ภาพ: มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน
23 กันยายน 2568 มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน (Friends Without Borders Foundation) เผยข้อห่วงใยและความคิดเห็นต่อการเตรียมเปิดให้ผู้ลี้ภัยในพื้นที่พักพิงชายแดนออกไปทำงานอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

สืบเนื่องจากเมื่อ 26 สิงหาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว เปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมามากกว่า 77,000 คน ที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว 9 แห่งตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา สามารถทำงานในประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย
นโยบายนี้ถูกผลักดันขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่งบประมาณช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากต่างประเทศถูกตัดลด โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา การระงับเงินช่วยเหลือด้านการพัฒนาของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานในค่ายผู้ลี้ภัย ทำให้ระบบบริการสุขภาพและกิจกรรมสำคัญหลายอย่างต้องหยุดชะงัก สะท้อนถึงความเปราะบางของการพึ่งพางบประมาณต่างชาติ และทำให้เสียงเรียกร้องต่อการหาทางออกที่ยั่งยืนดังขึ้นอีกครั้ง หนึ่งในข้อเสนอที่ถูกพูดถึงมาตลอดคือการปลดล็อก ให้ผู้ลี้ภัยสามารถออกมาทำงานได้ เพื่อลดภาระของรัฐในระยะยาวและเพิ่มโอกาสให้ผู้ลี้ภัยพึ่งพาตนเอง
มาตรการดังกล่าว กำหนดเงื่อนไขชัดเจน ได้แก่
1. คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมายต้องยื่นขออนุญาตออกนอกพื้นที่ควบคุม โดยมีนายอำเภอหรือปลัดอำเภอเป็นผู้พิจารณา
2. ต้องตรวจสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐและขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน หรือทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
3. ยื่นคำขออนุญาตทำงานทางอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง อาทิ ทะเบียนผู้หนีภัย ใบอนุญาตออกนอกพื้นที่ ใบรับรองแพทย์ และหลักฐานประกันสุขภาพ โดยชำระค่าธรรมเนียม 100 บาท แต่ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานครั้งแรก
4. นายทะเบียนออกใบอนุญาตทำงานได้ไม่เกิน 1 ปี ให้สิทธิทำงานกับนายจ้างได้ทุกประเภทที่กฎหมายไม่ได้ห้าม
ต่อมา วันที่ 22 กันยายน 2568 กรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า การดำเนินการจะเริ่มจริงในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยมีขั้นตอนสำคัญ 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ผู้ประสงค์จะจ้าง ไปคัดเลือกผู้ลี้ภัยในพื้นที่พักพิงฯ
2. แจ้งรายชื่อผู้ลี้ภัย พร้อมทั้งสถานที่ทำงานให้ สจจ.ต้นทางทราบ
3. ขออนุญาตออกนอกพื้นที่ (โดยกรมการปกครอง)
4. คนงานรายงานตัว ณ กรมการปกครอง
5. ตรวจสุขภาพและทำประกันสุขภาพ (โดยกระทรวงสาธารณสุข)
6. ขออนุญาตทำงาน ณ สจจ. ที่สถานที่ทำงานตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ (ไม่เกิน 1 ปี)
มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดนและเครือข่าย ระบุว่าได้ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ทั้งจากประกาศของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงาน คำให้สัมภาษณ์ของผู้เกี่ยวข้อง ความเคลื่อนไหวบริเวณชายแดน รวมถึงเสียงสะท้อนจากภาคประชาสังคม ผู้ลี้ภัย และชุมชนท้องถิ่น ก่อนที่นโยบายจะถูกกำหนดเป็นแนวปฏิบัติเป็นลายลักษณ์อักษรและมีผลในทางปฏิบัติ
โดยมูลนิธิฯ ได้ระบุข้อกังวลสำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1. อิสระในการหางาน ผู้ลี้ภัยควรมีสิทธิขออนุญาตออกนอกพื้นที่พักพิงฯ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย (8 กันยายน 2568) เพื่อไปหานายจ้างที่มีการจ้างงานอยู่แล้ว หรือหางานด้วยตนเอง มากกว่าที่จะให้นายจ้างเข้ามาคัดเลือกแรงงานในค่ายโดยตรง ซึ่งจะทำให้พื้นที่พักพิงทางมนุษยธรรมกลายเป็นค่ายแรงงาน และอาจนำไปสู่ปัญหาสิทธิมนุษยชนและปัญหาสังคมในระยะยาว
2. กลไกการบริหารจัดการร่วม รัฐควรผลักดันกลไกการจัดการที่มีส่วนร่วมจากภาครัฐ เอกชน และชุมชนผู้ลี้ภัย เพราะหากให้นายจ้างติดต่อแรงงานในค่ายโดยตรง ไม่ว่าจะกับชาวบ้านหรือกรรมการค่ายฯ ก็อาจกลายเป็นการใช้บริการนายหน้าคนกลาง ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกแสวงประโยชน์หากไม่มีระบบตรวจสอบที่รัดกุม
3. สนับสนุนการทำงานรอบค่าย ชุมชนเกษตรท้องถิ่นจำนวนมากพึ่งพาแรงงานผู้ลี้ภัย ขณะที่ผู้ลี้ภัยเองก็ต้องการทำงานใกล้บ้าน การจ้างงานในพื้นที่รอบค่ายอย่างถูกกฎหมายควรได้รับความสำคัญ โดยควรขยาย “พื้นที่ควบคุม” ให้ครอบคลุมอย่างน้อยในเขตตำบลที่ตั้งและพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมผ่อนผันให้การจ้างงานในพื้นที่ดังกล่าวไม่ต้องผ่านขั้นตอนอนุญาตทำงาน เพื่อลดความยุ่งยากและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น
4. การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผู้ลี้ภัยถือเป็นบุคคลที่อยู่ในความคุ้มครองของรัฐบาลไทยและสำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) จึงควรได้รับการเคารพในเสรีภาพการเลือกงานและเลือกนายจ้าง เท่าเทียมกับสิทธิของนายจ้างที่สามารถเลือกแรงงานได้
5. สถานะทางกฎหมายของแรงงานผู้ลี้ภัย ผู้ลี้ภัยที่ออกไปทำงานควรถูกระบุสถานะว่าเป็น “แรงงานจากพื้นที่พักพิงผู้หนีภัยฯ” แทนที่จะถูกนับรวมเป็น “แรงงานต่างด้าว” ในกรอบเดียวกับแรงงานข้ามชาติ (migrant worker) เพราะแม้จะยังไม่ได้ถือสัญชาติไทย แต่ผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ก็มีข้อมูลทะเบียนและถิ่นที่อยู่ในไทยอย่างชัดเจนภายใต้ฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย
มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดนย้ำว่า ภาคประชาสังคมชายแดนและเครือข่ายมิตรสหายพร้อมให้ความร่วมมือทั้งในด้านข้อมูลและการปฏิบัติ เพื่อให้การจัดการนโยบายการจ้างงานผู้ลี้ภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์ในระยะยาว
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




