เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล
ถ้ากล่าวถึงครูบาในแดนล้านนา แน่นอนว่าชื่อ ‘ครูบาเจ้าศรีวิชัย’ คงจะปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับแรกๆ ด้วยเพราะเป็นครูบาที่ผู้คนทั้งในและนอกภาคเหนือต่างเลื่อมใสศรัทธา เชื่อถือกันว่าเป็นผู้มีบารมีมาก เป็นผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระนักพัฒนา และได้ชื่อว่าเป็นตนบุญแห่งล้านนา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในหมู่พระสงฆ์ทางภาคเหนือยังมีครูบาอื่นๆ อีกเป็นจำนวนหนึ่งที่ผู้คนโดยทั่วไปก็ได้ให้ความเคารพและเลื่อมใสศัรทธาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ปัจจุบัน ก็ได้ปรากฏว่ามีพระสงฆ์ภาคเหนือที่เป็นครูบาอีกเป็นจำนวนมาก เลยเป็นที่มาของเรื่องราวที่จะหยิบมากล่าวถึงในละลานล้านนาครั้งนี้ เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับครูบา ในประเด็นที่ว่าตัวอย่างครูบาที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธาในลักษณะเดียวกันกับครูบาเจ้าศรีวิชัย แล้วครูบาคืออะไร และสงฆ์แบบใดจึงจะได้ชื่อว่าเป็นครูบา
ครูบาขาวปี และครูบาชัยยะวงศา สองครูบาผู้ได้ว่าชื่อเป็นอีกต้นเก๊าหนึ่งของครูบาในล้านนา

ครูบาขาวปี หรือครูบาอภิชัยขาวปี เป็นครูบาที่ได้ชื่อว่าบวช 3 ครั้ง และครองผ้าขาว 3 ครั้ง โดยประวัติแล้วท่านมีชื่อเดิมว่าจำปี เป็นชาวบ้านแม่เทย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เมื่ออายุ 16 ปี ก็ได้บวชเป็นสามเณรกับครูบาเจ้าศรีวิชัยที่วัดบ้านปาง และเมื่ออายุ 22 ก็ได้บรรพชาเป็นภิกษุ มีฉายาว่า พระอภิชัย หรืออภิชัยภิกขุ ในระหว่างที่ครองผ้าเหลือง ท่านได้มุ่งมั่นงานก่อสร้างปฏิสังขรณ์วัดร้างต่างๆ ตามแนวทางของครูบาเจ้าศรีวิชัย โดยได้เดินทางไปก่อสร้างศาสนสถานทั่วล้านนา ทั้งในลำพูน ลำปาง พะเยา เชียงใหม่ ตาก สุโขทัย และยังได้ข้ามเขตแดนไปยังประเทศพม่าแถบลุ่มน้ำสาละวินด้วย
ต่อมาเมื่อครูบาขาวปีอายุได้ 35 ปี ก็มีเหตุให้ต้องสึกจากการเป็นสงฆ์ เนื่องจากต้องโทษตาม พ.ร.บ.ลักษณะเกณฑ์ทหาร ร.ศ.124 (พ.ศ. 2448) ถูกจำคุก 6 เดือน ซึ่งในระหว่างนั้นท่านก็ได้ห่มผ้าขาวและสังเกตว่าโรงพยาบาลลำพูนทรุดโทรมมาก จึงได้ริเริ่มการก่อสร้างและมีประชาชนที่เลื่อมใสเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันเอาบุญอย่างคับคั่ง จนโรงพยาบาลแล้วเสร็จ ซึ่งตามประวัติระบุว่าได้แล้วเสร็จในช่วงเวลาเดียวกันที่ครูบาขาวปีท่านพ้นโทษพอดี
เมื่อพ้นโทษแล้ว ครูบาขาวปีก็ได้บวชอีกครั้งที่วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ แล้วอยู่จำพรรษากับครูบาเจ้าศรีวิชัยที่นั่นเป็นเวลาหนึ่ง ก่อนจะจาริกไปสร้างวัดและโรงเรียนอีกหลายแห่ง และก็ได้เจอเหตุที่ทำให้ต้องลาสิกขาอีกเป็นครั้งที่ 2 คือในปี พ.ศ. 2465 ขุนระมาดไมตรี กำนันคนแรกของอำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อยากจะสร้างพระพุทธรูป หินอ่อน หน้าตักว้าง 1.3 เมตร สูง 1.6 เมตร มูลค่า 800 บาท จึงได้นิมนต์ครูบาขาวปีไปเป็นประธานสร้างฝ่ายสงฆ์ ซึ่งท่านก็ทำการบอกบุญไป แต่จากนั้นก็ได้มีการร้องเรียนกันว่าท่านเรี่ยไรเอาเงินถือเป็นการผิดระเบียบสงฆ์ ทางเจ้าคณะจังหวัดจึงมีมติให้สึก และท่านก็ได้กลับมานุ่งห่มสีขาวอีกเป็นครั้งที่สอง
ในระหว่างการนุ่งห่มขาวครั้งที่สองนี้ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยกำลังสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ครูบาขาวปีจึงได้พาเอาชาวกะเหรี่ยงที่เลื่อมใสในตัวท่านจำนวนกว่า 500 คน ไปช่วยทำถนนจนแล้วเสร็จ จากนั้นก็มาพักอยู่ที่วัดพระสิงห์ และครูบาเจ้าศรีวิชัยก็ได้ทำการบวชให้ท่านอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นการกลับสู่ร่มกาสาวพัสตร์คราวที่สาม
แต่การบวชในครั้งนี้กลับกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัยต้องอธิกรณ์อีกครั้ง ด้วยเหตุที่ว่าทำการบวชให้แก่ ‘ผ้าขาวปี๋ หรือหนาวขาวปี๋’ ซึ่งเป็นผู้ที่คณะสงฆ์มีประกาศห้ามมิให้บวชอีก และในระหว่างที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยลงไปต่อสู้คดีที่กรุงเทพฯ ครูบาขาวปีที่อยู่ดูแลวัดพระสิงห์ก็ถูกมหาสุดใจ เจ้าอาวาสวัดเกตุการาม และพระครูอีกรูปหนึ่งจากวัดพันอ้น ข่มขู่ให้ลาสิกขา เพื่อที่จะได้ไม่เป็นเหตุให้ครูบาเจ้าศรีวิชัยถูกทางการสยามเอาเรื่อง ซึ่งครูบาขาวปีก็ได้ปฏิบัติตามนั้น คือลาสิกขาแล้วมาห่มผ้าขาวอีกเป็นครั้งที่สาม หากแต่ยังคงครองวัตรปฏิบัติเช่นเดียวกับพระสงฆ์โดยทั่วไป ซึ่งท่านก็ได้ครองตนอยู่อย่างนั้นจนตราบจนสิ้นอายุขัย

ด้าน ครูบาชัยยะวงศา หรือครูบาชัยยะวงศาพัฒนา หรือมักเรียกกันสั้นๆ ว่าครูบาวงศ์ ท่านก็เป็นพระนักก่อสร้าง นักพัฒนาเช่นกัน และยังได้ชื่อว่าเป็นนักบุญของชาวปกาเกอะญอ โดยเฉพาะที่บ้านห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
ตามประวัติแล้ว ครูบาวงศ์ได้บรรพชาเป็นสามเณรกับครูชัยลังกาเมื่ออายุได้ 13 ปี และด้วยความที่เป็นสามเณรที่มีความขยันหมั่นเพียร จึงได้ถูกเพื่อนสามเณรพากันกลั่นแกล้ง และเมื่ออายุได้ 20 ปีก็บวชเป็นภิกษุ มีฉายา ‘ชัยยะวงศา’ มีครูบาพรหมจักรเป็นพระอุปัชฌาย์ โดยท่านได้ออกจาริกและได้พบชาวปกาเกอะญอที่บ้านห้วยต้ม ท่านก็ได้บุกเบิกปฏิสังขรณ์และก่อสร้างถาวรวัตถุหลายอย่าง เช่น วิหารครอบรอยพระพุทธบาท พระเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปจำนวนกว่า 8 หมื่น 4 พันองค์ และได้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านห้วยต้ม
ทั้งนี้ ในระหว่างที่เป็นภิกษุช่วงวัย 22 ปี ครูบาวงศ์เป็นหนึ่งในผู้ที่นำกำลังคน (ชาวปกาเกอะญอ) ไปช่วยครูบาเจ้าศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพจนแล้วเสร็จ จากนั้นก็ไปจำพรรษาที่วัดจอมหมอก อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในระหว่างนั้นครูบาเจ้าศรีวิชัยได้ถูกฝ่ายต่อต้านตั้งอธิกรณ์ ซึ่งหมายรวมมาถึงบรรดาลูกศิษย์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยด้วย และหนึ่งในนั้นคือครูบาวงศ์
ผลคือท่านถูกเจ้าคณะตำบลจับสึก แต่ท่านก็ได้เลือกที่จะนุ่งห่มขาวและยังคงรักษาวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดอย่างพระสงฆ์เช่นเดียวกับครูบาขาวปี รวมทั้งได้ติดตามครูบาเจ้าศรีวิชัยไปซ่อมแซมพัฒนาวัดบ้านปางจนเสร็จสิ้น
กระทั่งครูบาวงศ์อายุได้ 28 ปี เป็นช่วงเวลาที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยได้มรณภาพลง สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างพระสงฆ์ล้านนากับทางการสยามก็ผ่อนคลาย ครูบาวงศ์จึงได้รับการอุปสมบทใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยมีครูบาบุญมาจากวัดบ้านโฮ่ง เป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นท่านก็จาริกไปสร้าง ไปบุณะวัดวาต่างๆ จนอายุได้ 34 ปี จึงได้กลับไปจำพรรษ ณ วัดห้วยต้มจนกระทั่งมรณภาพลงในปี พ.ศ. 2543
อันที่จริงแล้ว ยังมีครูบาอื่นๆ อีกมากที่มีความน่าสนใจและควรที่ยกมากล่าวถึง เช่น ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง อำเภอแม่แตง เป็นหมอยาแผนโบราณ หรือครูบากัญจนะ จากเมืองแพร่ ที่เชี่ยวชาญเรื่องการจาร รวบรวมคัมภีร์ใบลาน หากแต่ด้วยข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะด้านเวลา จึงทำให้ไม่อาจกล่าวถึงได้ทั้งหมด
โดยนิยามแล้วครูบาคืออะไร และสงฆ์แบบใดจึงจะได้ชื่อว่าเป็นครูบา
คำว่าครูบา มีผู้อธิบายว่ามาจากภาษาบาลีคือ ‘ครุปิ อาจาริโย’ หมายถึงครูและอาจารย์ ซึ่งมักจะนำมาใช้โดยกร่อนเหลือเพียง ‘ครุปา’ ที่ต่อมาก็เพี้ยนเป็นครูบา เป็นคำที่พบได้ในวัฒนธรรมล้านนาเป็นหลัก โดยหมายถึงพระสงฆ์ ผู้ที่ได้รับการพิจารณาเลือกสรรแล้วว่ามีจริยวัตรเรียบร้อย มั่นคงในพระธรรมวินัย เป็นที่ยอมรับทั้งจากคณะสงฆ์และฆราวาส หรือมีผลงานปรากฏแก่ชุมชน เช่น การก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ สร้างวัดวาอาราม ถนนหนทาง หรือสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ เป็นต้น
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีคำว่าครูบาปรากฏในกลุ่มวัฒนธรรมอื่นด้วย เช่น วัฒนธรรมอีสานที่ใช้คำว่าครูบาในการเรียกพระนวกะ หรือพระบวชใหม่
ในอดีต ล้านนาเคยมีการสถาปนาครูบาที่จะทำโดยให้เจ้าผู้ครองนครเป็นรดน้ำมุรธานแก่พระสงฆ์ที่ได้รับเลือก และในการสถาปนาครั้งสุดท้ายมีขึ้นในสมัยพลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ ที่กระทำการรดน้ำแด่ครูบาอภัยสารทะ เจ้าอาวาสวัดฝายหิน ก่อนที่คณะสงฆ์ล้านนาก็ถูกเรียกอำนาจการบริหารจัดการเข้าไปรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันมีข้อมูลว่าการสรงน้ำเช่นนี้ยังคงมีอยู่ที่เมืองยอง และเมืองเชียงตุง รัฐฉาน
จากการสืบค้น พบข้อมูลระบุว่าครูบาถือเป็นตำแหน่งของพระสงฆ์ที่ต้องพร้อมทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ โดยมีการเทียบเคียงกับทำเนียบสมณศักดิ์ของเมืองเชียงตุงว่าพระครูบาเป็นตำแหน่งของพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้มีอายุ 40 และมีพรรษา 20 ขึ้นไป
แต่สำหรับในล้านนา มีผู้ให้ข้อมูลว่าจะต้องเป็นพระสงฆ์จะต้องมีอายุ 45 ปีขึ้นไปจึงจะได้เป็นครูบา แต่ถึงอย่างนั้น เกณฑ์ดังกล่าวนี้ก็ไม่ได้ถือเป็นกฎที่ตายตัว ดังที่ในปัจจุบันก็จะว่ามีพระที่อายุน้อยหลายรูปได้รับการยกย่องเป็นครูบาก็มี และสำหรับพระสงฆ์หรือสามเณรที่พยายามเร่งรัดกระบวนการให้ถูกยอมรับนับถือในฐานะครูบานั้น คนเหนือก็จะเรียกกันว่า ‘ครูบาอุ๊กแก๊ส’ หรือ ‘ครูบาบ่มแก๊ส’
อย่างไรก็ดี จากการศึกษาของ ณัฐพงศ์ ดวงแก้ว เรื่อง การศึกษากระแส “ครูบาคติใหม่” ในภาคเหนือของไทย พุทธทศวรรษ 2530-2550 ระบุว่าครูบาเป็นคำที่ไม่ได้มีนิยามชัดเจนมาตั้งแต่อดีต โดยส่วนใหญ่จะมีความหมายในลักษณะกว้างๆ เช่น เป็นผู้มีคุณวุฒิ มีวัยวุฒิ นอกจากนี้ยังเป็นคำที่เกิดจากศรัทธา ไม่ใช่ตำแหน่งในการปกครองทางสงฆ์แต่อย่างใด
หมายความว่าพระสงฆ์ที่มีความเฉพาะในทางใดทางหนึ่ง หรือเป็นที่พึ่งของคนทั่วไป หรือพระสงฆ์ที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสศรัทธา เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คน ก็สามารถที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นครูบาได้
แต่ถึงกระนั้น ณัฐพงศ์ ดวงแก้ว ได้อธิบายว่าปัจจุบันคติเกี่ยวกับครูบาได้มีเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็น ‘ครูบาคติใหม่’ ที่เริ่มขยายตัวและมีอิทธิพลต่อวงการสงฆ์ในภาคเหนือมาตั้งแต่ทศวรรณ 2530 อันเนื่องมาจากการผลิตซ้ำ ‘ความเป็นครูบาเจ้าศรีวิชัย’ และความไม่ชัดเจนในความหมายของคำว่าครูบาเอง ซึ่งครูบาคติใหม่นี้จะมีลักษณะที่อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า (1) มักจะมีความเกี่ยวข้องกับครูบาเจ้าศรีวิชัยในทางใดทางหนึ่งเสมอๆ เช่น การแต่งกายด้วยจีวรสีกลัก การนุ่งห้าแบบรัดหน้าอก การใช้แสดงอากัปกิริยาในลักษณะวางตนเป็นผู้วิเศษ เป็นพระนักพัฒนา เป็นผู้อนุรักษ์จารีตประเพณีวัฒนธรรมล้านนนา (เป็นล้านนานิยม) หรือในบางกรณีก็มีการกล่าวอ้างว่าเป็นครูบาเจ้าศรีวิชัยกลับชาติมาเกิด
และ (2) ครูบาคติใหม่มักมีการปรับตัวให้สอดรับกับ ‘ความไม่มั่นคง’ ของผู้คนในยุคปัจจุบัน กล่าวคือก็ยังครูบาจำนวนหนึ่งที่ได้รับการยกย่องขึ้นมาเนื่องจากบทบาทการป็นพระนักพัฒนา เป็นพระผู้มีความสามารถเฉพาะในทางใดทางหนึ่ง แต่ขณะเดียวก็มีครูบาจำนวนมากที่ปรับเปลี่ยนตนเองให้ตอบสนองต่อความไม่มั่นคงของผู้คนในบุคปัจจุบัน เช่น มีการประยุกต์พิธีกรรมเพื่อสร้างความมั่นคงในด้านการเงิน การงาน ความรักให้แก่ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธา มีการสร้างพระ สร้างวัตถุมงคลเพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นเนื้อนาบุญให้แก่ลูกศฺษย์ลูกหา หรืออาจะมีการประยุกต์คำสอนเพื่อให้ตอบสนองต่อการสร้างความมั่นคงในชีวิต เช่น การสั่งสอนที่เน้นให้มีการสร้างบุญให้มาก ให้เยอะ เพื่อที่จะได้เกิดใหม่ในสถานะที่ดีกว่าเดิม เป็นต้น
ดังนั้นแล้ว ก็คงจะต้องสรุปโดยอนุมานเอาว่าครูบา คือ พระสงฆ์ที่ได้รับความเคารพบูชาจากประชาชนโดยทั่วไปและภายในหมู่สงฆ์ด้วยกันเอง แล้วถูกยกย่องให้เป็นครูบา ซึ่งจะเป็นครูบาเนื่องมาด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เป็นพระผู้ปฏิบัติดี เป็นพระนักพัฒนา เป็นพระที่นิยมสร้างวัด สร้างโรงพยาบาล สร้างถนนหนทาง หรืออาจพระเป็นผู้วิเศษ มีอำนาจอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ก็สุดแท้แต่ผู้ที่เคารพเชิดชูครูบานั้นๆ ซึ่งใครใคร่จะเคารพศรัทธาครูบาที่โดดเด่นในด้านใดก็สุดแท้แต่ใจของตัวเก่าเขาอีกนั่นแล
รายการอ้างอิง
สุธานี จันทร์รัตนสิริ. ชีวประวัติครูบาเจ้าอภิชัย (ขาวปี). พิมพ์ครั้งที่ 5, ลำพูน : ณัฐพลการพิมพ์, 2552.
ณัฐพงศ์ ดวงแก้ว. การศึกษากระแส “ครูบาคติใหม่” ในภาคเหนือของไทย พุทธทศวรรษ 2530 – 2550. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2559.
“ครูบาชัยยะวงศา” นักบุญของชาวกะเหรี่ยง
รู้ไปโม้ด: ครูบา – ตนบุญ (ตอนจบ)

ปวีณา หมู่อุบล
อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน