ท่อวางผิดกับปัญหาที่ยังทับซ้อน เมื่อสิทธิชุมชนบ้านนางแตนยังถูกละเลยในโครงการรัฐ

โครงการพัฒนาระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ มูลค่ากว่า 79 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่ตำบลท่าผา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง กลับกลายเป็น ‘ปัญหาทับซ้อน’ เมื่อแนวท่อส่งน้ำถูกวางพาดผ่านไร่นาของชาวบ้านนางแตน ส่งผลให้พื้นที่ทำกินซึ่งควรสร้างผลผลิต กลับกลายเป็นดินเสียที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้ ชาวบ้านจึงต้องเผชิญทั้งความสูญเสียทางเศรษฐกิจและความกังวลเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินของตนเอง

แม้โครงการจะประกาศแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่ นั่นคือ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เหตุใดแบบแปลนโครงการจึงไม่ถูกเปิดเผย และเหตุใดเสียงคัดค้านจากชาวบ้านจึงไม่ได้รับการพิจารณา การร้องเรียนที่ส่งไปยังหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่เทศบาล ป.ป.ช. กสม. จนถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน ยังไม่ปรากฏแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน สถานการณ์นี้จึงไม่ใช่เพียงปัญหาท่อในไร่นา หากสะท้อนถึงความท้าทายและรอยรั่วในระบบการบริหารงานของรัฐ

ความเคลื่อนไหวของชาวบ้านนางแตน รวมถึงการสนับสนุนจากภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ทำให้เรื่องนี้ก้าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หนึ่งในข้อเรียกร้องสำคัญคือ การนำท่อออกจากที่ดินของประชาชน เพื่อคืนความเป็นธรรมและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำกินของชุมชน

หากพิจารณาจากเหตุและผล การก่อสร้างโดยสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 จังหวัดลำปาง สังกัดกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องผิดโดยตรง เพราะสารตั้งต้นชัดเจนว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง ประชาชนจำเป็นต้องมีน้ำเพียงพอเพื่อหล่อเลี้ยงผลผลิตทางการเกษตรและสนับสนุนการอุปโภคน้ำภายในพื้นที่

ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับสร้างความเสียหายต่อพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน และยังไม่สามารถสรุปได้ว่าความผิดพลาดเกิดจากฝ่ายใด กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อค้นหาและกำหนด “ความรับผิดชอบ” ที่ควรเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้การแก้ปัญหาน้ำกลายเป็นเพียงเรื่องราวของความสูญเสีย

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่ทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิมนุษยชน ได้ออกแถลงข่าวเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ หลังจากลงพื้นที่และตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ภาพ: สำนักข่าวอิศรา

จุมพล ขุนอ่อน ที่ปรึกษาสำนักงาน กสม. ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบและงบประมาณสนับสนุนจากกรมทรัพยากรน้ำ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับเกษตรกรรมในพื้นที่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทำกินกลับสร้างผลกระทบต่อประชาชน ทำให้กรณีนี้ยังคงต้องติดตามกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและกำหนดความรับผิดชอบต่อไป

“เทศบาลตำบลท่าผามีหนังสือถึงสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 ขอให้พิจารณาเพิ่มความยาวท่อส่งน้ำและจุดปล่อยน้ำ และขอให้ปรับย้ายแนวท่อส่งน้ำออกจากบริเวณถนนคอนกรีตเสริมเหล็กช่วงหนึ่ง เนื่องจากมีรางระบายน้ำซึ่งใช้อยู่เดิมฝังอยู่ใต้ถนน สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 จึงได้ย้ายตำแหน่งการวางท่อส่งน้ำไปก่อสร้างชิดไหล่ถนนด้านล่างซึ่งติดกับพื้นที่ทางการเกษตรของผู้ร้องและประชาชนเจ้าของที่ดิน ทั้ง 9 ราย อันเป็นเวลาภายหลังจากที่ได้มีการประชาพิจารณ์ไปแล้ว”

ทั้งนี้ ก่อนที่สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 จะปรับย้ายตำแหน่งท่อส่งน้ำตามคำขอของเทศบาลตำบลท่าผา หน่วยงานดังกล่าวไม่ได้ประสานให้ผู้ร้องและประชาชนเจ้าของที่ดินทั้ง 9 ราย เข้าร่วมชี้แนวเขตที่ดิน หากมีการแจ้งให้เจ้าของที่ดินร่วมชี้แนวหรือจัดให้มีการรังวัดตรวจสอบแนวเขตก่อนดำเนินการ ก็จะทราบได้ว่าบริเวณไหล่ถนนด้านล่างช่วงที่เกิดข้อพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดของผู้ร้องและเจ้าของที่ดินทั้ง 9 ราย ซึ่งเป็นเรื่องที่หน่วยงานรัฐสามารถใช้ความระมัดระวังได้

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้เสนอแนวทางแก้ไขและมาตรการ 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

1. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 ประสานงานกับเทศบาลตำบลท่าผา และประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อปรึกษาหารือและหาทางออกร่วมกัน หากมีการรื้อถอนท่อ ต้องคืนสภาพที่ดินเดิมและพิจารณาค่าชดเชยอย่างเป็นธรรม

2. ให้กรมทรัพยากรน้ำกำกับการปฏิบัติงานโครงการในลักษณะเดียวกันอย่างเข้มงวด โดยต้องใช้พื้นที่อย่างระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลพื้นที่จากสำนักงานที่ดินอย่างเคร่งครัด

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้ดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลปกครองเชียงใหม่ทันที โดยมีผู้ฟ้องจำนวน 17 คน ส่วนกรมทรัพยากรน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 และเทศบาลตำบลท่าผา เป็นผู้ถูกฟ้องคดี หลังจากนี้ หน้าที่ในการให้ความเป็นธรรมตกอยู่กับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต้องดำเนินการอย่างรัดกุมและรวดเร็วเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน

ท่ามกลางความสับสนและสิทธิชุมชนที่เปราะบาง เมื่อประชาชนยังไร้เสียงในโครงการรัฐ

ภาพ: ช่องข่าวลำปาง-Newslampang.com

แม้ว่ากระบวนการยุติธรรมจะยังดำเนินอยู่ แต่ประชาชนในพื้นที่กลับต้องเผชิญความสับสนจากการดำเนินโครงการน้ำของรัฐ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ชาวบ้านถูกเชิญเข้าร่วมประชุมที่วัดนางแตน ตำบลท่าผา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ภายใต้ชื่องานว่า “ประชุมเชิงปฏิบัติการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โครงการซ่อมแซมระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ลำน้ำแม่ยาว สนับสนุนเกษตรแปลงใหญ่”

แต่เมื่อประชุมจริง กลับพบว่ากิจกรรมดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ โครงการก่อสร้างกล่องเกเบี้ยนกันตลิ่งพัง ในจุดตั้งบ่อสูบจากแม่น้ำวัง ซึ่งเป็นจุดเดียวกับโครงการเดิม ประชาชนหลายคนได้แสดงความเห็นว่า โครงการมูลค่ากว่า 80 ล้านบาทแล้วเสร็จมา 1 ปี แต่ปริมาณน้ำที่ได้นั้นยังน้อยมาก และปัญหาเดิมยังไม่ได้รับการแก้ไข จึงควรแก้ปัญหาเดิมให้เสร็จก่อนดำเนินโครงการใหม่

ระหว่างการประชุม เจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรน้ำแจ้งว่า หากประชาชนไม่ลงมติในครั้งนี้ ‘โครงการจะไม่สามารถดำเนินต่อได้ เพราะงบประมาณจะตกไป’ ส่วนการใช้น้ำได้จริง เจ้าหน้าที่ระบุว่า ‘ต้องรอ งบประมาณปี 2570’ เพื่อให้กรมทรัพยากรน้ำจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำและส่งมอบให้กับเทศบาลตำบลท่าผา

สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นความขาดความชัดเจนในการสื่อสารและการมีส่วนร่วมของประชาชน แม้ว่าจะมีการประชุมรับฟังความคิดเห็น แต่ข้อกังวลของชาวบ้านเกี่ยวกับผลกระทบและการใช้น้ำยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม

หากพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าแนวทางแก้ไขปัญหาของรัฐ อย่างการบริหารแบบรวมศูนย์ของราชการสะท้อนความไม่เข้าใจต่อบริบทพื้นที่ การดำเนินงานจึงไร้ประสิทธิภาพและไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน 

เหตุการณ์ที่บ้านนางแตนสะท้อนปัญหาการก่อสร้างโครงการของรัฐที่ถูกทิ้งร้าง ใช้งานไม่ได้ กลายเป็น ‘อนุสาวรีย์คอร์รัปชัน’ หรืออนุสาวรีย์ผุพังตามกาลเวลา ไร้ผู้รับผิดชอบและการตรวจสอบ ทั้งที่ใช้งบประมาณแผ่นดินมหาศาลซึ่งมาจากภาษีของประชาชน เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความขาดความรอบคอบและประสิทธิภาพของโครงการภาครัฐ แต่ยังชี้ให้เห็นความเปราะบางของสิทธิชุมชนและความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐต่อประชาชน

เรื่องราวของบ้านนางแตนจึงไม่ใช่เพียงข้อพิพาทเรื่องท่อส่งน้ำ แต่เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการจัดการโครงการสาธารณะ การมีส่วนร่วมของประชาชน และความโปร่งใสในการใช้งบประมาณแผ่นดิน ผลลัพธ์ของเหตุการณ์ครั้งนี้จะกลายเป็นเครื่องชี้วัดว่ารัฐสามารถสร้างความเป็นธรรมและคืนความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้หรือไม่

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง