ชะตาชาวไร่แม่แจ่ม-เพชรบูรณ์ ในวันที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาตก-ไร้การประกัน แต่รัฐยังไร้คำตอบ

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย และ จินตนา ประลองผล

ภาพ: ชนกนันทน์ นันตะวัน

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่สูงของภาคเหนือ เช่น อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ที่เกษตรกรปลูกข้าวโพดเพื่อขายเมล็ดให้พ่อค้าคนกลางหรือโรงงานอาหารสัตว์ทั่วประเทศ ข้อมูลจาก Rocket Media Lab ระบุว่า ปี 2567 ความต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยสูงถึง 8.91 ล้านตัน ขณะที่กำลังการผลิตภายในประเทศมีเพียง 2.012 ล้านตันเท่านั้น ทำให้ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้ามากถึง 5.033 ล้านตัน

แรงกดดันจากเวทีโลกยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้มาตรการภาษีสินค้านำเข้า ทั้งในอัตรา 10% และ ‘ภาษีต่างตอบแทน’ สูงสุดถึง 37% ส่งผลให้รัฐบาลไทยต้องหามาตรการตอบโต้เชิงนโยบาย โดยหนึ่งในนั้นคือการเพิ่มการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ

แม้การนำเข้าจะช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ แต่เมื่อนำมาคำนวณรวมค่าภาษี ค่าขนส่ง และต้นทุนตลาดแล้ว ราคากลับสูงกว่าที่คาดไว้ อีกทั้งข้าวโพดจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยังเป็นพืช GMO และใช้ระบบการผลิตที่แตกต่างจากมาตรฐานไทย ทำให้สมาคมเกษตรกรหลายแห่งออกมาแสดงจุดยืนคัดค้าน พร้อมตั้งคำถามสำคัญว่า นโยบายการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เช่นนี้ คุ้มค่าจริงหรือไม่?

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้าวโพดไทยถูกกลืนกินโดยข้าวโพดนอก

เมื่อข้าวโพดราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา เข้ามายังประเทศไทยผ่านเขตการค้าเสรีและโควตานำเข้า เกษตรกรไทยกลับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ตลอดช่วงปี 2563–2567 ไทยนำเข้าข้าวโพดเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4.8% เพื่อรองรับความต้องการอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมไก่และหมู ซึ่งเติบโตเฉลี่ยปีละ 0.3% ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในปี 2568 ไทยจะนำเข้าข้าวโพดประมาณ 2.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.9% จากปีก่อน

ผลที่ตามมาจากการนำเข้าข้าวโพดจากอเมริกาทำให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ จะได้ต้นทุนการผลิตที่ลดลง เนื่องจากข้าวโพดเป็นวัตถุดิบหลักในสูตรอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอาหารไก่และหมูที่คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ย 52.2% ของวัตถุดิบทั้งหมด

เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ จะได้ประโยชน์จากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ถูกลง หากไทยหันมานำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ แทนประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่และหมูกว่า 285,000 ราย จะประหยัดต้นทุนอาหารสัตว์ได้ราว 8%

อย่างไรก็ตาม ผลเชิงลบจะตกอยู่กับ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในประเทศกว่า 420,000 ครัวเรือน ที่ต้องเผชิญกับราคาข้าวโพดตกต่ำ โดยผลกระทบสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะคือ 

ปี 2568 ผลกระทบยังจำกัด เพราะภาครัฐอยู่ระหว่างกำหนดหลักเกณฑ์การนำเข้า ข้าวโพดจากสหรัฐฯ จึงจะเข้าสู่ตลาดไทยเพียงบางส่วนในช่วงปลายปี

ปี 2569 เป็นต้นไป: คาดว่าราคาข้าวโพดในประเทศจะปรับลดลงชัดเจนและกดดันรายได้เกษตรกรต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เสนอว่าหากรัฐกำหนดเงื่อนไขนำเข้าอย่างเหมาะสม เช่น ไม่ให้การนำเข้าตรงกับช่วงที่ผลผลิตข้าวโพดไทยออกสู่ตลาด ซึ่งมักเกิดขึ้นใน ไตรมาสสุดท้ายของปี (คิดเป็น 69.2% ของผลผลิตทั้งปี) และจำกัดโควตานำเข้าให้น้อยกว่าปริมาณที่ขาดแคลน ก็อาจช่วยบรรเทาผลกระทบต่อราคาได้

การเคลื่อนไหวของชาวไร่ข้าวโพดภาคเหนือ ปัญหาราคาตกต่ำยังไร้ทางออก

แม้การค้าเสรีจะถูกใช้เป็นเหตุผลให้เปิดนำเข้าสินค้าเกษตรโดยไม่เสียภาษี แต่ความจริงที่เห็นได้ชัดคือ เกษตรกรไทยถูกบีบให้แข่งขันในเกมที่ไม่เป็นธรรม โรงงานอาหารสัตว์รายใหญ่และกลุ่มทุนปศุสัตว์คือผู้กุมอำนาจต่อรอง สามารถกดราคารับซื้อได้ตามใจ ขณะที่เกษตรกรรายย่อยต้องเผชิญต้นทุนสูงขึ้นทุกปีโดยแทบไร้การคุ้มครอง

การชุมนุมของเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ ภาพ: ธีรวัฒน์ รังสิกรรพุม

เกษตรกรจากหลายพื้นที่ในภาคเหนือต่างประสบปัญหาเดียวกัน เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 เกษตรกรจากหลายจังหวัดได้รวมตัวเคลื่อนไหว เพื่อกดดันรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาราคาผลผลิตที่ไม่เป็นธรรม

ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เกษตรกรนำรถบรรทุกข้าวโพดมาปิดสี่แยกราหุล เรียกร้องให้รัฐรับซื้อข้าวโพดกิโลกรัมละ 7.50 บาท (ความชื้น 30%) พร้อมทั้งหยุดนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศ และยื่นหนังสือร้องเรียนต่อหน่วยงานรัฐ

การชุมนุมของเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ ภาพ: ธีรวัฒน์ รังสิกรรพุม

ขณะเดียวกัน เกษตรกรในเชียงราย นครสวรรค์ กำแพงเพชร และพิจิตร ต่างยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัด โดยที่เชียงราย เกษตรกรกว่า 100 คนรวมตัวหน้าศาลากลางจังหวัด พร้อมข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ได้แก่

1.กำกับราคาข้าวโพดที่ 7.5 บาท/กก. (ความชื้น 30%)

2.เปิดเวทีเจรจาระหว่างเกษตรกร ผู้ประกอบการ และหน่วยงานรัฐ

3.ให้โรงงานอาหารสัตว์รายใหญ่รับซื้ออย่างเป็นธรรม ไม่ผูกขาด

4.ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบทันท่วงที

ต่อมา วันที่ 27 สิงหาคม 2568 ที่จังหวัดลำปาง เกษตรกรแปลงใหญ่ประมาณ 60 คนรวมตัวหน้าศาลากลาง พร้อมยื่นข้อเสนอ 5 ข้อได้แก่

1.ขอให้รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกร ในราคา 7.25 บาทต่อกิโลกรัม ในอัตราความชื้นที่ 30%

2.ขอให้จุดรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทุกแห่งใน จ.ลำปาง รับซื้อด้วยความเป็นธรรม

3.ขอให้ทางรัฐบาลชะลอการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไว้ก่อน จนกว่าข้าวโพดที่ปลูกในประเทศสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยว

4.ขอให้ภาครัฐ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โรงงานอาหารสัตว์ ผู้ประกอบการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เกษตรกร ได้จัดเวทีเจรจาข้อตกลงร่วมกัน

5.หากข้อเสนอข้อที่ 1-4 ภาครัฐไม่สามารถดำเนินการได้ ทางเกษตรกรขอให้รัฐจ่ายเงินช่วยเหลือค่าชดเชยให้เกษตรกรโดยคิดส่วนต่างที่ขาดหายไป

ตัวแทนเกษตรกรระบุว่า ราคาผลผลิตที่ตกต่ำไม่สอดคล้องกับความต้องการจริงของตลาด แต่ผู้ซื้อรายใหญ่กลับกดราคา บางแห่งหยุดรับซื้อ ขณะที่รัฐบาลยังไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบจากการนำเข้าข้าวโพด การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความอัดอั้นของเกษตรกรที่ต้องเผชิญกับต้นทุนสูง หนี้สิน และราคาผลผลิตไม่เป็นธรรม แม้การชุมนุมยุติ แต่เกษตรกรยังรอการแก้ไขที่ชัดเจนจากรัฐบาลเพื่อความมั่นคงในอาชีพ

ด้าน พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย อธิบายถึงสาเหตุราคาข้าวโพดตกต่ำว่า เกิดจากฤดูกาลผลผลิตที่เริ่มออกสู่ตลาดระหว่างเดือนสิงหาคม–พฤศจิกายน ซึ่งมีผลผลิตเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้จริงอยู่ที่ 760,000 ตันต่อเดือน ทำให้ปริมาณล้นตลาดและกดดันราคาลง

พรศิลป์ย้ำว่า ปัจจุบันโรงงานอาหารสัตว์กว่า 90% เปิดรับซื้อแล้ว ส่วนที่เหลือราว 10% อยู่ระหว่างซ่อมบำรุงเครื่องจักร และคาดว่าจะเปิดรับซื้อครบภายในต้นเดือนกันยายน ดังนั้นจึงไม่ใช่การ ‘ชะลอรับซื้อ’ ตามที่หลายฝ่ายกังวล

“แม้โรงงานทั้งหมดจะเปิดรับซื้อ แต่ก็ไม่สามารถรองรับผลผลิตที่ออกมาพร้อมกันได้หมด รัฐบาลรับรู้ปัญหานี้ จึงมีโครงการชดเชยดอกเบี้ยเพื่อเก็บสต็อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ผู้รวบรวมและสถาบันเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยพยุงราคาไม่ให้ตกต่ำจนเกินไป” พรศิลป์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกรมการค้าภายในสะท้อนภาพต่างออกไป โดยระบุว่าในเดือนสิงหาคม 2568 เกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวโพดได้เพียง 26,000 ตัน หากจะอ้างว่าผลผลิตล้นตลาด ควรเป็นช่วงพฤศจิกายนซึ่งเก็บเกี่ยวได้มากสุดที่ 1.56 ล้านตัน (33.7%) แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เดือนธันวาคมผลผลิตลดเหลือ 540,000 ตัน และเดือนถัดไปเหลือเพียง 50,000 ตัน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่ดี

รัฐประเมินผลผลิตต่ำ เกษตรกรไทยเสียเปรียบ-ตลาดข้าวโพดถูกกดราคา

ธีรวัฒน์ รังสิกรรพุม เกษตรกรไร่ข้าวโพด จังหวัดเพชรบูรณ์ เล่าสถานการณ์ของชาวไร่ข้าวโพดว่า เกษตกรต้องเผชิญปัญหาราคาตกต่ำต่อเนื่อง โดยข้าวโพดที่ความชื้น 30% มีราคาหน้าฟาร์มอยู่เพียง 5.20-5.30 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนจริงอยู่ที่ 6-6.50 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ขายแล้วขาดทุน เกษตกรจึงต้องรวมตัวเพื่อเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในออกมาตอบคำถามและรับผิดชอบเรื่องนโยบายและเอกสารที่เกี่ยวข้อง

ธีรวัฒน์เล่าว่า ตามข้อมูลของรัฐมนตรี ผู้ผลิตอาหารสัตว์ยอมรับราคาปลายทางที่ 9.80 บาทต่อกิโลกรัม ที่ความชื้น 14.5% และ 7.50 ต่อกิโลกรัม ที่ความชื้น 30%  แต่ปัญหาสำคัญคือเกษตรกรไม่สามารถขายข้าวโพดสดที่ความชื้น 30% ได้ตามราคาที่เสนอจริง ปัจจุบันราคาที่เกษตรกรได้รับปรับขึ้นมาอยู่ที่ 6.50-6.60 บาทต่อกิโลกรัมจากไซโลกลาง แต่ยังต่ำกว่าที่ควรจะได้

ย้อนกลับไปช่วง เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา การนำเข้าวัตถุดิบทดแทน เช่น ข้าวสาลี ลดลง เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ไทยนำเข้าข้าวสาลีจากยูเครนได้น้อยลง ผู้ผลิตอาหารสัตว์จึงต้องพึ่งพาข้าวโพดในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงนั้นเกษตรกรขายข้าวโพดได้ในราคาประมาณ 7.50–8 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้สามารถอยู่ได้โดยไม่กระทบต่อระบบอาหารสัตว์ 

แต่ผู้ผลิตอาหารสัตว์พยายามผลักดันให้ยกเลิกโควตา 3:1 ที่กำหนดให้ต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 กิโลกรัม ถึงจะสามารถนำเข้าข้าวสาลีได้ 1 กิโลกรัม เพราะข้าวสาลีที่นำเข้ามามีราคาถูกกว่า ราว 7–8 บาท เมื่อมีวัตถุดิบทดแทนเข้ามา ราคาข้าวโพดไทยจึงถูกกดลง โดยเฉพาะช่วงผลผลิตออกมาก (สิงหาคม–มกราคม) และจะค่อยปรับขึ้นเมื่อผลผลิตเริ่มหมด

“มูลค่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในไทยต่อปีเกิน 5 ล้านตัน ถ้าราคาขยับเพียง 50 สตางค์ หรือ 1 บาท ผู้ผลิตอาหารสัตว์ก็จะได้กำไรหลายพันล้านบาท ขณะที่เกษตรกรไม่สามารถควบคุมราคาได้ การกำหนดราคาขั้นต่ำจากรัฐยังไม่สามารถบังคับใช้อย่างแท้จริง โดยราคาข้าวโพดสดความชื้น 30% ที่เกษตรกรเรียกร้องคือ 7.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่กรมการค้าภายในกลับปรับลงเหลือ 7.05 บาท”

อีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือการประเมินผลผลิตของรัฐ ธีรวัฒน์อธิบายว่า สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรมักประเมินผลผลิตต่ำเกินจริง ปกติผู้ผลิตอาหารสัตว์จะเป็นฝ่ายประกาศความต้องการข้าวโพด โดยในปี 2568–2569 ระบุว่าต้องการ 9.2 ล้านตัน ขณะที่สศก. ประเมินว่าประเทศไทยผลิตได้เพียง 4.7 ล้านตัน แต่ความจริงแล้วเกษตรกรไทยส่วนใหญ่เก็บเกี่ยวได้เฉลี่ย 900–1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ที่ความชื้น 30% หรือผลผลิตแห้งเฉลี่ย 1,100–1,200 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อคูณกับพื้นที่ปลูกกว่า 6 ล้านไร่ ผลผลิตจริงควรอยู่ราว 5.5–6 ล้านตัน ไม่ใช่แค่ 4.7 ล้านตันตามที่รัฐประเมิน

“เมื่อนำผลผลิตจริงมารวมกับวัตถุดิบทดแทน และข้าวโพดจากเพื่อนบ้าน ประเทศไทยจึงมีวัตถุดิบเพียงพอ หรืออาจเกินด้วยซ้ำ จึงไม่จำเป็นต้องเปิดนำเข้ามากกว่าที่เป็นอยู่”

ธีรวัฒน์ยังเตือนถึงความเสี่ยงจากการเปิดนำเข้าเมล็ดข้าวโพด GMO จากสหรัฐอเมริกาว่า หากเกิดขึ้นจะกระทบต่อเกษตรกรไทยโดยตรง เนื่องจากราคาถูกและผลผลิตต่อไร่สูงกว่าครึ่งต่อครึ่ง นอกจากนี้ยังอาจกระทบตลาดส่งออกอาหารสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ต้องใช้วัตถุดิบ non-GMO ซึ่งไทยถือว่ามีความได้เปรียบ

“ตลาดโลกจำนวนมากไม่ยอมรับ GMO ตัวอย่างเช่น อเมริกามีผลผลิตข้าวโพดจำนวนมหาศาล แต่กลับไม่สามารถส่งออก ‘ข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋อง’ ได้ จนต้องนำเข้าจากไทยแทน ซึ่งสะท้อนว่า ความได้เปรียบของไทยคือการผลิตข้าวโพดลูกผสม (Hybrid) non-GMO ที่ตลาดโลกเชื่อมั่น”

ธีรวัฒน์อธิบายว่า หากประเทศไทยเปิดให้นำเข้าข้าวโพด GMO จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 140,000 ล้านบาทต่อปี เพราะตลาดยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ กำหนดให้ใช้วัตถุดิบ non-GMO เท่านั้น อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อ ตลาดเนื้อสัตว์ ทั้งไก่และสุกร ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี โดยคู่ค้าสำคัญอย่างยุโรปและญี่ปุ่นอาจสูญเสียความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ไทย

“สิ่งที่ประเทศไทยควรทำคือ สร้างความมั่นคงของการผลิตข้าวโพด Hybrid ภายในประเทศ ให้เกษตรกรอยู่ได้ โดยควรมีราคาขั้นต่ำอย่างน้อย 7–7.5 บาทต่อกิโลกรัม (ที่ความชื้น 30%) ขณะเดียวกัน รัฐควรปรับปรุงระบบข้อมูลและการประเมินผลผลิตให้สะท้อนความจริง ลดการกดราคาจากผู้ผลิตอาหารสัตว์ และปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรไทย” ธีรวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

เสียงของชาวไร่ในวันที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่อาจเลี้ยงครอบครัวได้ต่อไป

ในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ภาพชีวิตยามเช้าตรู่ในฤดูฝนของผู้คนยังคงเหมือนเดิม เสียงมอเตอร์ไซค์ดังไม่ขาดสายท่ามกลางหมอกบาง ชาวบ้านหลายครอบครัวยังคงมุ่งหน้าไปยังไร่ข้าวโพดของตัวเอง 

“ที่นี่เราปลูกข้าวโพดกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย เพราะมันโตไว ขายได้เงินเร็ว และทำให้พออยู่พอกินได้” วีรพล ชาวสวนข้าวโพด วัย 21 ปี กล่าวขณะเตรียมเครื่องพ่นยา

ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า จังหวัดเชียงใหม่มีการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะแม่แจ่มซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง ย้อนกลับไปเมื่อปี 2538–2539 บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์เคยเข้าไปส่งเสริมเกษตรพันธสัญญา ทำให้ข้าวโพดกลายเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของอำเภอแม่แจ่ม ข้อมูลสำนักงานเกษตรอำเภอระบุว่าในช่วงปี 2549–2550 เกษตรกรร้อยละ 80 ของแม่แจ่มปลูกข้าวโพดเป็นอาชีพหลัก ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวโพดเมล็ดพันธุ์ ปี 2550 มีพื้นที่ปลูกถึง 82,904 ไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,316 กิโลกรัมต่อไร่ หรือรวมกว่า 97,986,900 กิโลกรัม

อย่างไรก็ตาม ความมั่นคงที่เคยมี กำลังสั่นคลอนลงทุกปี เมื่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เหลือเพียง กิโลกรัมละ 7.5 บาทเท่านั้น

“ปีนี้ขายได้ถูกกว่าสิบปีก่อน ทั้งที่ค่าปุ๋ย ค่าน้ำมันแพงขึ้นทุกปี” วิชิต เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเล่า พร้อมย้ำถึงความไม่แน่นอนของราคาที่ทำให้ครอบครัวลำบากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ พะรีพอ วัย 65 ปี ที่เปรียบเทียบว่า “เมื่อก่อนขายได้กิโลละ 6 บาท ก็พออยู่ได้เพราะต้นทุนต่ำ แต่ปัจจุบันค่าปุ๋ยจากราว 400 บาท ขยับขึ้นเกือบ 1,000 บาท ไหนจะค่ายาเพิ่มอีกเพราะสภาพดินเปลี่ยนไป”

ต้นทุนที่สูงขึ้น สวนทางกับราคาขายที่ลดลง ทำให้เกษตรกรรายย่อยต้องเผชิญการแข่งขันไม่เป็นธรรม ข้าวโพดนำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศยิ่งซ้ำเติม โรงงานอาหารสัตว์และทุนใหญ่ได้เปรียบด้วยเครื่องจักรและระบบผลิตทันสมัย ขณะที่เกษตรกรแม่แจ่มยังคงพึ่งพาแรงคนเป็นหลัก

“เราสู้ไม่ได้หรอก เขาขายทั้งถูก ทั้งมีเครื่องจักรทันสมัย แต่เรายังใช้แรงคนอยู่เลย” ชาติชาย เกษตรกรรายย่อยกล่าว

เสียงสะท้อนเหล่านี้เต็มไปด้วยความกังวล ไม่เพียงเรื่องรายได้ในปัจจุบัน แต่ยังรวมถึงอนาคตของลูกหลาน “อนาคตลูกอยู่ในไร่นี่แหละ ถ้าราคายังเป็นแบบนี้ เราจะส่งเขาเรียนไหวได้ยังไง” ส่าโย เกษตรกรชาวแม่แจ่มตั้งคำถาม

สิ่งที่เกิดขึ้นในแม่แจ่มจึงไม่ใช่แค่เรื่องปากท้องของครอบครัวเกษตรกรเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณเตือนถึง ความเปราะบางของระบบการเกษตรไทย ที่ปล่อยให้พืชเศรษฐกิจสำคัญอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม่อาจเลี้ยงครอบครัวได้อีกต่อไป

โอกาสของเกษตรกรอยู่ตรงไหน เมื่อเส้นชัยไม่เท่ากัน

ขณะที่เกษตรกรยังคงดิ้นรนขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้พ้นจากมือพ่อค้าคนกลางที่กดราคาจนแทบขาดทุน คำถามสำคัญที่ยังไร้คำตอบชัดเจนคือ “รัฐทำอะไรอยู่?” แม้รัฐบาลจะประกาศนโยบายส่งเสริมพืชทางเลือก เช่น ถั่วเหลือง ข้าวไร่ หรือพืชเศรษฐกิจใหม่ แต่ความจริงในพื้นที่สูงอย่างแม่แจ่มกลับแสดงให้เห็นว่า เกษตรกรไม่ได้ติดยึดกับข้าวโพดเพราะไม่อยากเปลี่ยน หากแต่เพราะ โครงสร้างตลาดและนโยบายรัฐยังไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง

งานวิจัยของ สกว. (2559) ชี้ว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมเกษตรกรต้องอาศัยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ความมั่นใจในตลาด และการสนับสนุนทางเทคนิคอย่างต่อเนื่อง ทางออกระยะยาวอาจต้องมุ่งสู่ การเกษตรเชิงนิเวศ (Agroecology) ที่ลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก เพิ่มอำนาจต่อรองผ่านสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน และตลาดท้องถิ่น

ที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามผลักดันนโยบาย การจัดโซนนิ่งพื้นที่เกษตร เพื่อห้ามปลูกข้าวโพดในพื้นที่ต้นน้ำหรือพื้นที่เสื่อมโทรม โดยอ้างว่าจะช่วยลดปัญหาหมอกควันและการพังทลายของดิน ทว่าความเป็นจริงในแม่แจ่มกลับสะท้อนความไม่เป็นรูปธรรม แม้มีมาตรการจูงใจ เช่น แจกเมล็ดพันธุ์หรือสนับสนุนความรู้ แต่การตลาดยังไม่เพียงพอ หลายครอบครัวจึงไม่กล้าเสี่ยงปลูกพืชใหม่ เพราะไม่มั่นใจว่าจะขายได้จริง

“ที่ผ่านมา มีส่งเสริมให้ปลูกต้นไม้ ผลไม้ แต่ไม่มีตลาดรองรับสินค้าของพวกเราเลย เหมือนให้เราปลูกเฉยๆ” ชาติชาย เกษตรกรชาวแม่แจ่มเล่าด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

การปลูกพืชทางเลือก เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว หรือพืชตระกูลถั่ว แม้จะช่วยฟื้นฟูดินและสร้างตลาดเฉพาะกลุ่ม แต่ก็ยังติดข้อจำกัดเรื่องราคาและตลาดที่ไม่แน่นอน ขณะที่เกษตรอินทรีย์ถูกเสนอซ้ำแล้วซ้ำอีก ทว่าการปรับเปลี่ยนเช่นนั้นสำหรับเกษตรกรในพื้นที่ห่างไกลจำเป็นต้องใช้เวลา ความรู้ และการสนับสนุนระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

ปัญหายังขยายกว้างไปถึง ความเหลื่อมล้ำในระบบเกษตรโลก ประเทศคู่ค้าบางแห่ง เช่น สหรัฐฯ มีการอุดหนุนเกษตรกรด้วยราคาประกัน รายได้ขั้นต่ำ และเครื่องจักรทันสมัย ขณะที่เกษตรกรไทยกลับต้องซื้อปุ๋ยในราคาสูงจากเอกชน หรือเผชิญดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถ่วงรั้งอยู่ในระบบเกษตรพันธสัญญา

ดังนั้น ทางรอดของสถานการณ์นี้ ไม่อาจสรุปได้แค่ ‘เลิกปลูกข้าวโพด’ หรือ ‘หันไปทำเกษตรอินทรีย์’ แต่ควรเป็นการออกแบบนโยบายเกษตรที่ยืดหยุ่น เป็นธรรม และฟังเสียงคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

“ถ้ารัฐยังมองเกษตรกรเป็นแค่หน่วยผลิต ไม่ใช่ผู้มีสิทธิเลือกอนาคตของตนเอง ก็ไม่มีนโยบายไหนที่ยั่งยืนได้” มิโพ คนรุ่นใหม่ที่หวนกลับบ้านแม่แจ่ม กล่าว

ท้ายที่สุด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจเกษตรไทย แม้ไร่ข้าวโพดยังคงเขียวเต็มหุบเขาแม่แจ่ม แต่ความหวังของชาวบ้านกลับซีดจางไปเรื่อยๆ ราคาที่ตลาดกำหนดไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ผู้บริโภคอาจมองเห็นเพียง ‘ราคาอาหารสัตว์ที่ถูกลง’ ทว่าปลายทางอีกด้านคือครอบครัวเกษตรกรที่ต้องเลือกระหว่างซื้อปุ๋ยเพิ่มหรือให้ลูกหยุดเรียนชั่วคราว

ถอดบทเรียน ‘วิกฤตตอร์ติญ่า’ มองอนาคตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไทย

รายงานจาก BioThai อธิบายถึง ‘วิกฤตตอร์ติญ่า’ ว่า ปี 2007 ชาวเม็กซิกันนับแสนออกมาเดินขบวนกลางกรุงเม็กซิโกซิตี้ พร้อมกระทะและช้อนในมือ ตะโกนเรียกร้อง ‘ราคาตอร์ติญ่าที่เป็นธรรม’ หลังราคาข้าวโพดพุ่งสูงเกินเท่าตัวจากแรงกดดันตลาดโลก ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) เคยถูกอ้างว่า ข้าวโพดราคาถูกจากสหรัฐฯ จะทำให้อาหารในเม็กซิโกราคาถูกลง

ความจริงกลับตรงกันข้าม แม้เม็กซิโกจะเป็นแหล่งกำเนิดและศูนย์กลางความหลากหลายทางชีวภาพของข้าวโพด และประชาชนบริโภคตอร์ติญ่าแทบทุกมื้อ แต่การเปิดเสรีนำเข้ากลับทำให้เกษตรกรรายย่อยสูญเสียตลาด ถูกเบียดออกโดยบริษัทใหญ่ ขณะเดียวกัน ราคาข้าวโพดโลกกลับถูกผลักขึ้นจากความต้องการเอทานอลและการเก็งกำไร ส่งผลให้ราคาตอร์ติญ่าภายในประเทศพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่ยากจนที่สุดต้องออกมาประท้วงเพื่อปากท้องของตนเอง

รัฐบาลเม็กซิโกพยายามแก้ปัญหาด้วย ‘Tortilla Price Stabilization Pact’ กำหนดราคาที่ 8.50 เปโซต่อกิโลกรัม แต่ในความเป็นจริง หลายร้านขายสูงถึง 12–15 เปโซ ความไม่มั่นคงทางอาหารปะทุขึ้น และเหตุการณ์ครั้งนั้นถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็น ‘วิกฤตตอร์ติญ่า’ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านนโยบายเสรีนิยมใหม่และ NAFTA

บทเรียนสำคัญจากกรณีนี้คือ ‘การเปิดนำเข้า ไม่ได้แปลว่าผู้บริโภคจะได้อาหารราคาถูกลง’ ตรงกันข้าม มันอาจทำให้เกษตรกรรายย่อยถูกทำลาย ตลาดถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนไม่กี่ราย ราคาภายในประเทศผันผวนตามแรงกดดันโลก และไม่สอดคล้องกับกำลังซื้อของประชาชน

เสียงบางส่วนในไทยเริ่มเสนอให้ ‘เปิดนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ’ เพื่อหวังลดต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ และทำให้เนื้อหมู เนื้อไก่ หรืออาหารแปรูปราคาถูกลง แต่บทเรียนจากเม็กซิโกเตือนเราว่า ผลลัพธ์อาจกลับตาลปัตร—ราคาที่ถูกลงอาจไม่ถึงมือผู้บริโภคหรือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ แต่กลับตกอยู่ในมือกลุ่มทุนผูกขาด ขณะที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดไทยอาจถูกบีบจนต้องเลิกอาชีพ ทิ้งไร่ไปเป็นแรงงานราคาถูกในเมือง ไม่ต่างจากชาวไร่เม็กซิกันเมื่อกว่าสิบปีก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ยังไม่ทันเปิดนำเข้า ราคาข้าวโพดในไทยก็ถูกกดลงเหลือเพียง 5 บาทกว่าต่อกิโลกรัม ทั้งที่ราคากลางตามมติ นบขพ. กำหนดไว้ที่ 7.05–8.90 บาท/กิโลกรัม เหตุนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า กลุ่มทุนอาหารสัตว์มีอำนาจชี้นำตลาดอย่างมหาศาล

‘วิกฤตตอร์ติญ่า’ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเม็กซิโก แต่คือคำเตือนสำหรับไทยว่า การฝากความหวังกับการนำเข้าอาจไม่สร้างความมั่นคงทางอาหาร ตรงกันข้าม มันทำให้ประเทศเปราะบางต่อแรงกดดันภายนอก และผลักภาระไปยังเกษตรกรรายย่อยและประชาชนทั้งประเทศ

สำหรับไทย ทางออกที่ยั่งยืนอยู่ที่การ เสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรรายย่อย ปรับเปลี่ยนสู่การเกษตรที่พึ่งพาตนเองมากขึ้น และทำให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม หากเราไม่เรียนรู้จากบทเรียน NAFTA และ ‘วิกฤตตอร์ติญ่า’ การนำเข้าข้าวโพดราคาถูกจากสหรัฐฯ อาจไม่เพียงสร้างวิกฤตเกษตรกรรมสำหรับเกษตรกรบนภูเขา แต่ยังกลายเป็นวิกฤตอาหารสำหรับประชาชนทุกคน

เมื่อวิกฤตราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังไร้ทางออก

วิกฤตราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในแม่แจ่มสะท้อนความเปราะบางของระบบเกษตรไทยที่ถูกกดดันจากการแข่งขันระดับโลกและโครงสร้างตลาดภายในประเทศ ขณะที่ไทยมีความต้องการข้าวโพดสูง แต่กำลังผลิตในประเทศไม่เพียงพอ การนำเข้าข้าวโพดราคาถูกจากสหรัฐฯ แม้ช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ แต่กลับสร้างแรงกดดันต่อเกษตรกรรายย่อย ส่งผลให้ราคาข้าวโพดในประเทศตกต่ำและรายได้เกษตรกรลดลง สถานการณ์ดังกล่าวถูกขยายความรุนแรงด้วยอำนาจต่อรองของโรงงานอาหารสัตว์และกลุ่มทุนใหญ่ ขณะที่เกษตรกรรายย่อยแทบไม่มีความคุ้มครอง

เสียงสะท้อนจากชาวไร่แม่แจ่มชี้ให้เห็นว่า ความมั่นคงของอาชีพและอนาคตของครอบครัวถูกคุกคาม นโยบายรัฐและโครงการส่งเสริมพืชทางเลือกยังไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง ตลาดไม่มั่นคงและการสนับสนุนระยะยาวยังไม่เพียงพอ

บทเรียนจาก ‘วิกฤตตอร์ติญ่า’ ในเม็กซิโกก็ทำให้เห็นว่า การเปิดเสรีนำเข้าไม่ได้หมายความว่าผู้บริโภคหรือเกษตรกรจะได้ประโยชน์ตรงๆ ราคาที่ถูกลงอาจถูกกลุ่มทุนผูกขาด และเกษตรกรรายย่อยถูกบีบจนต้องเลิกอาชีพ สำหรับไทย ทางออกที่ยั่งยืนคือการเสริมศักยภาพเกษตรกรรายย่อย ส่งเสริมเกษตรที่พึ่งพาตนเอง ลดความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้าง และออกแบบนโยบายที่เป็นธรรม ฟังเสียงคนในพื้นที่อย่างแท้จริง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจเกษตรในระยะยาว

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง