เรื่อง: ศศิธร ศรีโคตร
การคุมกำเนิด หรือ การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญต่อการวางแผนครอบครัว รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในสภาวะการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ในอดีตสังคมไทยเองก็มีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ผ่านการใช้ยาแผนโบราณเช่นกัน เช่น ในสมัยอยุธยาที่พยายามบำบัดรักษากามโรคด้วยภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม[1] ส่วนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพบว่ามีการออกกฎหมายควบคุมและป้องกันโรคติดต่อทางเพศ คือ พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รศ.127 แต่ลักษณะของกฎหมายถูกดำเนินไปในเชิงนโยบายของรัฐเพื่อควบคุมพลเมืองไม่ให้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทและควบคุมโรงโสเภณีในสยาม และเป็นวิธีการป้องกันโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์[2] ทว่าการควบคุม หรือการป้องกันโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ในระดับปัจเจกพบว่ายังไม่ปรากฏเด่นชัดนัก สืบเนื่องจากการรับรู้เรื่องการป้องกันระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ในสังคมไทยยังไม่ก้าวหน้าและยังคงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
กล่าวได้ว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นหนึ่งในโรคระบาดที่มักกล่าวถึงอยู่เสมอในบันทึกหลักฐานของชาวต่างชาติที่เข้ามาในสังคมไทย[3] เมื่อกามโรคเป็นปัญหาที่ต้องจัดการเพราะระบาดในหมู่บุรุษ ทหาร และบรรดาเสือป่าเป็นจำนวนมากในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวส่งผลให้มีการพระราชนิพนธ์ความรู้ในการป้องกันกามโรคไว้ในคู่มือทหารและเสือป่า[4] อีกทั้งในช่วงเวลาเดียวกันยังพบว่ามีการปรากฏโฆษณายารักษากามโรคจากต่างประเทศในหนังสือพิมพ์ที่มีเนื้อหาสำหรับบำบัดรักษาโรคบุรุษ หรือ กามโรค ดังภาพโฆษณาภาพที่ 1 เช่น ยาตะรุริน ยาโซโดกงน และยาดอกโซ เป็นต้น[5]
กระทั่งต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2473 รัฐบาลไทยได้จัดตั้งแผนกบำบัดกามโรคขึ้นเป็นครั้งแรกในสถานพยาบาลของรัฐ โดยดำเนินการรักษาผ่านการใช้ยาตามแนวคิดของแพทย์ตะวันตก เห็นได้ว่า การระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นปัญหาที่รัฐต้องเข้ามาจัดการเพราะ “กามโรคร้ายแรงและพึงรังเกียจเกลียดกลัวเป็นที่สุด[6]”

จากที่กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่าสังคมไทยมีแนวคิดการรับรู้เรื่องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ผ่านการออกกฎหมายรวมถึงการโฆษณายาต่างๆ ทั้งนี้ เนื่องในวันที่ 26 กันยายน เป็นวันคุมกำเนิดโลก (World Contraception Day) จึงใคร่ที่จะพาทุกคนย้อนกลับไปสู่ช่วง พ.ศ. 2500 – 2520 เพื่อสำรวจอุปกรณ์ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ ถุงยางอนามัยว่ามีพัฒนาการในการตั้งชื่อและวัตถุประสงค์ในการใช้ถุงยางอนามัยอย่างไร อันเป็นวิธีการป้องกันโรคติดต่อและการป้องกันปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อมจากฝ่ายชาย
การนิยามความหมายของเครื่องมือป้องกันในการมีเพศสัมพันธ์ช่วงทศวรรษ 2500
ถุงยางอนามัยเข้าไทยครั้งแรกเมื่อใดยังไม่ปรากฏข้อมูลชัดเจนนัก แต่จากบันทึกความทรงจำของเทพชู ทับทอง ในแง่ของความทรงจำเรื่อง ผู้หญิง, ความรัก และเซ็กส์ในอดีต ช่วงทศวรรษ 2480 ได้สะท้อนให้เห็นถึงการขายถุงยางอนามัยในย่านที่คึกคักไปด้วยโสเภณี ดังความว่า “ในสมัยก่อนและหลังสงคราม ผู้เขียนเคยเห็นแขกนั่งแบกะดินขายถุงยางคู่กับน้ำมันจิ้งเหลนในเวิ้งนครเกษม กับเห็นจีนนั่งขายคู่กับแว่นตาที่ถนนเจริญกรุง แถวสามแยกเป็นประจำ”[7] เห็นได้ว่า ข้อมูลดังกล่าวปรากฏภาพที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการขายถุงยางอนามัย โดยเฉพาะในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวทศวรรษ 2480 ที่พบว่ามีการจำหน่ายถุงยางอนามัยคู่กับน้ำมันจิ้งเหลนในสังคมไทยแล้วผ่านพ่อค้าชาวต่างชาติทั้งแขกและจีน โดยเฉพาะย่านที่มีการเปิดโรงโสเภณี
แม้ในช่วงดังกล่าวพบว่ามีการจำหน่ายถุงยางอนามัยในไทยแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์หลักไม่ได้เป็นไปเพื่อ “การคุมกำเนิด” ทว่าเป็นเครื่องมือป้องกันที่ถูกออกแบบมาสำหรับ “ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” เป็นหลัก โดยเฉพาะในสภาวะสงครามที่เกิดการแพร่ระบาดสูง เช่น กามโรค ซิฟิลิส และหนองใน ฯลฯ จึงทำให้ในช่วงทศวรรษ 2480 มีการเรียกถุงยางอนามัยว่า “เกราะกันภัย” เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ “ใช้สำหรับป้องกันโรคติดต่อจากโสเภณี”[8] อีกทั้งเกราะกันภัยหรือถุงยางอนามัยนั้นมักถูกมองในแง่ลบและผู้คนส่วนใหญ่จะไม่นิยมนำไปใช้กับภรรยาของตนเอง ทว่าจะใช้เกราะกันภัยหรือถุงยางอนามัยก็ต่อเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีการคุมกำเนิดชั่วคราวของฝ่ายชาย ซึ่งในสังคมไทยพบว่ามีการผลิตและมีชื่อเรียกคำศัพท์ที่เรียกใช้แทนอุปกรณ์การคุมกำเนิดที่หลากหลายและแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ โดยในช่วงต้นทศวรรษ 2500 เราพบว่าถุงยางอนามัยในอดีตถูกเรียกว่า “ปลอกยาง” หรือ บางคนนิยมเรียกเป็นศัพท์สแลงว่า “เสื้อกันฝน” หรือ “เกราะกันภัย”[9] โดยศัพท์ข้างต้นสามารถพบได้ทั่วไปตามหนังสือให้ความรู้เรื่องเพศและการคุมกำเนิด นอกจากนี้ยังมีคำเรียกอื่นๆ เช่น ปลอก ถุง เกราะ หรือ เสื้อ ทว่าไม่ว่าจะเรียกด้วยคำใดก็ตาม ทั้งบ๋อยโรงแรมหรือหมอตามร้านขายยาต่างรู้จักอุปกรณ์เหล่านี้กันจนสามารถหยิบของได้ถูกตามความต้องการของผู้บริโภคเสมอ[10] (โรงซ่อมสุขภาพ, 2517, น.165) ถึงแม้ถุงยางจะถูกใช้เรียกเป็นชื่อมาตั้งแต่แรกเริ่มในการป้องกันโรคจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่คนในสังคมไทยกลับนิยมเรียกแทนด้วยศัพท์สแลงมากกว่า

ช่วงทศวรรษ 2500 เกราะกันภัย หรือ เสื้อกันฝน มีลักษณะเป็นยางบางและนิ่ม บริเวณปลายถุงมีกระเปาะเล็กๆ สำหรับเก็บน้ำอสุจิไม่ให้เข้าไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิง โดยแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ แบบสวมเพียงครึ่งเดียว จะหุ้มเพียงบริเวณปลายเพนนิส มีราคาค่อนข้างสูง ชนิดต่อมาเป็นรูปแบบมาตรฐานที่นิยมซึ่งมีจำหน่ายแพร่หลายในประเทศไทย และสุดท้าย คือ ชนิดโลดโผน มีลักษณะคล้ายกับแบบมาตรฐานแต่มีการประดิษฐ์ลูกเล่นโดยการเพิ่มปุ่ม ปม หรือเส้นขน[11] เพื่อเพิ่มอรรถรสระหว่างเสพสมกามารมณ์ด้วยเช่นกัน
สำหรับราคาของถุงยางอนามัยหรือที่มีชื่อเรียกหลายชื่อว่าเกราะกันภัย หรือเสื้อกันฝนนั้นพบว่ามีหลายราคา ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อและคุณภาพของวัสดุ ส่วนราคาจำหน่ายในช่วงต้นทศวรรษ 2500 พบว่ามีราคาตั้งแต่อันละ 2 – 9 บาท ขณะที่แบบโลดโผนมีราคาอันละ 10 – 25 บาท ส่วนถุงยางอนามัยยี่ห้อมีชัย ขาย 3 ชิ้น ในราคา 5 บาท เป็นสินค้าที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปเพราะมีทั้งร้านที่ปูกับพื้นและห้างร้านต่างๆ ด้วย[12] แม้จะมีคำกล่าวว่าถุงยาง หรือ เกราะกันภัยที่มีราคาไม่แพง แต่เมื่อเทียบกับฐานะของคนทั่วไป เกราะกันภัยอาจมีราคาแพงหากใช้เป็นประจำ เพราะหนึ่งชิ้นสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่ภายใต้ข้อจำกัดดังกล่าวก็มีกรณีที่มีการนำกลับมาใช้ซ้ำเช่นกัน โดยเฉพาะชนิดที่เหนียวและทนทานสามารถใช้ได้ซ้ำได้ 5 – 6 ครั้ง[13] ดังปรากฏข้อความในหนังสือ เรื่อง ความรู้ระหว่างเพศ ปัญหา ถาม – ตอบ ที่อธิบายให้เห็นเกี่ยวกับขั้นตอนการนำถุงยางกลับมาใช้ซ้ำในการร่วมเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์ ดังความว่า
“ถุงยางที่ดีๆ เมื่อใช้แล้วควรกลับล้างให้สะอาด ซับให้แห้ง โรยฝุ่น (อย่างเดียวกับถุงมือ) ม้วนให้เรียบร้อย เก็บไว้ในที่ที่อากาศไม่ร้อนจัดเกินไปและในที่แห้ง จะใช้ได้หลายครั้ง ถ้าสงสัยจะเสื่อมคุณภาพ เช่นเวลาเป่าแรงๆ รู้สึกว่า จะมีลมออกหรือมีรูบ้าง หรือเห็นว่าใช้นานแล้วก็ควรทิ้งเสีย”[14]

นอกจากนี้ ในศตวรรษที่ 18 วัสดุในการผลิตถุงยางอนามัยนิยมใช้กระเพาะปัสสาวะและลำไส้ของแกะ หรือกระเพาะปลาสำหรับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทว่าเมื่อเทคโนโลยีการผลิตยางก้าวหน้าส่งผลให้ถุงยางอนามัยถูกพัฒนาขึ้น ทำให้ปลอกที่ทำจากหนัง (Skin Condom) เสื่อมความนิยมลง ขณะที่ถุงยางที่ทำด้วยยางสังเคราะห์ เรียกว่า ลาเท็กซ์โพสเซส (Latex Process) ได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากวัสดุมีคุณภาพดี ทนทาน และได้รับการตรวจสอบคุณภาพจากโรงงานการผลิต นอกจากนี้ยังมีราคาถูกกว่าแบบหนังด้วย[16] ถึงแม้ว่า สังคมไทยจะมีการรับรู้เรื่องการใช้ถุงยางอนามัยหรือเกราะกันภัยที่เผยแพร่ในวงการแพทย์หรือความรู้เรื่องเพศนั้น และมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตลอดจนวางจำหน่ายหลากหลายราคาในช่วงต้นทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา แต่ในยุครัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียุคแรก พ.ศ. 2481 – 2487) พบว่าได้มีการใช้เกราะกันภัยเพื่อป้องกันกามโรค ทว่าในแง่ของการคุมกำเนิดนั้นยังเป็นข้อห้ามไม่ให้ใช้เกราะกันภัย เนื่องด้วยในยุคดังกล่าวรัฐบาลมีเป้าประสงค์ในการเพิ่มจำนวนพลเมือง ดังนั้นการคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยจึงอนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นทางการแพทย์ หรือใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น[17]
อย่างไรก็ตาม ระยะต่อมาราวทศวรรษ 2500 การสวมเกราะกันภัยเริ่มมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันปัญหาสภาวะไม่พร้อมมีบุตรและป้องกันโรคติดต่อ โดยเฉพาะในช่วง พ.ศ. 2504 ที่สะท้อนให้เห็นกรณีของ พ.พ. ถนนสุริวงศ์ ชายหนุ่มผู้เข้าสู่ชีวิตสมรสราวสี่เดือน ได้เขียนปัญหามาปรึกษาเนื่องด้วยทั้งตนและภรรยายังไม่ต้องการมีบุตร แพทย์หญิงจึงอธิบายถึงหลักการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวแก่ฝ่ายชาย 2 วิธี คือ การหลั่งน้ำกามภายนอกช่องคลอด และการสวมเกราะป้องกันภัย (Condom) โดยอธิบายเพิ่มเติมว่าวิธีที่สองเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะส่วนมากเกราะกันภัยมักใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ชายในยุคดังกล่าวจึงนิยมใช้เมื่อไปใช้บริการทางเพศกับหญิงโสเภณี แต่การร่วมเพศภรรยามักไม่นิยมใช้อุปกรณ์ป้องกันนัก ทว่ากรณีที่ต้องการคุมกำเนิดก็สามารถใช้ได้เช่นกัน[18] กระนั้นจึงกล่าวได้ว่าช่วง พ.ศ. 2504 นั้น วงการแพทย์เองการเรียกถุงยางอนามัยว่า “เกราะป้องกันภัย” ในวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2519 การใช้ถุงยางอนามัยยังคงมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ก็มีบางกรณีที่พบว่ามีการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวกับภรรยาด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าคนส่วนมากจะนิยมใช้เกราะกันภัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อจากหญิงขายบริการเป็นหลัก แต่ปัญหาเรื่องบนเตียงเป็นปัญหาหลักของคู่รักหลายคู่ ดังพบว่ามีการปรึกษาปัญหาเรื่องบนเตียงและเรื่องการป้องกันโรคติดต่อด้วยการส่งปัญหาไปปรึกษาที่โรงซ่อมสุขภาพ เช่น นัชวริน จากจังหวัดลำปาง ที่จับได้ว่าสามีของตนเองนั้นติดกามโรคมาจากหญิงอื่นและมาแพร่เชื้อให้แก่ตน ทว่าทั้งสองก็รักษาจนหาย แต่ปัญหาจริงๆ อยู่ที่ความสัมพันธ์บนเตียงไม่ราบรื่นดังเดิม เพราะเธอพบว่าผู้เป็นสามียังคงมีพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ กระนั้นแล้วหมอจึงแนะนำให้จัดการปัญหาดังกล่าวโดยการให้สามีของเธอ “หุ้มเกราะ” ในทุกครั้งขณะที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันกามโรค[19] เห็นได้ว่า ในวงการแพทย์ถุงยางอนามัยถูกแนะนำให้ใช้สำหรับ “หุ้มเกราะ” อันเป็นการป้องกันปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาในบริบทของคู่รักด้วยเช่นกัน
กระทั่งระยะต่อมาประเทศไทยเริ่มดำเนินนโยบายควบคุมจำนวนประชากรอย่างเป็นทางการ เนื่องจากปัญหาด้านประชากรมีความสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับประเทศ โดยมีกำหนดนโยบายทางด้านประชากรไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2515 – 2519 อันมีเป้าประสงค์เพื่อลดอัตราการเพิ่มของประชากรที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขดำเนินงานสนับสนุนการวางแผนครอบครัว รวมถึงมอบหน้าที่ให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเป็นผู้แจกจ่ายยาคุมกำเนิด แต่ประชากรบางส่วนยังส่วนไม่ได้รับบริการอย่างทั่วถึง เนื่องจากข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์เป็นสำคัญ[20]


ภาพที่ 5 นายมีชัย วีระไวทยะ และผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยมีชัย พร้อมสโลแกนมีลูกมากจะยากจนอันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายการคุมกำเนิด[22]
จากปัญหาดังกล่าว จึงได้ก่อตั้งสำนักงานบริการวางแผนครอบครัวชุมชนขึ้น โดยมีนายมีชัย วีระไวทยะ เป็นผู้อำนวยการ และดำเนินงานผ่านวิธีโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนในพื้นที่ต่างๆ รู้จักวิธีคุมกำเนิด โดยเฉพาะการให้แนะนำแก่คนทั่วไปให้รู้จักถุงยางอนามัยและยาเม็ดในการคุมกำเนิด และมีการรณรงค์การแจกจ่าย “ถุงยางอนามัยยี่ห้อมีชัย” ในพื้นที่ต่างๆ ด้วย[23] ภายในระยะเวลาที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างแพร่หลายนี้เองทำให้ภาพลักษณ์ของถุงยางอนามัยเปลี่ยนแปลงมาสู่อุปกรณ์สำหรับ “การคุมกำเนิด” อย่างเต็มตัวเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่ดำเนินงานสนับสนุนการวางแผนครอบครัว นอกจากนี้คำว่า “มีชัย” ยังถูกนำมาเรียกแทนเกราะกันภัยด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงการนิยามความหมายการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดผ่านการใช้ชื่อบุคคลที่ชื่อว่า “นายมีชัย วีระไทยะ” ซึ่งเป็นแกนหลักของการรณรงค์แจกจ่ายถุงยางมาใช้ในการเรียกแทนชื่อถุงยางในช่วง พ.ศ.2515 เป็นต้นมา นอกจากนี้การดำเนินนโยบายจากภาครัฐยังส่งผลให้ประชาตื่นตัวมากขึ้นในการใช้ถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด ดังภาพที่ 4 ที่พบว่าชาวบ้านอาสาสมัครของสำนักงานวางแผนครอบครัวชุมชนใช้เรือหางยาวส่งยาคุมกำเนิดและถุงยางอนามัยมีชัยในยามน้ำท่วม
อย่างไรก็ตาม สังคมไทยได้พยายามเผยแพร่ความรู้ในการคุมกำเนิดผ่านคู่มือการดูแลรักษาสุขภาพสำหรับประชาชน โดยได้ให้ความหมายการคุมกำเนิดสำหรับการวางแผนครอบครัวดังความว่า “การคุมกำเนิด คือ การป้องกันไม่ให้มีลูก เมื่อยังไม่ต้องการจะมี หรือมีลูกเพียงพอกับความต้องการแล้ว”[24] ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการคุมกำเนิดเป็นนโยบายระดับชาติที่มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อส่งเสริมการเติบโตของจำนวนประชากรในประเทศให้สอดคล้องกับสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ประชากรในประเทศเติบโตในครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้คำอธิบายเรื่องสุขภาพอนามัยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาแห่งการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาคุมกำเนิดด้วยวิธีการข้างต้นยังส่งผลเกี่ยวเนื่องให้การเรียกชื่ออุปกรณ์คุมกำเนิดสำหรับฝ่ายชายแปรเปลี่ยนไปด้วย จาก “เกราะกันภัย” มาสู่การใช้คำว่า “มีชัย” ควบคู่กับใช้คำว่า “ถุงยางอนามัย” ก่อนที่ระยะต่อมาจะเน้นการเรียกว่า “ถุงยางอนามัย” อย่างแพร่หลายดังที่รู้จักกันในปัจจุบัน
นอกจากจากนี้วัตถุประสงค์ในการใช้ถุงยางอนามัยยังแปรเปลี่ยนไปด้วย กล่าวคือ จากเดิมในทศวรรษก่อน 2500 นิยมใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากหญิงโสเภณีเป็นหลัก โดยเฉพาะกามโรค ซิฟิลิส และหนองใน ฯลฯ อีกทั้งไม่นิยมการสวมหรือใช้อุปกรณ์ป้องกันดังกล่าวกับภรรยา จนถึงช่วงต้นทศวรรษ 2500 ถุงยางอนามัยยังคงมีจุดประสงค์ในลักษณะเดิมอยู่ คือ ใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทว่าปรากฏกรณีที่เริ่มมีการใช้ถุงยางอนามัยสำหรับการคุมกำเนิดขึ้นบ้างแล้ว ดังเช่นกรณีที่แพทย์แนะนำสวมใส่เพื่อป้องกันการมีลูกสำหรับครอบครัวที่ยังไม่พร้อม แต่วิธีการดังกล่าวยังไม่เป็นที่นิยมนัก กระทั่งระยะต่อมาใน พ.ศ. 2515 เกิดการส่งเสริมและสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ ของรัฐอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะโรงพยาบาล โรงเรียน และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการโฆษณาประชาสัมพันธ์การใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อป้องกันการคุมกำเนิด ดังนั้น ในระยะนี้เป็นต้นมาวัตถุประสงค์ในการใช้ถุงยางอนามัยจึงครอบคลุมทั้งการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนา
รายการอ้างอิง
[1] กามโรคในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. 2567.
[2] พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค ร.ศ.127. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 24, 23 มีนาคม ร.ศ.126, น.1365-1370. ศัลย์. “เสื้อกันฝน.” เพศศึกษาและปรัชญา 2,15 (พฤษภาคม 2516): น. 81 – 89.
[3] ชาติชาย มุกสง. จากปีศาจสู่เชื้อโรค: ประวัติศาสตร์การแพทย์กับโรคระบาดในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: มติชน.2563. น.72.
[4] กามโรคในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. 2567. น.79-80.
[5] กรุงเทพเดลิเมล์ (18 กรกฎาคม 2456): 8.
[6] กรมศิลปากร. กามโรคในสังคมไทย. กรุงเทพฯ:2567, อ้างถึงในเอกสารสาธารณสุข เรื่อง แถลงการณ์สาธารณสุขพิเศษ พ.ศ. ๒๔๖๙. น.173.
[7] เทพชู ทับทอง. ผู้หญิง, ความรัก และเซ็กส์ในอดีต. กรุงเทพฯ: ประมวลสาสน์, มปป. น.152.
[8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 152.
[9] ภัทราวดี. สมบัติกุลสตรี. พิมพ์ครั้งที่ 4. พระนคร: อุดมศึกษา, 2510. น.355-357.
[10] บพิธ เฟื่องนคร (บรรณาธิการ). “ว่าด้วยปลอกอนามัย เกราะกันภัย หรือเสื้อกันฝน.” โรงซ่อมสุขภาพ เล่มที่ 28 ( กันยายน 2517): น. 165.
[11] เพียร. คุมกำเนิดอย่างพิสดาร. พระนคร: เกษมบรรณกิจ, 2507. น.16-19.
[12] เทพชู ทับทอง. ผู้หญิง, ความรัก และเซ็กส์ในอดีต. กรุงเทพฯ: ประมวลสาสน์, มปป. น.154-155.
[13] เพียร. คุมกำเนิดอย่างพิสดาร. พระนคร: เกษมบรรณกิจ, 2507. น.22.
[14] บุตร บุญประดิษฐวณิช. ความรู้ระหว่างเพศ ปัญหา ถาม – ตอบ, พิมพ์ครั้งที่ 2. พระนคร: โอเดียนสโตร์: ,2504. น.245-246.
[15] ภาพจาก: บพิธ เฟื่องนคร (บรรณาธิการ). โรงซ่อมสุขภาพ เล่มพิเศษ เคล็ดลับผลดีและผลร้ายในการคุมกำเนิด. พระนคร: อักษรเสรี, 2514, น.26
[16] โรงซ่อมสุขภาพ เล่มพิเศษ เคล็ดลับผลดีและผลร้ายในการคุมกำเนิด. พระนคร: อักษรเสรี, 2514. น.165-166.
[17] ก้องสกล กวินรวีกุล. “การสร้างร่างกายพลเมืองไทยในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม พ.ศ. 2481 – 2487.”
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. น.51.
[18] บุตร บุญประดิษฐวณิช. ความรู้ระหว่างเพศ ปัญหา ถาม – ตอบ, พิมพ์ครั้งที่ 2. พระนคร: โอเดียนสโตร์: ,2504. น.245-251.
[19] บพิธ เฟื่องนคร (บรรณาธิการ). “ว่าด้วยปลอกอนามัย เกราะกันภัย หรือเสื้อกันฝน.” โรงซ่อมสุขภาพ เล่มที่ 28 ( กันยายน 2517): น. 164.
[20] พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค ร.ศ.127. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 24, 23 มีนาคม ร.ศ.126, น.1365-1370.ศัลย์. “เสื้อกันฝน.” เพศศึกษาและปรัชญา 2,15 (พฤษภาคม 2516): น. 81 – 89.
[21] ภาพจาก: “การผันการวางแผนครอบครัวไปสู่หมู่บ้าน” เพศศึกษาและปรัชญา 4,45 (ธันวาคม 2518), น. 115.
[22] “การผันการวางแผนครอบครัวไปสู่หมู่บ้าน” เพศศึกษาและปรัชญา 4,45 (ธันวาคม 2518): น. 112 – 115. บพิธ เฟื่องนคร (บรรณาธิการ).
[23] ภาพจาก. โฆษณาถุงยางอนามัยมีชัย. สืบค้นจาก https://www.google.com/imgres. เข้าถึงเมื่อ 12 กันยายน 2568
[24] ประเวศ วะสี และคณะ. คู่มือการดูแลรักษาสุขภาพสำหรับประชาชน. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมล คีมทอง, 2526. น.273.
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...