21 กันยายน 2568 ที่ห้องประชุมเฮือนสมัย จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มผู้ใช้น้ำ ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ ได้ร่วมวงสนทนาในหัวข้อ ‘การฟื้นฟูมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ระบบเหมืองฝายล้านนา ความท้าทาย และโอกาส’ เพื่อสะท้อนความกังวลของชาวบ้านและผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรม กรณีการรื้อ ‘ฝายผญาคำ’ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา

การประชุมครั้งนี้มีการอ่านแถลงการณ์โดย ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานมูลนิธิสืบสานล้านนา ซึ่งระบุเหตุผล 9 ประการว่าทำไมจึง ‘ไม่ควรรื้อฝาย’ ดังนี้
1. ฝายไม่ใช่สาเหตุหลักของน้ำท่วมเชียงใหม่ จากข้อมูลการล้นตลิ่งของแม่น้ำปิง จุดที่น้ำเริ่มเอ่อคือบริเวณสะพานภาค 5 ซึ่งอยู่ห่างจากฝายพญาคำไปทางท้ายน้ำราว 2.5 กิโลเมตร โดยสิ่งที่กีดขวางน้ำจริงๆ คือโครงสร้างตอม่อสะพานและการรุกล้ำลำน้ำ หากฝายพญาคำเป็นต้นเหตุ น้ำควรจะท่วมตั้งแต่บริเวณฝายก่อนแล้ว ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดน้ำท่วม เช่น ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น ป่าต้นน้ำที่หายไป พื้นที่เมืองกลายเป็นคอนกรีต ลำน้ำสายรองถูกตัดขาด แม่น้ำปิงแคบลงจากการรุกล้ำ รวมถึงถนนที่กีดขวางทางน้ำ ดังนั้น การกล่าวโทษฝายพญาคำ หรือคาดหวังว่าการขุดลอกและรื้อฝายจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมทั้งหมด จึงอาจไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง และยังเสี่ยงสร้างความคาดหวังเกินจริง

2. ประสิทธิภาพการระบายน้ำของฝายพญาคำไม่ได้เป็นปัญหา ปัจจุบันฝายกว้าง 96 เมตร จากเดิม 130 เมตร โดยสาเหตุที่แคบลงมาจากการทำคันดินล้ำเข้ามาในแม่น้ำของหน่วยงานรัฐ ส่งผลให้พื้นที่ระบายน้ำก่อนระดับล้นตลิ่ง (+3.70 ที่จุด P1) เหลือราว 239 ตร.ม. ซึ่งยังมากกว่าพื้นที่ใต้สะพานภาค 5 ที่มีเพียง 144 ตร.ม. หากมีการคืนพื้นที่ฝายให้กว้างเท่าเดิม 130 เมตร จะทำให้พื้นที่ระบายน้ำเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 300 ตร.ม. ซึ่งไม่ได้น้อยไปกว่าค่าเฉลี่ยของพื้นที่ในเมือง


3. ข้อมูลการยกตัวของน้ำและการสะสมตะกอนที่ใช้เป็นเหตุผลในการรื้อฝาย เป็นเพียงการเปรียบเทียบโดยประมาณ ไม่ใช่การคำนวณที่สะท้อนสภาพจริง การทดลองที่ใช้ระบบปิดและควบคุมให้แม่น้ำเป็นเส้นตรงทั้งหมด ไม่สามารถนำมาเทียบกับสภาพแม่น้ำจริงที่มีความกว้าง แคบ โค้ง สูง ต่ำต่างกันในแต่ละจุดได้ ดังนั้นจึงไม่อาจสรุปผลแบบเดียวกันได้ อีกทั้งการประเมินการระบายน้ำควรทำจากภาพตัดขวางของแม่น้ำในแต่ละช่วง จึงจะสะท้อนประสิทธิภาพที่แท้จริง ส่วนการกล่าวว่าฝายเป็นตัวสะสมตะกอนก็ยังเป็นเพียงหลักการ ยังไม่มีข้อมูลเชิงวัดผลหรือการคำนวณผลกระทบที่ชี้ชัด และถึงแม้จะมีตะกอนสะสม หากมีการออกแบบพื้นที่อย่างเหมาะสม ก็สามารถจัดการขุดลอกตะกอนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมเมืองได้ โดยไม่จำเป็นต้องรื้อฝาย
4. กระทบมรดกภูมิปัญญา ‘ภูมิปัญญาการทำเหมืองฝาย’ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในสาขา ความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ในระดับชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2558 และต่อมาในปี พ.ศ. 2559 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ตามมาตรา 25 มรดกที่ขึ้นทะเบียนก่อนวันบังคับใช้กฎหมายจะถือเป็นมรดกที่อยู่ในบัญชีตามพระราชบัญญัติ ฉะนั้นภูมิปัญญาการทำเหมืองฝาย จึงได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการและอยู่ภายใต้หน้าที่ต้องได้รับการส่งเสริมและรักษาตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติฉบับนี้

5. เสียประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม พื้นที่บริเวณฝายปัจจุบันได้สร้างระบบนิเวศย่อยที่เอื้อต่อการอนุบาลสัตว์น้ำตามธรรมชาติและช่วยเพิ่มออกซิเจนในน้ำ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่พักผ่อนและพื้นที่ทางสังคมของคนหลากหลายกลุ่ม การพัฒนาฝายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำพร้อมกับรักษาประโยชน์เชิงสิ่งแวดล้อม เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแม่น้ำ และพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาการจัดการน้ำแบบล้านนา จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและทำได้หากมีการออกแบบปรับปรุงพื้นที่อย่างเหมาะสม
6. กระบวนการมีส่วนร่วมไม่รอบด้าน การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นภายใต้โครงการขุดลอกและรื้อฝายเป็นไปโดยหน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการ ซึ่งให้ข้อมูลสนับสนุนการรื้อเป็นหลัก ส่งผลให้เกิดข้อกังขาเรื่องความเป็นกลาง (conflict of interest) กระบวนการมีส่วนร่วมที่เหมาะสมควรจัดโดยองค์กรที่เป็นกลาง ให้ข้อมูลครบทุกมิติ พิจารณาทางเลือกหลากหลาย และประเมินผลกระทบจากทางเลือกแต่ละทางอย่างรอบด้าน
7. ต้องมีระบบน้ำสำรองหลายแบบ แม้โครงการขุดลอกและรื้อฝายจะเตรียมผันน้ำเข้าลำเหมืองผ่านประตูระบายน้ำท่าวังตาล ซึ่งอยู่ห่างจากฝายพญาคำไปท้ายน้ำราว 3.8 กิโลเมตร แต่หลักการของเมืองที่มีความสามารถในการปรับตัว (Resilience city) ระบุว่าไม่ควรพึ่งพาระบบใดเพียงระบบเดียว หากประตูน้ำมีปัญหา จะต้องมีระบบสำรองให้น้ำเลี้ยงเหมืองได้ต่อเนื่อง เมื่อเปรียบเทียบการใช้เครื่องสูบน้ำที่สิ้นเปลืองงบประมาณและต้องดูแลรักษา กับระบบเหมืองฝายที่นอกจากจะจัดการน้ำได้แล้วยังสร้างคุณค่าในเชิงวัฒนธรรม การมีส่วนร่วม และสิ่งแวดล้อม โดยมีต้นทุนต่ำกว่า การฟื้นฟูเหมืองฝายจึงน่าจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนกว่าในระยะยาว

8. ไม่ควรตัดขาดรากเหง้าวัฒนธรรม เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และรากฐานทางวัฒนธรรมต่อเนื่องยาวนานกว่า 700 ปี ระบบเหมืองฝายถือเป็นมรดกภูมิปัญญาที่สืบสานมาถึงปัจจุบัน การพัฒนาที่เหมาะสมควรใช้ความรู้ใหม่มาต่อยอด ไม่ใช่การตัดทิ้งภูมิปัญญาเดิมแล้วนำสิ่งใหม่มาแทน
9. ควรเปิดการมีส่วนร่วมสูงสุด ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่าต้องแก้ไข แต่แนวทางที่เหมาะสมไม่ใช่การรื้อฝายหรือปล่อยทิ้งไว้ตามเดิม หากแต่ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น เมืองเชียงใหม่เต็มไปด้วยผู้คนที่รักบ้านเมืองและมีความรู้หลากหลาย การดำเนินการของรัฐที่กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม จึงควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทั้งในการคิด วางแผน ดำเนินการ รับประโยชน์ และประเมินผล โดยกรณีฝายพญาคำและปัญหาน้ำท่วมนั้น การตั้งคณะทำงานที่รวมภาคส่วนต่างๆ มาร่วมกันศึกษา ออกแบบ และวางแผน น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสม และวางรากฐานการทำงานร่วมกันอย่างยั่งยืนในอนาคต

ท้ายที่สุด เสียงสะท้อนจากชุมชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคมต่างไปในทางเดียวกันว่า การแก้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ไม่ควรเร่งรีบรื้อถอนมรดกภูมิปัญญา แต่ควรมองหาทางออกที่ผสมผสานทั้งการพัฒนาเชิงวิศวกรรม การอนุรักษ์คุณค่าทางวัฒนธรรม และการดูแลสิ่งแวดล้อม ข้อเสนอ 9 ประการที่ถูกนำเสนอจึงไม่ใช่เพียงการปกป้องฝายพญาคำเท่านั้น แต่ยังเป็นการชี้แนวทางใหม่ในการจัดการเมือง ที่ตั้งอยู่บนการฟังเสียงประชาชน การเคารพความหลากหลาย และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




