไม่แพ้กันคือ การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไป ชินดิศอธิบายว่า ถึงล้งจีนจะเป็นผู้ซื้อหลัก แต่เมื่อใดที่เขาหยุดรับซื้อ เกษตรกรไทยแทบไม่เหลือที่ไป 

“รัฐควรหาตลาดประเทศอื่นๆ เพิ่ม ไม่ใช่พึ่งพาตลาดเดียว” ชินดิศย้ำ พร้อมทั้งชี้ว่ามาตรฐานการผลิตเองก็เป็นอีกอุปสรรค เกษตรกรจำนวนไม่น้อยยังใช้สารเคมีโดยไม่เว้นระยะตามที่กำหนด ทำให้ผลผลิตอาจมีสารตกค้างและส่งออกลำบาก

ชินดิศเล่าว่า เขาเองเคยพยายามมองหาทางรอดใหม่ๆ ด้วยการลองทำเบียร์ท้องถิ่นชื่อ ‘รอยไถ’ โดยใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบหลักและลำไยอบแห้งเป็นวัตถุดิบเสริม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิต แต่สุดท้ายต้องล้มเลิกไปเพราะติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย 

“กฎหมายบ้านเราไม่เอื้อให้รายเล็กๆ ทำ ต้องลงทุนเป็นสิบล้านถึงจะมีโรงงานที่ถูกกฎหมายได้ ต่างจากอาหารที่เริ่มจากครัวเล็กๆ แล้วค่อยๆ เติบโต แต่เบียร์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย”

ความพยายามครั้งนั้นทำให้เขามองเห็นชัดว่า แม้เกษตรกรจะมีความคิดสร้างสรรค์และอยากแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า แต่ กฎหมายและโครงสร้างเศรษฐกิจกลับเป็นกำแพงใหญ่ ขวางทางคนรุ่นใหม่ไม่ให้เดินต่อไปได้ง่ายๆ

“ทุกวันนี้จันทบุรีส่งออกลำไยได้เยอะกว่าลำพูน ทั้งที่ลำพูนเป็นเมืองลำไย แต่เรายังยึดติดกับวิธีเดิมๆ ไม่ค่อยปรับตัว” 

เขาทิ้งท้าย ก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องตลาดเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับ การจัดการและนวัตกรรมในภาคการผลิต เนื่องจากลำพูนมีต้นลำไยที่แก่และเสื่อมสภาพจำนวนมาก ขณะที่นวัตกรรมการปลูกและการจัดการสวนแทบไม่ก้าวหน้าไปจากเดิม สิ่งที่เห็นมากที่สุดก็เพียงการติดตั้งระบบสปริงเกอร์หรือน้ำหยดเพื่อประหยัดแรงงานรดน้ำ แต่เมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว เกษตรกรก็ยังต้องใช้แรงงานคนปีนต้นและใช้กรรไกรตัดเช่นเดิม แตกต่างจากหลายประเทศที่หันมาใช้เครื่องจักรช่วยเก็บเกี่ยว ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทำให้ลำไยของลำพูนเสียเปรียบทั้งด้านต้นทุนและคุณภาพการจัดการเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

บทเรียนจากจันทบุรี เมื่อ ‘ระบบ’ ชนะ ‘ชื่อเสียง’

แม้ลำพูนจะเป็นจังหวัดที่ถูกขนานนามว่า ‘เมืองลำไย’ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ จันทบุรี จังหวัดทางภาคตะวันออกที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘เมืองผลไม้’ จะเห็นชัดว่าลำพูนยังตามหลังอยู่หลายก้าว ทั้งในด้านนวัตกรรมการผลิต ระบบการตลาด และการกระจายผลผลิต

ข้อมูลจาก ลงทุนแมน ระบุว่า ปัจจุบันผู้ส่งออกลำไยอันดับหนึ่งของไทยไม่ได้มาจากภาคเหนือ แต่คือ จังหวัดจันทบุรี ที่มีผลผลิตกว่า 460,000 ตันต่อปี แซงหน้าทั้งเชียงใหม่และลำพูนที่ถือเป็นแหล่งปลูกดั้งเดิม

สิ่งที่ทำให้จันทบุรีโดดเด่น คือ เงื่อนไขทางธรรมชาติและระบบจัดการที่เหนือกว่า พื้นที่จังหวัดมีทั้งชายฝั่ง ทุ่งราบ และภูเขา ทำให้สภาพดินและอากาศเหมาะสมต่อการปลูกพืชสวน โดยเฉพาะลำไยที่ต้องการความชื้นสูงและปริมาณน้ำฝนกว่า 2,000 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งจันทบุรีมีความได้เปรียบกว่าภาคเหนือที่มักเจอปัญหาภัยแล้ง

แม้จะมีพื้นที่ปลูกน้อยกว่า แต่จันทบุรีกลับใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพ สวนทางกับลำพูนที่มีการปลูกลำไยในพื้นที่เหมาะสมเพียง 52% และเชียงใหม่เพียง 35%

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ จำนวนล้งหรือโรงคัดบรรจุผลไม้เพื่อส่งออก ซึ่งเป็นตัวกลางสำคัญที่ช่วยดูดซับผลผลิตออกจากสวน ในไทยมีล้งที่ได้รับอนุญาตส่งออกไปจีนทั้งหมดราว 1,776 ราย โดยกว่า 40% กระจุกตัวอยู่ที่จันทบุรี สิ่งนี้ทำให้เกษตรกรในพื้นที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการระบายสินค้า ต่างจากลำพูนที่หลายครั้งต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลางเป็นหลัก

