เรื่อง: พรชิตา ฟ้าประทานไพร และ สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
บ้านกะเบอะดิน คือชุมชนเล็กๆ ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปว์ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผืนป่าและทิวเขา ชาวบ้านต่างพึ่งพิงผืนดินและสายน้ำอันสมบูรณ์เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต ปลูกมะเขือเทศ ฟักทอง และกะหล่ำปลีตามฤดูกาล จนเรียกได้ว่าเป็นแหล่งปลูกผักชั้นเลิศแห่งหนึ่งของเชียงใหม่

แต่แล้วผืนดินที่เต็มไปด้วยความทรงจำและวิถีชีวิตกลับถูกตีค่าเป็นเพียงตัวเลขในแผนที่เศรษฐกิจ พื้นที่ชุมชนกว่า 284 ไร่ ถูกบริษัทหมายตาเพื่อขุดค้นถ่านหิน ชาวบ้านจึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องวิถีชีวิตของตน
เมื่อสัญญาหวานกลายเป็นฟ้าผ่า จุดเริ่มต้นการลุกขึ้นสู้ของชุมชนอมก๋อย

“หกปีก่อน ตอนที่ชาวบ้านเริ่มลุกขึ้นสู้ ผมยังไม่รู้เลยว่าเหมืองคืออะไร หรือมันจะมีผลดีผลเสียอย่างไร”
ณัฐดนัย วุฒิศีลวัต เยาวชนกะเบอะดิน เริ่มเล่าย้อนความหลัง เขาจำได้ว่า ตั้งแต่ยังเป็นเด็กก็ได้ยินผู้ใหญ่พูดถึงเหมืองอยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับคำสัญญาว่าจะมีงานทำ มีเงินใช้ ความคิดแบบนั้นทำให้เขาในวัยเด็กดีใจ เพราะหวังว่าจะได้กินขนม มีของเล่น และได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นๆ ขณะเดียวกัน ชุมชนกะเบอะดินในเวลานั้นแทบไม่มีงานทำ ทุกครอบครัวอยู่ได้ด้วยการปลูกข้าว ทำไร่หมุนเวียน ใครอยากมีรายได้เสริมต้องออกไปหางานในเมือง เส้นทางคมนาคมก็ลำบาก ถนนไม่ดี รถมีไม่กี่คัน ความหวังเรื่องเหมืองจึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกดีใจที่มีเหมือง
“ตอนแรกพวกเราไม่รู้เลยว่าเหมืองน่ากลัวอย่างไร บริษัทบอกแต่สิ่งดีๆ ว่าจะมีงาน มีถนนคอนกรีต แต่ไม่เคยพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จนเมื่อมีพี่ๆ จากองค์กรภาคประชาสังคมเข้ามาให้ความรู้ ทั้งชาวบ้านและเยาวชนจึงเริ่มเข้าใจว่าหากมีเหมืองจริง เราจะต้องเผชิญผลกระทบมากมาย”
ณัฐดนัย เล่าด้วยน้ำเสียงเรียบ ถ้อยคำนี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างเสียงของชุมชนกับหน่วยงานรัฐ

การต่อสู้บนยอดดอยสูงแห่งนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2562 จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านได้รับรู้ข่าวการสัมปทานเหมืองถ่านหิน ไม่ใช่จากการบอกกล่าวของรัฐหรือหน่วยงานใด แต่ผ่านเพจเฟซบุ๊กเล็กๆ ที่ชื่อว่า ‘ส่องกล้องมองอมก๋อย’ ที่เผยแพร่เอกสารประกาศการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อพิจารณาออกใบอนุญาตเหมืองแร่
ข่าวดังกล่าวเหมือนฟ้าผ่าลงกลางหมู่บ้าน เสียงกังวลเริ่มดังขึ้นจากหลายครัวเรือน เพราะคนอมก๋อยรู้ดีว่า ผืนป่าบนภูเขาคือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงลำห้วยและไร่นา วิถีชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติมาตลอดกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะสูญสลาย

ด้วยความห่วงใยต่อป่า น้ำ และอนาคตของลูกหลาน ชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยกับการทำเหมืองจึงเริ่มรวมตัวกันเพื่อลงชื่อคัดค้าน ความเคลื่อนไหวเล็กๆ ค่อยๆ กลายเป็นพลังใหญ่ เมื่อรายชื่อชาวอมก๋อยถูกรวบรวมไว้จำนวนมาก และถูกนำไปยื่นต่อศูนย์ดำรงธรรม เพื่อแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการเหมืองถ่านหิน
แต่การยื่นหนังสือครั้งนั้นไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่หยุดโครงการได้ ชาวบ้านจึงรวมพลังครั้งใหญ่ เกิดเป็นเครือข่ายที่มีชื่อว่า ภาคี #SaveOmkoi เครือข่ายยุติเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย เสียงคัดค้านจึงไม่ได้เป็นเพียงเสียงประปรายอีกต่อไป แต่กลายเป็นพลังที่รวมผู้คนหลากรุ่น หลายบ้าน หลายหมู่ เข้าด้วยกัน เพื่อปกป้องผืนดินที่สืบทอดจากบรรพบุรุษและวิถีชีวิตที่ผูกพันกับภูเขาและแม่น้ำ
ผนึกกำลังด้วยหัวใจสีเขียวเดียวกัน เมื่อชาวอมก๋อยลุกขึ้นปกป้องบ้านเกิด
วันสิ่งแวดล้อมโลกเมื่อ 5 มิถุนายน 2562 ถือเป็นวันที่เสียงของชาวอมก๋อยดังไกลกว่าที่เคย พี่น้องจากหลายหมู่บ้านนัดรวมตัวกันครั้งใหญ่ เดินขบวนรณรงค์จากสะพานคู่รักไปยังที่ว่าการอำเภออมก๋อย เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ว่า คนอมก๋อยไม่ต้องการเหมืองถ่านหินบนแผ่นดินบ้านเกิด

เช้าวันนั้น ผู้คนหลากหลายกลุ่มทยอยมารวมตัวอย่างกระตือรือร้น ทั้งครู นักเรียน อสม. และชาวบ้านจากกะเบอะดินรวมถึงชุมชนรอบข้าง ทุกคนถือป้ายผ้า ธง และผ้าโพกหัวสีเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องทรัพยากร ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์และสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิต
สำหรับชาวอมก๋อย แผ่นดินแห่งนี้ไม่ใช่เพียงพิกัดในแผนที่ หากแต่คือ ‘บ้าน’ ที่พวกเขาพร้อมปกป้องด้วยหัวใจ

เส้นทางการต่อสู้ของชาวอมก๋อยไม่เคยราบรื่น เพราะในระหว่างการรณรงค์แสดงจุดยืนคัดค้านเหมืองถ่านหิน มีแกนนำสองคนถูกบริษัทแจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทจากการเอ่ยชื่อบริษัทต่อหน้าสาธารณะ
คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์การฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) ที่มุ่งกดดันไม่ให้ชุมชนลุกขึ้นต่อต้าน แต่แกนนำทั้งสองยืนยันว่า สิ่งที่พวกเขาพูดคือการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อปกป้องทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ของสาธารณะ สุดท้ายทั้งพนักงานสอบสวนและอัยการจังหวัดฮอดมีความเห็นตรงกันว่า ‘ควรสั่งไม่ฟ้อง’ คดีจึงสิ้นสุดลง
แม้จะเผชิญแรงกดดันทางกฎหมาย แต่ชุมชนกะเบอะดินและพี่น้องอมก๋อยยังคงยืนหยัดอย่างกล้าหาญ การลุกขึ้นปกป้องบ้านเกิดในครั้งนั้นได้ทำให้ชื่อของพวกเขาถูกจดจำในฐานะหนึ่งในขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของประเทศไทย
ไม่เข้าร่วม ไม่ยอมแพ้ จุดเปลี่ยนสำคัญของเยาวชนกะเบอะดิน
ขณะที่ชาวบ้านเพิ่งได้รับรู้ความจริง หน่วยงานด้านอุตสาหกรรมและการเหมืองแร่ก็ยังคงยืนยันเดินหน้าตามกฎหมายแร่ปี 2560 ด้วยการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น เพื่อใช้เป็นขั้นตอนหนึ่งในการขอสัมปทาน
28 กันยายน 2562 ชาวบ้านอมก๋อยและภาคีภาคประชาสังคมตัดสินใจปฏิเสธเข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ โดยมีเหตุผลชัดเจนคือ “การเข้าร่วมก็คือการเปิดทางให้สัมปทานเดินหน้า”
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของชาวกะเบอะดิน และเยาวชนผู้กลายเป็นแรงหลักในการปกป้องบ้านเกิด ตลอดเส้นทางการต่อสู้ ชาวบ้านพยายามทุกวิถีทางเพื่อหยุดโครงการเหมืองถ่านหิน พร้อมสร้างเครื่องมือเพิ่มอำนาจต่อรอง ตั้งแต่การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชน (CHIA) การทำแผนที่ทรัพยากร ไปจนถึงการสื่อสารสาธารณะผ่านเพจ ‘กะเบอะดินดินแดนมหัศจรรย์’ ที่บอกเล่าวิถีชีวิตและการต่อสู้ของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ให้สังคมภายนอกได้เข้าใจ
ขณะเดียวกัน ชุมชนยังเลือกใช้กลไกทางกฎหมาย ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อเพิกถอนรายงาน EIA ที่พบข้อพิรุธ ทั้งการปลอมลายเซ็น ใส่ชื่อเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไปจนถึงข้อมูลไม่สอดคล้องกับพื้นที่จริง ปัจจุบันคดีกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองเชียงใหม่ โดยมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้บริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการใดๆ จนกว่าจะมีคำพิพากษา
ชัยชนะเล็ก แต่พลังยิ่งใหญ่ 6 ปีแห่งการเรียนรู้และปกป้องบ้านเกิดที่จะไม่ยอมหยุดนิ่ง

1 ตุลาคม 2565 ชาวบ้านกะเบอะดิน อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับจดหมายจากศาลปกครองเชียงใหม่ แจ้งคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2565 ในกรณีโครงการเหมืองแร่อมก๋อย ทำให้ช่วงเวลานี้ หน่วยงานและบริษัทที่เกี่ยวข้องไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้
ต่อมาในวันที่ 21 มกราคม 2568 รายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ระบุเส้นทางขนส่งถ่านหินและห่วงโซ่อุปทานของบริษัทที่รับซื้อถ่านหิน ทำให้ชุมชน กรีนพีซ ประเทศไทย และเครือข่ายยุติเหมืองแร่ถ่านหิน ร่วมกันยื่นหนังสือสอบถามข้อเท็จจริงไปยังบริษัทปูซีเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด เกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย และโครงการเหมืองแร่แม่ทะ จังหวัดลำปาง บริษัทชี้แจงว่า มีนโยบายไม่รับซื้อถ่านหินจากพื้นที่อมก๋อย
แม้การยืนยันของบริษัทจะเป็นสัญญาณบวก แต่พื้นที่อมก๋อยยังเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิชุมชน เพราะถ่านหินยังอยู่ในเขตแหล่งแร่ตามแผนแม่บทฉบับที่ 2 ชุมชนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลปลดระวางถ่านหิน จัดทำแผนแม่บทฉบับใหม่ที่สอดคล้องกับมาตรา 17 วรรค 4 ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 และให้ประชาชนมีส่วนร่วม พร้อมหยุดใช้แผนเดิม เพิกถอนพื้นที่สินแร่จากเขตแหล่งแร่ เพื่อคืนอำนาจในการจัดการที่ดินและทรัพยากรให้ชุมชน สร้างโอกาสเติบโตและคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนเปิดทางสู่พลังงานสะอาดและเป็นธรรมอย่างยั่งยืน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวนับเป็นชัยชนะเล็กๆ ของชุมชน ที่สะท้อนให้เห็นว่า 6 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่แค่การยืนหยัดบอกว่า ไม่เอาเหมือง หากแต่เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้และพัฒนาของชุมชน กะเบอะดินได้แปรความกังวลให้กลายเป็นพลัง สร้างองค์ความรู้ ใช้กฎหมาย และส่งเสียงอย่างเป็นระบบ เพื่อปกป้องสิทธิและผืนดินที่เป็นหัวใจของพวกเขาเอง
แม้การต่อสู้จะทำให้บริษัทไม่สามารถขอรับประทานบัตรเพื่อเข้ามาเอาทรัพยากรไปจากชุมชนได้ แต่หนทางของชาวกะเบอะดินยังไม่ถือว่าจบลง กระบวนการทางกฎหมายและข้อจำกัดด้านสิทธิชุมชนยังคงทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อ ขณะที่ความกังวลต่อความไม่แน่นอนในถิ่นที่อยู่อาศัยและที่ทำกินยังคงดำเนินอยู่
“การได้รวมตัวกัน ทำแผนที่ทรัพยากรน้ำ จัดทำข้อมูลประวัติศาสตร์ และยื่นหนังสือคัดค้านไปยังหน่วยงานต่างๆ คือการยืนยันว่า ชาวบ้านกะเบอะดินไม่เอาเหมือง ไม่ว่าวันนี้หรืออนาคต”

ดวงใจ วงศธง ชาวบ้านกะเบอะดิน กล่าวหนักแน่น แม้เส้นทางนี้บังคับให้ชาวบ้านต้องยืนหยัดและเข้มแข็งอยู่เสมอ แต่ในหัวใจยังเต็มไปด้วยความหวังและพลังที่จะปกป้องทรัพยากรให้ลูกหลานได้อาศัยอยู่ต่อไป
หกปีผ่านไป เหมืองถ่านหินอมก๋อยยังไม่เกิดขึ้น แต่การต่อสู้ก็ยังไม่จบ แต่ระหว่างการเดินทางนี้กลับเป็นบทพิสูจน์ว่าพลังของชุมชนเล็กๆ สามารถหยุดยั้งทุนใหญ่ได้ แม้ต้องใช้เวลายาวนานเกินกว่าที่ใครคาดคิด

กะเบอะดินไม่เพียงสู้เพื่อตัวเอง หากยังส่งแรงใจถึงชุมชนอื่นๆ ที่ต้องเผชิญโครงการพัฒนาที่อ้างการพัฒนาประเทศ แต่กลับทิ้งรอยแผลต่อวิถีชีวิต แหล่งอาหาร รายได้ และทรัพยากรธรรมชาติของผู้คนในท้องถิ่น

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร