25 กันยายน 2568 ชาวบ้านผู้ใช้น้ำฝายพญาคำ ร่วมกับเครือข่ายพัฒนาองค์ความรู้ฝายพญาคำ (คคค) และภาคีผู้มีใจฮักบ้านฮักเมืองเชียงใหม่ จัดพิธีสู่ข้าวเอาขวัญฝายพญาคำ พร้อมวงสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อสะท้อนความกังวลต่อการรื้อ ‘ฝายพญาคำ’ ที่ดำเนินต่อเนื่องมากว่า 5 วันติดต่อกัน โดยตลอดช่วงเวลาดังกล่าวมีกลุ่มประชาชนคอยเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดริมฝั่งแม่น้ำปิง


นอกจากพิธีกรรมและวงสนทนา ภายในงานยังมีการจัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบเหมืองฝาย ให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ความสำคัญของฝายพญาคำในฐานะแหล่งน้ำและมรดกชุมชนที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนเชียงใหม่


ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานมูลนิธิสืบสานล้านนา กล่าวในวงสนทนาว่า ข้อเรียกร้องของชาวบ้านไม่ใช่การคัดค้านการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐ อย่างการขุดลอกแม่น้ำปิง แต่ไม่เห็นด้วยกับการรื้อฝายทั้ง 3 แห่ง เนื่องจากไม่ใช่สาเหตุหลักของน้ำท่วมเชียงใหม่ เขายังเน้นว่า รัฐบาลควรหาทางแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยวิธีที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่เชียงใหม่มุ่งพัฒนาเป็น ‘เมืองแห่งวัฒนธรรม’ นโยบายของรัฐกลับกลายเป็นการทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ประชาชนพยายามรักษาไว้
“เราไม่ได้คัดค้านการแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่เราต้องการให้รัฐแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยวิธีที่ยั่งยืน เชียงใหม่กำลังจะพัฒนาให้กลายเป็นเมืองที่โดดเด่นด้านวัฒนธรรม แต่ในวันนี้นโยบายของรัฐกลับกำลังทำลายวัฒนธรรมของเรา”

ช่วงสุดท้ายมีการอ่านแถลงการณ์ ‘คัดค้านการรื้อถอน ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล’ โดยระบุว่า โครงการรื้อถอนฝายโบราณทั้ง 3 แห่ง อันเป็นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 เรื่อง ‘การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก ระยะเร่งด่วน’ ที่เสนอโดยกระทรวงคมนาคม กำลังเร่งรื้อถอนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 แม้โครงการจะถูกอ้างว่าเป็นมาตรการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยน้ำท่วม แต่กลับไม่รับฟังเสียงของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

การรื้อถอนจะทำลายระบบเหมืองฝายซึ่งใช้ผันน้ำจากแม่น้ำปิงเข้าสู่ชุมชนมาช้านาน โดยไม่มีมาตรการรองรับที่ชัดเจนและโปร่งใส อีกทั้งยังไม่มีการประเมินผลกระทบด้านมรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม ทั้งที่ฝายทั้ง 3 ถือเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านการทำเหมืองฝายที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ ได้รับการขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมระดับชาติ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. 2559
ความเสียหายที่เกิดขึ้นถือเป็นการละเมิดสิทธิของชุมชนในการจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำ ตลอดจนสิทธิในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมภูมิปัญญา วัฒนธรรม และจารีตประเพณี ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 43 (1) และ (2) รับรองไว้ อีกทั้งยังขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

เครือข่ายจึงแสดงเจตนารมณ์ในการพิทักษ์สิทธิตามที่กฎหมายรับรอง โดยอ้างอิงอำนาจตามมาตรา 24 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรมฯ ซึ่งให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมสั่งระงับโครงการได้ เมื่อโครงการใดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อมรดกภูมิปัญญาที่ขึ้นบัญชีไว้ ทั้งนี้เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 เครือข่ายได้ยื่นหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแล้ว ผ่านระบบร้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวง
นอกจากนี้ยังย้ำว่า คณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัดเชียงใหม่ มีหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายในการคุ้มครองและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อมรดกภูมิปัญญาที่ขึ้นบัญชีไว้ ดังนั้นประชาชนจึงมีสิทธิทวงถามถึงการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าว

แถลงการณ์ปิดท้ายว่า หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติและจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ดำเนินการใดๆ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดโครงการรื้อถอนฝายทั้ง 3 แห่ง เครือข่ายยืนยันว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้มีหน้าที่ที่ละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการรื้อถอนจะเริ่มขึ้นแล้ว กลุ่มประชาชนยังคงปักหลักเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และยืนยันว่าจะอยู่ในพื้นที่ต่อไปจนกว่าการรื้อฝายจะแล้วเสร็จ การรวมตัวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของชุมชนท้องถิ่นที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิในการจัดการทรัพยากรและวัฒนธรรมของตนเอง ขณะเดียวกันก็เป็นบททดสอบสำคัญต่อการทำงานของรัฐว่าจะสามารถหาทางออกที่สมดุลระหว่างการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกับการรักษามรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นได้อย่างแท้จริงหรือไม่
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...