ผลไม้ส่งออกอันดับสอง ที่รัฐยังมองไม่เห็นความสำคัญ

วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 1 วิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก ส.ส.ลำพูน เขต 1 พรรคประชาชน กล่าวถึงปัญหาราคาลำไยที่ตกต่ำจนกระทบเกษตรกรว่า ราคาลำไยนอกฤดูเหลือเพียงกิโลกรัมละ 20 บาท และเกรงว่าช่วงฤดูเก็บเกี่ยวอาจต่ำกว่า 10 บาท ทั้งที่ลำไยเป็นผลไม้ส่งออกอันดับสองของประเทศ มูลค่ากว่า 19,000 ล้านบาทต่อปี แต่ในร่างงบประมาณปี 2569 กลับแทบไม่สะท้อนการแก้ปัญหาที่ชัดเจน เช่น

  • โครงการตรวจสอบสารตกค้างได้งบเพียง 1.99 ล้านบาท
  • โครงการ “1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง” มี 500 ท้องถิ่น แต่เกี่ยวข้องกับลำไยเพียง 6 ท้องถิ่น งบแค่ 5 ล้านบาท
  • โครงการส่งเสริมตลาดและการบริโภคลำไยรวมแล้วไม่ถึง 25 ล้านบาท
  • งบสร้างตลาดเพื่อการเกษตร 85 ล้านบาท กลับถูกจัดสรรไปจังหวัดพะเยามากกว่าครึ่ง

เขากล่าวว่า ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยังมองปัญหาลำไยเป็นเรื่องเล็ก ทั้งที่กว่า 80–90% ของผลผลิตต้องพึ่งพาตลาดส่งออก โดยเฉพาะจีน และปีนี้คาดว่าผลผลิตจะออกมามากกว่าทุกปี ยิ่งทำให้ชาวสวนวิตกกังวล

ไม่เพียงราคาที่ตกต่ำ ต้นทุนการผลิตก็พุ่งสูง ปุ๋ยจากกระสอบละ 700 บาท เพิ่มเป็น 1,300–1,400 บาท ขณะที่ราคาลำไยเกรด AA จากเดิม 20–30 บาทต่อกิโลกรัม ลดลงเหลือเพียง 10–15 บาท เกษตรกรจึงไม่กล้าลงทุนปรับปรุงสวน เพราะยิ่งลงทุนก็ยิ่งเสี่ยง

วิทวิสิทธิ์เสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ 6 เรื่องหลัก ได้แก่

1. สนับสนุนเครื่องแปรรูปลำไยและเครื่องแช่แข็งให้สหกรณ์

2. ตั้งงบวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ลำไย

3. จัดงบรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ลำไยล้นตลาด

4. ใช้งบจากกองทุนช่วยเหลือเกษตรกรที่ยังเหลือกว่า 700 ล้านบาท

5. ขยายตลาดส่งออกใหม่ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์

6. กำกับดูแลระบบซัพพลายเชน ป้องกันการฮั้วและกดราคา

“ผมก็มีความหวังว่ารัฐบาลจะเข้ามาดูแล แต่พอผมเปิดดูร่างงบประมาณ พ.ศ. 2569 กลับยิ่งตอกย้ำว่ารัฐบาลยังไม่เห็นความสำคัญ และยังไม่มองปัญหาของชาวสวนลำไย ทั้งที่ลำไยเป็นผลไม้ส่งออกอันดับ 2 ของประเทศ รองจากทุเรียน”

อย่าปล่อยให้ ‘ลำไยลำพูน (ลำ) พัง’

วิกฤตราคาลำไยที่เกิดขึ้น ทำให้คำว่า ‘เมืองลำไย’ ของลำพูนสั่นคลอนต่อเนื่อง หากไม่มีการปรับโครงสร้างทั้งระบบ ตั้งแต่กฎหมายที่เปิดทางให้เกษตรกรรายเล็กสามารถแปรรูปผลผลิต ไปจนถึงระบบข้อมูลกลางที่ช่วยให้การวางแผนการปลูกและการตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดังนั้น การจะรักษาความเป็น ‘เมืองลำไย’ ให้คงอยู่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเกษตรกรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเกิดความร่วมมือระหว่างเกษตรกรและรัฐ หากต้องการผลผลิตที่มีคุณภาพ เกษตรกรก็ต้องพัฒนาและปรับวิธีปลูก โดยการเรียนรู้ที่จะใช้นวัตกรรม การแปรรูปสินค้า และบริหารจัดการสวนให้ยั่งยืน ขณะเดียวกัน รัฐควรผลักดันมาตรการชัดเจน ตั้งแต่การจัดระบบข้อมูลกลาง การสนับสนุนเครื่องมือแปรรูปและแช่แข็ง การขยายตลาดส่งออก และการกำกับดูแลซัพพลายเชน เพื่อป้องกันการกดราคารับซื้อ

หากทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันจริงจัง ลำพูนอาจกลับมามีสวนลำไยที่คงอยู่และสร้างรายได้ให้ชุมชนได้เหมือนในอดีต แต่หากปล่อยให้ปัญหาละเลยต่อไป วันหนึ่ง ‘เมืองลำไย’ อาจเหลือเพียงชื่อในประวัติศาสตร์ มากกว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่เลี้ยงคนทั้งจังหวัดได้เหมือนที่ผ่านมา

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง